เอเมนขอบคุณพระเยซูสำหรับความรักที่พระองค์ประทานแก่พวกเราทั้งหลาย ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนสร้างโลก และขอบคุณพระเยซูที่พวกเรามาจากพระองค์ และเป็นของพระองค์ และจะเป็นของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ สรรเสริญพระเยซู
ขอบคุณพระเยซูที่สอนพวกเราในยอห์นบทที่ 8 คือปัญหาสองอย่างที่พระองค์ทรงแก้ไข กำจัด ก็คือตัวบาปและอาการบอดฝ่ายวิญญาณ วันนี้พวกเราได้หลุดพ้นจากตัวบาปแล้ว เพราะว่าเราตายกับพระเยซูเมื่อสองพันปีก่อน
และขอบพระคุณพระเยซูที่วันนี้พระองค์ทรงเปิดตา รักษาตาให้หายดี ให้เข้าใจความจริงของพระเจ้าในถ้อยคำของพระองค์ ขอบพระคุณพระเยซูที่พวกเรามาถึงจุดที่ได้เข้าสู่ชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริง สรรเสริญพระเยซู
• ในข้อที่ 45 "แต่ท่านทั้งหลายมิได้เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง" ท่านทั้งหลายในที่นี้ ก็คือชาวยิวที่ไม่ได้ถูกเลือกตั้งแต่ก่อสร้างโลก จะมีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่ไม่ได้ถูกพระเจ้าเลือกตั้งแต่ก่อนสร้างโลก
ถามว่าทำไมพระเจ้าไม่เลือกเขา?
เนื่องจากว่าพระเจ้ามองไปที่จิตใจของเขา ก้นบึ้งของหัวใจของเขา และรู้ว่าเมื่อพระเยซูเสด็จมา เมื่อความจริงของพระเจ้าปรากฏ เมื่อข่าวประเสริฐมาถึงพวกเขา เขาจะไม่รับแน่นอน และจะปฏิเสธ และยังข่มเหงพระเจ้า ข่มเหงพระเยซู
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายในข้อที่ 45 ก็คือคนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้ถูกเลือก และจะไม่เชื่อ และสุดท้ายก็จะถูกพิพากษาในบึงไฟ เนื่องจากว่าถ้าหากเขาไม่ได้ถูกเลือกเขาก็รับความจริงของพระเจ้าไม่ได้ ความจริงของพระเจ้ามาจาก (Rhema เรมาร์) คือถ้อยคำ คือคำพูด ที่พระเยซูตรัสออกมาเป็น (Rhema เรมาร์) เป็นถ้อยคำ ซึ่งถ้อยคำนี้ถ้าหากใครไม่ได้ถูกเลือก และไม่มีวิญญาณของพระเจ้าและไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้ารอคอยที่จะช่วยเขา แน่นอนเขาจะไม่เข้าใจ จะพูดจะบอกเขายังไง เขาก็ไม่เข้าใจ และสุดท้ายเขาก็รับไม่ได้
• ส่วนในข้อที่ 46 "มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำบาป และถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา" คำว่าทำไมท่านไม่เชื่อเรา หรือทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา เป็นคำถามที่พระเยซูถาม และพระเยซูตอบแล้วก่อนหน้านี้ก็คือในข้อที่ 37 จนถึงข้อที่ 44 พระเยซูบอกกับเขาแล้ว เนื่องจากว่าชาวยิวเหล่านี้
1. พวกเขาไม่มีถ้อยคำ ซึ่งเป็นตัวตนของพระเจ้า ถ้อยคำนั้นคืออะไร? ในยอห์นบทที่ 1 ข้อที่ 1 ก็คือ (logos โลโกส) ถ้อยคำที่เป็นตัวตนของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้าที่อยู่กับเขาที่อยู่ท่ามกลางเขาและที่อยู่ในเขา ซึ่งชาวยิวเหล่านี้ไม่มี และมนุษย์ทั่วโลกไม่มี เขาจึงรับและเชื่อในพระเยซูไม่ได้
2. เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือพระเจ้าไม่ได้เลือกเขา เนื่องจากว่าพระเจ้ารู้ว่าเขาจะไม่เลือกพระเจ้า พระเจ้าจึงไม่เลือกเขา เพราะฉะนั้นถ้อยคำ คำพูดของพระเยซูที่ภาษากรีกแปลว่า (Rhema เรมาร์) จะเข้าถึงหูเขาไม่ได้ เข้าถึงจิตใจเขาเข้าถึงวิญญาณเขาไม่ได้ คือมันไม่ได้จริงๆ เขารับไม่ได้
3. ก็คือพวกเขามีพ่อเป็นมาร และไม่มีพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกเขา อย่าลืมน่ะว่าเมื่ออาดัมเอวาทำบาป มารซาตานก็ครอบครองโลกนี้ และซาตานเข้ามาอยู่ในชีวิตของคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย และซาตานก็เป็นผู้บงการบังคับครอบครองชีวิตของพวกเขา ซาตานจึงเป็นพ่อของมนุษย์โดยปริยาย
สามสาเหตุนี้ทำให้พวกเขารับถ้อยคำของพระเจ้าที่เป็นความจริงไม่ได้
• ข้อที่ 47 ผู้ที่มาจากพระเจ้าย่อมฟังถ้อยคำ หรือ (Rhema เรมาร์) ของพระเจ้าได้ นี่คือคำพูดอีกคำหนึ่งที่พระเยซูยืนยัน คนที่มาจากพระเจ้าหรือคนที่เป็นของพระเจ้า ก็คือคนที่พระเจ้าเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้ว (เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง เพราะท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า) เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ฟังและปฏิเสธพระเยซู
สำหรับคำที่พระเยซูตรัสว่า ย่อมฟังถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำที่นี้ก็คือ (Rhema เรมาร์) เราจะสังเกตดูว่าในยอห์นบทที่ 8 พูดถึงคำว่า เรมาร์ๆๆๆ มากเหลือเกิน
Rhema เรมาร์ คืออะไร? คือถ้อยคำที่พระเยซูพูดออกมา เป็นถ้อยคำที่ตรัสออกมา ที่กล่าวออกมา เป็นถ้อยคำ เป็นคำสั่ง เป็นคำเล่า เป็นคำอุปมา คำอะไรต่างๆ ที่พระเยซูพูดก็คือ (Rhema เรมาร์) ซึ่งคำนี้ไม่ใช่คำพูดเฉยๆ เหมือนมนุษย์ทั่วไปพูดกัน มนุษย์ทั่วไปพูดกันก็คือเป็นลมปาก แต่สำหรับพระเยซูเมื่อพระองค์พูดออกมาเป็น (Rhema เรมาร์) เป็นคำพูด เป็นพระวิญญาณ และเป็นชีวิต ขอบพระคุณพระเจ้า
เราจะสังเกตว่ามนุษย์ทั่วไปพูดไม่มีชีวิตและไม่มีพระวิญญาณ และสิ่งที่น่าสงสารสำหรับพี่น้องคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ เมื่อเขาพูด เขากล่าว เขาเผยพระวจนะ เขาสั่งสอน ในคริสตจักรมากมายทั่วโลกปัจจุบันนี้มีเยอะแยะมากทีเดียว ที่พูดออกมาแต่ไม่มีพระวิญญาณและไม่มีชีวิต
เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครพูดแล้วมีพระวิญญาณและมีชีวิต?
คือวิญญาณของเรามันจะตอบสนอง มันจะหิวกระหาย มันจะอยากฟัง มันจะยื้อ มันจะดึง คือมันจะกิน จะรับ จะชื่นชมยินดี จะดีใจ จะหิวกระหาย นี่คืออาการของคนที่ได้รับจากผู้ที่มี (Rhema เรมาร์) เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเจ้าให้โอกาสเราทุกวันนี้ได้พบความจริง และความจริงนี้เราทุกคนได้รับแล้ว และตอนนี้พี่น้องที่เผยพระวจนะ พี่น้องคนไหนก็ตาม ขอบคุณพระเจ้าเรามี (Rhema เรมาร์) ออกมาจากปากของเรา ซึ่งเป็นพระวิญญาณและเป็นชีวิต ขอบพระคุณพระเยซู
และส่วนคำว่า (logos โลโกส) โลโกส ในยอห์นบทที่ 1 ข้อที่ 1 แตกต่างจาก (Rhema เรมาร์) เรมาร์ ก็คือคำพูดที่พระเยซูพูด ส่วน โลโกส ก็คือพระเยซูเอง และไม่เพียงแต่เท่านั้นอย่าลืมน่ะ (logos โลโกส) ถ้อยคำเป็นพระเจ้าสามพระภาค อยู่กับพระเจ้าสามพระภาค และเป็นตัวตนของพระเจ้าทั้งสามพระภาค สรุปก็คือพระเจ้าทั้งสามพระภาคพูดได้ คุยได้ เป็นถ้อยคำที่พูดออกมาได้ และถ้อยคำทุกถ้อยคำที่พูดออกมาก็เป็น (Rhema เรมาร์)
(logos คือตัวตนของพระเจ้าผู้ที่พูด – Rhema คือคำพูดของพระเจ้าที่พูดออกมา)
• สำหรับข้อที่ 48 พวกยิวจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ" เขาพูดออกมาเขาถามพระเยซู และเป็นคำพูดที่ชาวยิวดูถูกดูหมิ่น คือยิวส่วนมากไม่ชอบพระเยซู แล้วก็พูดไปว่าเขามีผีสิง คนนี้เป็นชาวสะมาเรีย อย่าไปใส่ใจเขา คือคำพูดเหล่านี้ ก็อยู่ท่ามกลางคนยิวทั้งหลายในสมัยนั้น แล้วพอดีเขามายืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู เขาก็เลยพูดกับพระเยซู (คำนี้น่ะเขาพูดกันใช่ไหม) แล้วพระเยซูก็ตอบว่าเราไม่มีผีสิง แต่ว่าเราถวายเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติของเรา
• ข้อที่ 50 "เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงเป็นผู้ตัดสิน" สำหรับข้อที่ 50 ถ้าเราจะใส่คำว่าพระเจ้านั้นจะทรงเป็นผู้พิพากษาก็ได้ แต่จะทำให้พี่น้องหลายคนเข้าใจผิด คำว่าพิพากษาและคำว่าตัดสิน เป็นคำเดียวกัน แต่ในข้อนี้เราควรจะใช้คำว่า ตัดสินดีกว่า มากกว่า เนื่องจากว่าทำให้ผู้อ่านจะไม่สับสน จะเข้าใจ
ตัดสินอะไร? ย้ำอีกครั้งในข้อที่ 50 พระเยซูตรัสว่า "เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้" แต่มีผู้ที่หาให้ ผู้ที่หาให้ก็คือพระบิดา "และพระองค์นั้นจะทรงเป็นผู้ตัดสิน" ตัดสินอะไร คือตัดสินว่าพระเยซูนี่แหละที่สมควรได้รับเกียรติ และพระเยซูนี่แหละเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานเกียรติให้ เป็นผู้ที่ตัดสิน ภาษาอังกฤษก็คือ decide เป็นคำที่เหมาะกว่าที่จะใช้คำว่า judge คำว่า พิพากษา ก็ได้ คำว่า ตัดสิน ก็ใช้ได้ แต่ข้อนี้เราควรใช้คำว่า ตัดสิน หรือ เป็นผู้ตัดสินเอง ว่าพระเยซูเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติจริงๆ
• ข้อที่ 51 "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย" ในข้อนี้เราจะสังเกตเห็นว่าพระเยซูตรัส ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา หรือรักษาคำของเรา คำในที่นี้ก็คือ (logos โลโกส) ก็คือรับเอาพระเยซู ต้อนรับพระเยซู เชื่อในพระเยซู วางใจในพระเยซู และให้พระเยซูเป็นชีวิตของเขา ให้พระเยซูช่วยเขาในการเริ่มต้นของชีวิตความเชื่อจนจบ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ก็คือการมี (logos โลโกส) ก็คือมีตัวตนของพระเจ้าที่อยู่ในเขา
และเมื่อเขารับเชื่อมีถ้อยคำของพระเยซูจริงๆ แล้ว เขาจะไม่ประสบความตายเลย ก็คือตายไม่ได้ คือเชื่อแล้วก็รอด รอดแล้วก็รอดเลย บังเกิดใหม่เกิดแล้วก็ไม่ตายอีก ขอบคุณพระเยซูเราเกิดครั้งแรกเราตายได้ แต่เราเกิดครั้งที่สอง เชื่อไหมว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก ทำไม? เพราะว่า (logos โลโกส) ถ้อยคำ พระวาทะ จะเข้ามาอยู่ในเราและจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะตายไม่ได้ สรรเสริญพระเยซู
สำหรับเรื่องต้นไม้แห่งชีวิต คือเราสังเกตมีสองคำที่เป็นภาษาอังกฤษก็คือ (independence) independence ก็คือการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระที่ไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้า คือเราเป็นสามี เราเป็นคนทำเองทุกอย่าง
แต่การ (depend on God) depend on God แตกต่างจาก independence ก็คือ depend on God ก็คือเราพึ่งพาพระเจ้า เรายอมเป็นภรรยา เราเกิดมาพระเจ้าสร้างเราในฐานะภรรยา ของผู้ที่ต้องพึ่งพาพระเจ้า ต้องอาศัยพระเจ้าเป็นผู้ช่วย และอยู่ในการครอบครองดูแลของพระเจ้าตลอดเวลา
แต่เมื่อมนุษย์เขาทำบาป เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่าง independence ก็คือเป็นอิสระ ไม่พึ่งพาใครไม่ต้องการใคร ฉันขอเป็นฉันเองผู้เดียว เขาก็กลายเป็นสามีเอง ซึ่งพระเจ้าต้องการให้เขาเป็นภรรยา
แต่ขอบคุณพระเจ้าทุกวันนี้เราเป็นภรรยาของพระเยซู เราเป็นเจ้าสาวของพระเยซู เรายอมที่จะให้พระเยซูเป็นสามีของเรา "เรา" ภาษาอังกฤษก็คือ (we depend on God) เราพึ่งพาพระเยซู ขอบคุณพระเยซูเอเมน
มันเป็นชีวิตที่ง่ายมาก พระเยซูเป็นสามี พระเยซูเป็นสหาย พระเยซูเป็นเพื่อน พระเยซูเป็นชีวิต พระเยซูเป็นพลัง พระเยซูเป็นน้ำแห่งชีวิต พระเยซูเป็นคำตอบ พระเยซูเป็นทุกสิ่งของเรา ขอบคุณพระเจ้าที่ให้พระเยซูเสด็จมาและทำทุกสิ่งเพื่อเราเพื่อช่วยเรา เอเมน
สำหรับคำที่ชาวยิวเขาโกรธมากเป็นคำที่แรงมาก แรงมากในสมัยนั้น ก็คือ "เราเป็น" จริงๆ แล้วภาษาอังกฤษ I am ภาษาไทยก็คือ "เราเป็น" หรือว่า "เราเป็นอยู่" คำว่า "เราเป็นหรือเราเป็นอยู่" ท่ามกลางชาวยิวไม่ได้รับอนุญาตให้พูด เพราะว่าคำนี้มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่พูดได้ เพราะว่าใครจะกล้าพูด "เราเป็นอยู่" หรือ "เราเป็น" มันเป็นคำที่พูดที่มีชีวิตที่อมตะ ผู้ที่มีชีวิตที่ตายไม่เป็น ผู้ที่มีชีวิตที่ยืนยาวตลอดกาลนิรันดร์กาล เป็นอยู่ตั้งแต่สมัยอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คือคำนี้ "เราเป็น"
เป็นคำพูดที่ถูกต้องห้ามในท่ามกลางชาวยิว แต่พระเยซูพูดออกมา เป็นคำที่แรงมาก และชาวยิวไม่พอใจเขาเอาหินจะขว้างพระเยซู แต่ขอบคุณพระเจ้ายังไม่ถึงเวลา พระเยซูก็หลบหนีไปได้
และอีกอย่างก็คือ "เราเป็น" เล็งถึงพระเจ้าพระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ ก็คือ เราเป็น เป็นคำเดียวกัน
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเยซูที่เปิดเผยให้เราได้รู้ความจริงว่าพระองค์เป็น "เราเป็น" พระองค์เป็นพระเยโฮวาห์ และพระองค์นั่นแหละที่เดินไปมาอยู่ที่สวนเอเดน พระองค์นั่นแหละที่มาเยี่ยมอับราฮัม มารับประทานอาหารกับท่าน และพระเยซูก็มาหาโมเสส พระเยซูก็ทำงานทำกิจในโลกนี้กับมนุษย์มากมายในสมัยก่อน และขอบคุณพระเจ้าทุกวันนี้พระเยซูก็เดินไปมาและอยู่ในท่ามกลางพวกเราทั้งหลาย อยู่ในคริสตจักร และอยู่ในเราทุกๆ คนเอเมน
สรุป เราขอบคุณพระเยซูที่ทุกวันนี้ เรามีกำลังใจ เรามีพลัง เรามีความหวังกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนเราไม่ได้รับ (Rhema) ไม่ได้รับถ้อยคำที่มีชีวิตและมีพระวิญญาณ แต่ตอนนี้พระเจ้ามาช่วยเราทันเวลา เราเกือบจะหนีไปจากความเชื่อ เราท้อถอย เราเบื่อ เรายอมแพ้กับชีวิตคริสเตียน เรายอมแพ้กับการรับใช้ หลายคนมีปัญหามากมายเกี่ยวกับเรื่องการรับใช้ ความเชื่อ ไม่อยากอยู่แล้ว ไม่อยากรับใช้แล้ว อยากหนีไปแล้ว
แต่พระเจ้าช่วยเราได้ทัน ก็คือส่งถ้อยคำที่เป็น (Rhema) ที่เป็นชีวิตและเป็นพระวิญญาณมาถึงเรา ช่วยปลดปล่อยเรา เราตื่นเต้นดีใจ เราขอบคุณพระเจ้า เราร้องไห้ เราหิวกระหาย ขอให้ฝึกต่อไป รับ สะสม และเก็บถ้อยคำที่เป็นมานานี้เอาไว้ เพราะว่าสิ่งนี้คือ (Rhema) ของพระเจ้า เอเมน
และถามว่าถ้าอยากให้ Rhema ออกมาจากปากของเรา คือง่ายๆ "เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะพูดแทนเรา ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์จะตรัสผ่านเรา" แค่นี้เอง ถ้อยคำเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนจากคำพูดที่เป็นลมปากเฉยๆ กลายเป็นถ้อยคำที่มีชีวิตและมีพระวิญญาณได้