6:1 มีคนใดในพวกท่านที่เป็นความกับอีกคนหนึ่ง กล้าที่จะไปว่าความกันต่อหน้าคนอธรรม และไม่ใช่ต่อหน้าบรรดาวิสุทธิชนหรือ
** คนอธรรม ในที่นี้ คือคนที่ไม่เชื่อ ส่วน บรรดาวิสุทธิชน saints คือผู้เชื่อทุกคนที่ได้กลายเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมไม่มีที่ตำหนิต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยทางความเชื่อ ผู้เชื่อไม่ควรไปตัดสินว่าความกันต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ
6:2 พวกท่านไม่ทราบหรือว่า บรรดาวิสุทธิชนจะพิพากษาโลก และถ้าโลกจะถูกพิพากษาโดยพวกท่าน พวกท่านไม่สมควรจะพิพากษาความเรื่องเล็กน้อยที่สุดหรือ
** ผู้ชนะจะมีส่วนในการจัดการแก้ไขปัญหาตัดสินราษฎรแห่งอาณาจักรในยุคพันปี คริสตจักรฝ่ายวิญญาณหรือผู้ชนะต้องรู้เรื่องการแก้ไขปัญหาตัดสินเรื่องภายในคริสตจักร
6:3 พวกท่านไม่ทราบหรือว่า พวกเราจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์ สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี้จะมากยิ่งกว่าสักเท่าไร
** การพิพากษาครั้งสุดท้ายผู้ชนะจะมีส่วนในการตัดสินทั้งคนที่ไม่เชื่อและพวกผีมารหรือทูตสวรรค์ทั้งหลายที่เป็นลูกน้องของซาตานที่ทำบาปชั่วและไม่กลับใจในชีวิตนี้ จะมีผลต่อวันนั้น
6:4 ดังนั้น ถ้าพวกท่านเป็นความกันเรื่องสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี้ จงตั้งคนทั้งหลายที่ถูกนับถือน้อยที่สุดในคริสตจักรให้ตัดสินเถิด
** 1 คร 6:4 ฉบับคิงเจมส์แปลตรงกับกรีก คือ ให้คนที่ต่ำต้อยเล็กน้อย/ถูกดูถูก/คนที่ไม่เชื่อ มาจัดการกับเรื่องนี้
แต่อีกหลายฉบับอย่างเช่น NIV ASV NKJV กลับแปลว่า ท่านจะตั้งคนที่คริสตจักรนับถือน้อยที่สุดให้ตัดสินหรือ
** ถ้าหากเราอ่านทั้งบทจะพบว่า เปาโลเสียใจที่คริสตจักรเมืองโครินธ์นำเรื่องราวการทะเลาะวิวาทไปตัดสินว่าความกันที่ศาลที่เป็นของโลก ท่านจึงกล่าวในทำนองที่ว่า ให้คนที่ไม่เชื่อเข้ามาตัดสินว่าความในคริสตจักรเถิด เพื่อพวกท่านจะได้รับความละอาย
ในท่ามกลางพวกท่านไม่มีใครตัดสินเพื่อแก้ไขปัญหาได้เลยหรือ ถ้าอย่างนั้นให้คนที่ไม่เชื่อเข้ามาจัดการในคริสตจักรเลยดีไหม ประมาณนี้
6:5 ข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ก็เพื่อให้พวกท่านละอายใจ จริงหรือที่ว่าไม่มีคนมีปัญญาในท่ามกลางพวกท่านเลย ไม่เลยหรือ ไม่มีใครที่จะสามารถชำระความระหว่างพี่น้องของตนได้เลยหรือ
** เปาโลกล่าวในทำนองที่ว่า เรื่องเล็กน้อยภายในคริสตจักรเท่านี้ก็ยังแก้ไขกันไม่ได้ เพราะว่าผู้ชนะต้องทำหน้าที่ปกครองคนมากมายในยุคพันปี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จงตั้งคนที่ไม่เชื่อ (คนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคริสตจักร) ให้เป็นผู้ตัดสินก็ยังดีกว่าเพื่อให้ผู้เชื่อละอายใจ
6:6 แต่พี่น้องต้องไปว่าความกันกับพี่น้อง และทำอย่างนั้นต่อหน้าบรรดาคนที่ไม่เชื่อ
** คือการไปว่าความกันหรืออาจถึงขั้นศาลของผู้เชื่อต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ
6:7 เหตุฉะนั้นบัดนี้ จึงมีความผิดพลาดในท่ามกลางพวกท่านจริงๆ เพราะว่าพวกท่านไปเป็นความกันต่อกันและกัน ทำไมพวกท่านจึงไม่ทนต่อการร้ายเสียดีกว่าเล่า ทำไมพวกท่านจึงไม่ยอมให้ตนเองถูกโกงเสียดีกว่าเล่า
** บุตรพระเจ้าต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบเพื่อเห็นแก่พระนามพระเยซูและข่าวประเสริฐ ท่ามกลางพี่น้องต้องรู้จักผ่อนเหนักผ่อนเบารักและให้อภัยกันได้ ไม่มีโกรธแค้นเกลียดชังแต่ให้โอกาสกันและกัน เมื่อเราเสียเปรียบถูกโกงวันนี้พระเยซูจะตอบแทนเขาและนำพระพรมาสู่เราวันหน้า
6:8 ไม่ใช่เลย พวกท่านทำร้ายกัน และโกงกัน และทำต่อพวกพี่น้องของท่านทั้งหลายเอง
** คริสเตียนศาสนายังทำต่อกันเหมือนคนที่ไม่เชื่อ แต่คริสเตียนฝ่ายวิญญาณจะรัก ให้อภัย หันแก้มอีกข้างให้เขาตบ เดินไปอีกไมล์ถ้าหากเขาเกณฑ์ให้ไปหนึ่งไมล์
การมาประชุมร่วมกับพระกาย (เที่ยงแท้) เป็นสิ่งที่เราคิดถูกเพราะว่าจะมีผลดีต่อชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราอย่างมากมาย
การที่เราอยากมีส่วนในการรับใช้ในการงานของพระเยซูร่วมกับพี่น้องเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด
แต่การฝึกเดินร่วมกับพี่น้องค่อนข้างจะยากกว่าการฝึกเดินคนเดียว แต่บำเหน็จของการปรนิบัติรับใช้ก็มีมากกว่า
ท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลาย มีคนที่เพิ่งกลับใจใหม่และเชื่อมานาน ระดับความเชื่อไม่เท่ากัน มีความเข้าใจและคิดไม่เหมือนกัน บางคนก็นำปัญหาเข้ามามากบางคนก็น้อย บางคนนำเข้ามาเป็นประจำบางคนก็บางครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นพระเจ้าย่อมมีทางออกและเป็นสติปัญญาของเราถ้าหากเราพึ่งพาพระองค์อยู่เสมอ
คริสตจักรมีผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อคอยเลี้ยงดูสั่งสอนพี่น้อง ให้เติบโตทั้งยังแก้ไขปัญหาต่างที่เข้ามา
สิ่งที่สำคัญเราควรแก้ไขปัญหาโดยที่ไม่ให้ถึงชั้นศาลหรือต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ
เมื่อผู้เชื่อเข้าสู่พระคำล้ำลึก เป้าหมายของการฝึกเดิน ก็คือสำแดงชีวิตพระคริสต์ อย่างเช่น รักศัตรู ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ส่วนผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กในฝ่ายวิญญาณที่ยังทำไม่ได้ก็ควรได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมและด้วยรักจากผู้ปกครอง
เมื่อผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณมีเรื่องกับคนที่ไม่เชื่อและอาจว่าความกันถึงชั้นศาล เราให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อเพื่อพระเจ้าจะช่วยเขาให้ได้รับในสิ่งที่ควรจะรับ ส่วนผู้ที่เป็นหนุ่มและพ่อเราอดทน ยอมเสียเปรียบและถูกโกงเพื่อเห็นแก่พระนามพระเยซูและข่าวประเสริฐเพราะเรารู้ดีว่าพระเจ้าทรงสอดส่องดูการกระทำของทุกคนและตอบแทนทุกคนตามการกระทำของตน
การตอบแทนแก้แค้น เป็นของพระเจ้า เรารู้ดีว่าเมื่อเราถูกโกงหรือเสียเปรียบ เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้น แต่พระเจ้าจะตอบแทนทุกคนไม่ช้าก็เร็ว
ผู้ปกครองดูแลควรที่จะเป็นคนที่คนส่วนมากให้ความรักและเคารพ การตัดสิน การแก้ปัญหาของพวกเขาอยู่ที่พระสติปัญญาของพระคริสต์ ด้วยจิตใจที่มีเมตตา ไม่เป็นฝ่ายใคร ไม่เอาความลับของคนหนึ่งไปบอกอีกคนหนึ่ง ส่วนพี่น้องในพระกายก็ต้องยอมรับในหน้าที่และการปรนนิบัติของพวกเขา
1. การตัดสินของพี่น้องศาสนา เปิดโปงและไม่อยู่บนความรักเมตตา แต่คริสตจักรฝ่ายวิญญาณเราปกปิดและให้โอกาส
2. คริสเตียนเด็กอาจต้องพึ่งการว่าความของบ้านเมืองที่ไม่เชื่อและอาจถึงชั้นศาล เราอธิษฐานเผื่อ หนุนใจเรื่องพระเจ้ามองเห็นและอนุญาตทั้งจะตอบแทนทุกการกระทำของทุกคน
3. การให้เกียรติผู้ปกครองและการรัก มีเมตตา รับผิดชอบในการเลี้ยงดูดูแลพี่น้องพระกาย
4. อาหารฝ่ายร่างกายเรากินอิ่มและไม่ต้องการอีกเมื่อเราตายไป แต่พระเยซูที่เป็นอาหารแห่งชีวิต คือพระคริสต์ในเราที่เราควรแสวงหาในสภาพชีวิตที่ต้องกินเข้าไปเพื่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณจนถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์
5. เรื่องการให้, อดอาหารอธิษฐาน ของคริสเตียนที่พระเจ้าพอพระทัย
อ่านสรุปเพิ่มเติม: เรื่องเราควรแก้ไขปัญหาโดยที่ไม่ให้ถึงชั้นศาลหรือต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อ
6:9 ท่านไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนนิสัยเหมือนผู้หญิงหรือคนที่เป็นกะเทย
** คนอธรรม "คนอธรรม" ในที่นี้ คือทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อที่ทำดีหรือทำชั่วด้วยตัวเก่าชีวิตเก่าชีวิตอาดัม คือคนที่ไม่มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเขา การกระทำที่ปรากฏต่อผู้คนดั่งในข้อที่ 9 และ 10 ผู้เชื่อที่พยายามเลิกทำบาปก็ยิ่งเข้าไปสู่การแอบทำบาปหรือไม่ก็คิดในใจและนั่นคือบาปสำหรับยุคพระคุณ
6:10 คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
** คุณสมบัติเหล่านี้ทั้งในข้อที่ 9 และ 10 คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายในคริสตจักรเพราะว่าพวกเขายังไม่ได้รับการชำระโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ การชำระนี้คือการชำระขั้นสุดท้ายเพื่อกลายเป็นผู้ชนะหรือเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์นั่นเอง
6:11 แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนอย่างนั้น แต่ท่านได้รับทรงชำระแล้ว washed และได้ทรงแยกตั้งท่านไว้แล้ว sanctified แต่พระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเราได้ทรงตั้งท่านให้เป็นผู้ชอบธรรม justified ในพระนามของพระเยซูเจ้า
** ผู้เชื่อที่เป็นเด็กฝ่ายวิญญาณจะดำเนินชีวิตในการบาปทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับตาผู้คน และพอมาถึงเวลาแห่งการชำระด้วยพระคำคือได้พบอาหารผู้ใหญ่แล้วต่อมาพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ชำระให้เลิกทำบาปได้ เพราะว่าพระองค์แยกเรา sanctified จากการดำเนินชีวิตที่เป็นทาสของตัวบาป กฎแห่งบาปและความตายได้แล้ว
** สามสิ่งที่พระเจ้าทำกับผู้เชื่อถ้าหากเขาแสวงหาความชอบธรรมของพระองค์หลังจากเชื่อและบังเกิดใหม่แล้วก็คือ 1. ชำระล้างเราจากความคิดการกระทำที่บาป washed 2. แยกตั้งเราไว้แล้วจากชีวิตที่ทำบาปแต่ทำดีแทนที่ sanctified และ 3. Justified ทรงตั้งเราไว้ให้เป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์คือเดินในพระวิญญาณและไม่ทำบาปในแต่ละวัน
1. ความชอบธรรม Justification
ความชอบธรรมโดยทางความเชื่อ justified by faith และ ความชอบธรรมโดยการรักษาพระบัญญัติ justified by works คือปัญหาใหญ่ท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลายจนถึงทุกวันนี้ ต่างฝ่ายต่างก็มีข้อพระคัมภีร์สนับสนุนและอ้างว่าฝ่ายตนเชื่อถูก แต่เมื่อตาของทั้งสองฝ่ายถูกเปิดให้ได้พบข้อลึกลับแห่งอาณาจักร ทันที ความสว่างก็จะปรากฏเกี่ยวกับเรื่อง ชอบธรรมโดยทางความเชื่อเท่านั้น (justified by faith alone)
(1.1) ชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
- พระเยซูตายแทนที่เราที่สมควรต้องตาย (1 คร 15:3)
- ความตายและพระโลหิตของพระเยซู เป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับเป็นค่าจ่ายหนี้บาปของเรา (อฟ 1:7 / ลนต 17:11)
- พระบิดาตั้งพระโลหิตของพระเยซูเป็นค่าไถ่บาปนิรันดร์
- พระเยซูเป็นทนายความเพื่อเมื่อเรามีบาปและทำบาปและสารภาพในพระเยซู การอภัยโทษก็เกิดมีขึ้น (1 ยน 2:1)
- พระบิดาทรงตั้งเราไว้ให้เป็นคนชอบธรรม เนื่องมาจากพระโลหิตและการตายเพื่อไถ่บาปเราของพระบุตรพระเจ้า (โรม 5:1 / 2 คร 5:17)
- ความชอบธรรม การรักษาพระบัญญัติของพระเยซูและยกความชอบธรรมนั้นให้เป็นของเรา คือพระเยซูนั่นเองที่เป็นความชอบธรรมของเรา (1 คร 1:30)
- พระเจ้าทรงพอพระทัยสิ่งที่พระบุตรกระทำ พระองค์จึงพอใจในเราแล้ว (อสย 53:10/ โรม 3:25)
- เมื่อเราสวมเสื้อตัวที่หนึ่ง คือสวมพระคริสต์ พระบิดามองมาที่เราก็เห็นพระคริสต์ เห็นพระโลหิตและการตายเพื่อไถ่เรา จึงพอใจแล้ว เราจึงถูกเรียกว่า ชอบธรรม เท่ากับพระเยซู เราจึงได้กลายเป็นบุตรพระเจ้าและได้รอด (กท 3:27)
(1.2) ชอบธรรมโดยการรักษาพระบัญญัติ
- เราพบว่าในหนังสือมัทธิวและอีกหลายเล่มที่กล่าวถึงการได้เข้าไปในอาณาจักรซึ่งจะต้องรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟัง เลิกทำบาป นี่คือความชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ ที่พระเยซูสั่งให้เราแสวงหาในมัทธิว 6:33 นั่นเอง เป็นความชอบธรรมที่เหนือกว่าฟาริสีและธรรมมาจารย์ ซึ่งไม่มีใครทำได้หรือทำได้อย่างครบถ้วน มนุษย์จึงเป็นคนชอบธรรมและดีครบต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้ เราจึงต้องพึ่งพระคริสต์ในเราและพระเจ้าก็ได้เตรียมพระบุตรเพื่อสิ่งนี้ พระคริสต์จึงเป็นผู้ชำระแยกออกเพื่อให้ทำดีเลิกทำบาปได้ sanctification (1 คร 1:30 / คส 1:27)
- สรุปก็คือเมื่อพระวิญญาณเปิดตาผู้เชื่อ เราจะพบว่า มีความชอบธรรมสองแบบ และมีรอดมีสองรอด คือเข้าไปในอาณาจักรในยุคพันปี และเข้าไปในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
2. คนชอบธรรม กับคนอธรรม
- เมื่อเราเชื่อ เราได้สวมเสื้อใหม่คือพระคริสต์ เราจึงถูกพระเจ้ามองว่าเป็นคนชอบธรรมถึงแม้ว่าเราจะทำบาปทุกวันก็ตาม สิ่งนี้เรียกว่า คนชอบธรรมไปทำบาป
- การเชื่อและนับว่าเราเป็นคนชอบธรรมจะช่วยให้เราได้มีประสบการณ์ชีวิตใหม่หรือผลของพระคริสต์ทำแทนได้อย่างมากมายและเราไม่ฟ้องผิดหรือรู้สึกผิดว่าเรายังเป็นคนบาป ผู้เชื่อที่ยังมองว่าคนเป็นคนบาปยังไม่ได้เดินในความจริงของพระเจ้าพระวิญญาณก็ชำระเขาไม่ได้
3. การทำบาป การอธรรมทั้งหลาย และความดีที่ตายแล้วคืออะไร
- การทำบาป และการอธรรมคือการกระทำ คำพูด และความคิดที่ขัดแข้งต่อน้ำพระทัยของพระบิดา
- ความดีที่ตายแล้ว คือคนที่ไม่เชื่อและคริสเตียนที่ทำดีโดยกำลังสติปัญญาของอาดัมหรือชีวิตเก่า
4. คนล่วงประเวณีฝ่ายร่างกาย คนล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ และคนที่อ่อนแอเป็นหรือเป็นเหมือนกระเทย คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คืออะไร ไม่ได้รับอาณาจักรคืออะไร
- คนล่วงประเวณีฝ่ายร่างกาย
- คนล่วงประเวณีฝ่ายวิญญาณ
- คนที่อ่อนแอเป็นหรือเป็นเหมือนกระเทย
- คนขโมย
- คนโลภ
- คนขี้เมา
- คนปากร้าย
- คนฉ้อโกง
5. เมื่อมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพี่น้องภายในคริสตจักรเราจะทำอย่างไร
- เราหนุนใจ ล้างเท้า เสริมสร้างกันและกัน ให้ความหวัง ไม่ตัดสิน แต่รักทุกคนเพื่อรอการชำระโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
- เมื่อเราได้รับการเปิดตาพบพระคำล้ำลึกและข้อลึกลับทั้งหลาย เราฝึกเดินทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เน้นที่การสนิทไม่เน้นที่การทำทำทำ ในที่สุดพระวิญญาณจะนำเราเข้าสู่การล้าง washed การแยกออกจากตัวบาป sanctified และทรงตั้งไว้ให้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ justified
อ่านสรุปเพิ่มเติม: เรื่องการได้เป็นคนชอบธรรม การได้ดำเนินชีวิตอยู่ในความชอบธรรม
6:12 ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย
6:13 อาหารทั้งหลายมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็สำหรับอาหารทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งท้องและอาหารทั้งหลายนั้น บัดนี้ร่างกายนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับร่างกาย
** พระเจ้าเป็นผู้ทำลายทั้งร่างกายและอาหารของเราได้
** ร่างกายนี้ มีไว้เพื่อเป็นที่อยู่ของพระเจ้า และพระเจ้าก็เสด็จมาเพื่ออยู่ในร่างกายนี้ this body is for God and God is for this body พระองค์จึงเป็นเจ้าของกายใหม่นี้แล้ว เราจึงไม่ควรทำผิดต่อร่างกายนี้ทั้งเรื่องการกินและการเล่นชู้ฝ่ายร่างกาย
** ข้อที่ 12 และ 13 เปาโลกล่าวถึงอาหารที่เรารับประทาน ซึ่งพระเจ้าให้เราทานทุกสิ่งได้ แต่มีบางสิ่งที่รับประทานไม่ได้ นั่นก็คืออาหารที่กราบไหว้รูปเคารพ อาหารที่ทานแล้วทำให้พี่น้องผู้เชื่อใหม่สะดุด และเรื่องต่อมาก็คือการล่วงประเวณีกับหญิงโสเภณี และการเล่นชู้ เนื่องจากว่าร่างกายของเราเป็นบ้านของพระเจ้าทั้งสามพระภาค จิตของเราเป็นเรือนที่พระเจ้าจับจองครอบครองแล้ว และวิญญาณของเราเป็นของพระเจ้าแล้ว เราจึงไม่ควรทำบาป รับประทานอาหารที่กราบไหว้รูปเคารพ และล่วงประเวณี สรุปก็คือให้พระคริสต์สำแดงความชอบธรรมในเราผ่านเรา
** ทุกวันเราจงขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ 1. ล้างเรา washed 2. แยกเราจากการเป็นทาสของตัวบาป sanctified และ 3. ทรงตั้งเราไว้ให้เป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์แล้ว justified (สามสิ่งนี้เราได้รับแล้วในพระคริสต์) เราเพียงแค่ขอบพระคุณ เชื่อ และไม่นานเราจะมีประสบการณ์การล้าง แยกจากตัวบาป และไม่ทำบาป (ดำเนินในความชอบธรรม) ในแต่ละวันได้
6:14 และพระเจ้าได้ทรงชุบองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นขึ้นมาใหม่ และจะทรงชุบพวกเราให้เป็นขึ้นมาใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระองค์เองด้วย
** นี่คือสัญญาของพระเจ้าเรื่องการชุบร่างกายนี้ให้เป็นขึ้นมาใหม่ก่อนเข้าสู่ยุคพันปี
6:15 พวกท่านไม่ทราบหรือว่า ร่างกายทั้งหลายของพวกท่านเป็นอวัยวะทั้งหลายของพระคริสต์ ดังนั้นข้าพเจ้าจะเอาอวัยวะทั้งหลายของพระคริสต์ และทำอวัยวะเหล่านั้นให้เป็นอวัยวะทั้งหลายของหญิงโสเภณีได้หรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย
** พระเจ้าประหารชีวิตเก่าของเราผ่านการตายของพระเยซูในพระเยซู เพื่อพระองค์จะประทานชีวิตใหม่ให้เราผ่านการเป็นขึ้นของพระองค์ พระคริสต์เมื่อฟื้นขึ้นพระองค์จึงเป็นศีรษะและทรงตั้งให้เราผู้เชื่อทั้งหลายเป็นอวัยวะหรือร่างกายของพระองค์ เราจึงควรขอการชำระให้เลิกทำบาปทั้งหมดเพื่อพระคริสต์จะใช้ร่างกายนี้สำแดงพระองค์ผ่านเราในเรา เนื่องจากว่าร่างกายนี้เป็นของพระเจ้า เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้เพื่อความปรารถนาของตัญหาของเนื้อหนังและตัญหาของร่างกายอีกต่อไป
6:16 อะไรกัน พวกท่านไม่ทราบหรือว่า คนซึ่งผูกพันกับหญิงโสเภณีก็เป็นกายอันเดียวกัน เพราะพระองค์ตรัสว่า ‘เขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน’
6:17 แต่คนที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตวิญญาณอันเดียวกัน
** เมื่อเราผูกพัน/เข้าร่วม Join อยู่กับสิ่งใด เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น เมื่อเราผูกพัน/เข้าร่วมกับพระคริสต์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เหมือนกิ่งที่เข้าร่วม/ผูกพันอยู่กับเถาองุ่น เราจึงได้รับการหล่อเลี้ยงเลี้ยงดูดูแลทำให้เติบโตโดยพระเจ้า (ยน 15:1-5) นี่คือหลักการการทำให้ชีวิตของเราเกิดผลของพระวิญญาณอย่างมากมาย
6:18 จงหนีเสียจากการล่วงประเวณี บาปทุกอย่างที่มนุษย์กระทำนั้นก็อยู่ภายนอกร่างกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีก็ทำบาปต่อร่างกายของตัวเขาเอง
** บาปทุกอย่าง คือความคิด คำพูดและการกระทำที่ผิดต่อพระเจ้า ส่วนบาปที่ผิดต่อร่างกายก็คือเล่นชู้
6:19 อะไรกัน พวกท่านไม่ทราบหรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสถิตอยู่ในพวกท่าน ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และพวกท่านไม่ใช่เจ้าของตัวพวกท่านเอง
** วิญญาณของผู้เชื่อคือเรือน house วิหาร temple / dwelling place หรือที่อยู่ชั้นในสุด จากนั้นก็คือจิต และ ร่างกาย
6:20 เพราะว่าพวกท่านถูกซื้อไว้แล้วตามราคา เหตุฉะนั้นจงถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าในร่างกายของพวกท่าน และในวิญญาณของพวกท่าน ซึ่งเป็นของพระเจ้า
** พระเจ้าทรงซื้อเราแล้วโดยพระโลหิตและการตายของพระเยซู เราจึงเป็นของพระเจ้า เราไม่ใช่เจ้าของของเราอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรือน house วิหาร temple ที่สถิตอยู่ dwelling place ของพระเจ้า เราจึงควรยกให้พระเจ้าใช้สำแดงพระองค์ทั้งในวิญญาณคือไม่กราบไหว้เคารพพระอื่นและทั้งในร่างกายคือไม่ล่วงประเวณี
1. ขอพระเจ้าเปิดตาให้เห็นความจริงในบทเรียนนี้และและชำระเราให้อยู่ห่างจากการล่วงประเวณี เพราะว่าร่างกายนี้เป็น เรือน วิหาร หรือ ที่สถิตอยู่ของพระเจ้า
2. ร่างกายนี้จะถูกชุบให้เป็นขึ้นโดยพระเจ้าและเข้าสู่สง่าราศี เป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ไม่มีวันเปลื่อยเน่า เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา
3. พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายพระองค์ถูกตั้งไว้ให้เป็นศีรษะร่างกายนี้ก็ถูกตั้งไว้ให้เป็นอวัยวะของพระคริสต์เพื่อให้พระองค์ใช้ในการสำแดงพระองค์ผ่านเราในเรา
4. เมื่อเราเข้าร่วมกับสิ่งใดเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้น และเมื่อเราเข้าร่วมกับพระคริสต์เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เราจะได้รับการเลี้ยงดูดูแลช่วยเหลือเสริมสร้างก่อขึ้นสู้ชีวิตผู้ชนะอย่างแน่นอน
5. เมื่อเราเชื่อ พระโลหิตและการตายของพระเยซูคือค่าจ่ายหนี้บาปของเราทั้งหลาย พระเจ้าทรงซื้อและเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว เราไม่เหลืออะไรอยู่อีกต่อไปแล้ว คนเก่าก็ตายไปและคนใหม่ก็เป็นของพระเจ้า
** การเป็นผู้ชนะคือการเชื่อในความจริงนี้ เรานับว่าคนเก่าตายไปและคนใหม่นี้มีพระเจ้าเป็นเจ้าของ เราอยู่เพื่อพระเจ้าสำแดงชีวิตผ่านเราในเรา เพราะว่าทรงซื้อเราแล้วเราไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ร่างกายนี้ตามอำเภอใจได้อีกต่อไป
1. เชื่อ πιστεύων (เข้าใน ἐν) (ยน 3:15)
- คือเชื่อเข้าในพระคริสต์เยซู Believe into Christ Jesus
- เชื่อเข้าใน คือทันทีที่เราเชื่อ เราได้เข้าไป 1. อยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์อยู่ในเรา 2. มีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์ เป็นอวัยวะของพระองค์แบบถาวร
- เมื่อเชื่อเข้าในพระองค์เราก็ได้รับชีวิตพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์เดี๋ยวนั้น (ยน 3:16,10:10) ซึ่งคริสเตียนศาสนารอรับตอนที่พระเยซูจะเสด็จมา
2. ที่อยู่ใหม่ของเราคือในพระคริสต์ In Christ
- เมื่อเชื่อเข้าในพระคริสต์ เราถูกย้ายจากอาดัมเข้าไปอยู่ในพระคริสต์
ก. ในอาดัมที่มีความอ่อนแอ แต่ในพระคริสต์มีความเข็มแข็ง
ข. ในอาดัมมีความทุกข์โศกเศร้า แต่ในพระคริสต์มีแต่สันติสุข
ค. ในอาดัมมีความผิดหวังสิ้นหวัง แต่ในพระคริสต์มีความหวังและมีทางออกเสมอ
ง. ในอาดัมชีวิตไม่แน่นอน แต่ในพระคริสต์เราอยู่ในทางของพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ
จ. ในอาดัมไม่มีการยกโทษบาป แต่ในพระคริสต์มีการอภัยโทษบาปเสมอ
• คำว่า ชีวิตในพระคริสต์ จึงมีความหมายมากสำหรับคริสเตียน
3. การเชื่อในความจริง การเข้าร่วม และการสนิท สามสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตเราเต็มด้วยสันติสุขและเกิดผลของพระวิญญาณมากมาย (เติบโต) สำหรับพระเจ้า
- เชื่อในความจริง have faith คือการเชื่อและยอมรับพระคำแห่งความจริงที่แปลถูก
- การเข้าร่วม Join คือการเชื่อว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว เรานับทุกวัน เป็นอวัยวะของพระกายของพระคริสต์แล้ว (1 คร 6:17)
- การสนิท Abide / remain คือการปักหลัก อาศัย สถิตอยู่ในพระคริสต์และเมื่อหลุดไปอยู่ในอาดัมและทำบาปเราก็สารภาพแล้วกลับเข้ามาใหม่
สรุปคือ ชีวิตคริสเตียนคือชีวิตที่ตั้งอยู่บนสามสิ่ง เชื่อในพระคำแห่งความจริง เข้าร่วมกับพระคริสต์ และสนิทในพระองค์ ถ้าเรามาไม่ถึงสามสิ่งนี้เรายังมาไม่ถึงชีวิตคริสเตียนที่ปกติ แต่กลับหลายเป็นคนที่นับถือศาสนาคริสเตียนเท่านั้นเอง
• ถ้าหากเราไม่พบความจริงเรื่อง เชื่อเข้าในพระคริสต์ เราก็ล้มเหลว
• ถ้าหากเราไม่เข้าใจเรื่อง ร่วมกับพระคริสต์ และไม่เข้าร่วมกับพระคริสต์ ชีวิตคริสเตียนของเราก็ล้มเหลว
• ถ้าหากเราไม่เข้าสนิทในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา เราล้มเหลวในการเป็นคริสเตียน
* เราเป็นคริสเตียนที่อยู่ตามลำพังแทนที่จะอยู่ในพระวิญญาณ ในพระคริสต์ (เชื่อว่า) มีชีวิตอยู่โดยพระคริสต์
ถามว่าเราทำบาปอยู่จะร่วมกับพระคริสต์และสนิทในพระองค์อย่างไรได้
คำตอบก็คือ:
• ยกตัวอย่าง 1.. เมื่อเราพูดคุย ทันทีที่เรารู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้ร่วมกับเรา เรารีบหยุดและสารภาพแล้วให้พระองค์ร่วมด้วย คือเชื่อว่าทรงร่วมอยู่ด้วย พูดในฐานะที่เราเป็นอวัยวะของพระคริสต์ และสนิทในพระองค์ ขอพระองค์พูดแทนและถามพระองค์เมื่อมีคำถาม ฯลฯ
• ยกตัวอย่าง 2.. เราขณะนี้ที่นมัสการ จิต/ความคิดของเรามีสามสิ่งนี้อยู่หรือไม่ 1. เชื่อในพระคำแห่งความจริง 2. ร่วมกับพระคริสต์ 3. สนิทในพระองค์
เราเป็นคริสเตียน แต่ชีวิตคริสเตียนของเราไม่ได้ดำเนินไปโดยพระคริสต์ เราเป็นคริสเตียน แต่เราดำเนินชีวิตโดยตัวเราเอง เราเป็นคริสเตียน แต่เราไม่ได้ดำเนินชีวิตในวิญญาณของเราโดยพระคริสต์ เพราะเรื่องสำคัญยิ่งของการดำรงอยู่ได้สูญหายไป พันธกิจในการเยียวยาของยอห์นจึงเข้ามาเพื่อช่วยเรา ท่านเยียวยาโดยเตือนเราว่าเราไม่ได้อยู่โดยตัวเราเองอีกต่อไป บัดนี้พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ภายในเรา และเราอยู่ในพระองค์ พระองค์และเราเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวกัน เราเป็นกิ่งก้านของพระองค์ ที่ถูกต่อกิ่งเข้ากับพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ในเรา และเราต้องดำเนินชีวิตในพระองค์
ยอห์น 3:6 กล่าวถึงวิญญาณสองวิญญาณ: “สิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณก็คือวิญญาณ” เรามีวิญญาณอยู่ภายใน ซึ่งสามารถเกิดจากพระวิญญาณได้ วิญญาณทั้งสองนี้ต้องถูกนำมารวมกันโดยการบังเกิดทางวิญญาณ ดังนั้น 1 โครินธ์ 6:17 จึงกล่าวว่า “ผู้ที่ผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นวิญญาณเดียว” ดังนั้น การดำรงอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการเป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์
1. เราถูกนับเป็นหนึ่งในวัยวะของพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า
One in the
2. มีส่วนร่วมกับพระองค์และพระองค์มีส่วนร่วม partner , Part / join
3. สนิท Abide
1. เราถูกนับเป็นหนึ่งในวัยวะของพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า One in the
2. มีส่วนร่วมกับพระองค์และพระองค์มีส่วนร่วม partner , Part / join
3. สนิท Abide
1. การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรา พระเจ้าเป็นคนทำ-เราเชื่อในความจริงดังกล่าว จากนี้ไปเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราไปไหนทำอะไรอยู่ไหน พบปัญหาตอนไป พระเจ้าจะช่วยแก้ไขแลช่วยเหลือ เลี้ยงดูดูแลเราและทำทุกสิ่งเพื่อนำเราเข้าสู่ชีวิตผู้ชนะ
2. การร่วมกับพระคริสต์ เป็นเรื่องของการเป็นอยู่ คือการยอมรับของการร่วมกันกับพระคริสต์-พระคริสต์ร่วมกับเรา ทั้งสองเป็นทีมเดียวกันในทุกสิ่งทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ
3. การสนิท เป็นเรื่องของการสามัคคีธรรม นมัสการ พูดคุยสนทนาบอกรักขอบพระคุณยกย่องสรรเสริญสารภาพ
อ่านสรุปเพิ่มเติม: เรื่อง Join การเข้าร่วมทีม เป็นหนึ่งในทีม และการเข้าร่วมในพระคริสต์
คริสเตียนที่จะเป็นผู้ชนะได้:
ได้รับการเปิดตาเข้าสู่พระคำล้ำลึก หรือพบและกินอาหารผู้ใหญ่
ใส่ใจในการฝึกเดิน ในพระคำแห่งความจริงที่ได้รับมา โดยเฉพาะเรื่อง ...
ก. เดินด้วยการเชื่อ (เอา) เริ่มต้นก็ด้วยเชื่อและจบลงก็ด้วยเชื่อ (เอา) เพราะทุกสิ่งสำเร็จแล้วในพระคริสต์
ข. ท่อง นับ จำ ทำบัญชี ว่า 1) เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับเราอยู่ในเรา 2) ทำทุกสิ่งด้วยเชื่อว่าคนใหม่ทำและพระคริสต์ทำอยู่ทั้งที่ยังไม่เห็น 3) สามัคคีธรรมหรือสนิทในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอ
การทำบัญชี นับ ถือว่า consider ท่องจำ เราตายต่อตัวเก่าและเป็นอยู่ด้วยตัวใหม่
*การตั้งอารมณ์ตาย*
- เปาโลดำเนินชีวิตที่ตายต่อตัวเก่าและเป็นอยู่ด้วยตัวใหม่ทุกเวลาและทั้งวัน ท่านกล่าวว่าข้าพเจ้าตายทุกวัน (1 คร 15:31)
- ท่านนับว่าท่านตายอยู่เสมอ (โรม 6:11)
- เมื่อท่านนับ ท่องจำ ถือว่า ตาย ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า ท่านก็ได้เจริญขึ้นในการตายนั้น และพระวิญญาณก็เริ่มให้ท่านเจริญขึ้นในการเป็นคนใหม่ที่เอาชนะบาปได้ (โรม 6:4-5)
- สิ่งที่ท่านได้รับเมื่อเข้าสนิทในการตายกับพระเยซู ก็คือตัวบาปจะไม่มีที่อาศัยอยู่เพราะว่าเราตายแล้ว ตัวบาปสิงอยู่ในเนื้อหนังได้แต่สิงในคนใหม่ไม่ได้ มันจึงไม่มีอำนาจที่จะสั่งหรือบังคับคนใหม่ให้ไปทำบาปอีก กฎแห่งบาปและกฎแห่งความตายก็อ่อนกำลังและพ่ายแพ้ต่อกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตในพระคริสต์ในเรา (โรม 8:1-2)
สรุป ก็คือยิ่งเรานับตายเราก็จะได้เห็นฤทธิ์อำนาจแห่งชีวิตของการฟื้นขึ้นของพระคริสต์ในเรา ไม่ว่าจะมีคนพูด หรือทำผิดต่อเรา นำปัญหามาสู่เรา บ่อยครั้งที่พระเจ้านำมาเพื่อให้เราฝึกเดินฝึกนับตายแต่เราไม่รู้และไม่คิด และขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เราได้รู้ความจริง
• การฝึกที่เบาสบาย คือ
1. เรา ฝึกตามขนาดของความเชื่อ
2. เรามีพระโลหิตตั้งไว้เพื่อการสารภาพเมื่อเผลอพลาดหลุด
3. นับตาย คือ เดินไปกับการตายต่อคนเก่าอยู่ด้วยคนใหม่ พูด ฟัง มอง อยู่ในอารมณ์ตาย