รูปแนวศาสนา คือการทำทุกสิ่งพร้อมกัน ทั้งๆ ที่เราไม่พร้อม เราฝืนใจ ต้องบังคับใจ แบกภาระที่หนัก อย่างเช่นการตื่นแต่เช้า การอ่าน อธิษฐาน การแต่งกายต้องเหมือนกัน การพูด ในลักษณะไม่เป็นธรรมชาติ ฯลฯ
แต่เขาลืมสิ่งหนึ่ง ก็คือสิ่งที่สำคัญมากๆ เวลาเรามาอยู่ร่วมกัน อยู่ในคริสตจักร คนที่เราควรจะโฟกัสจดจ่อ ก็คือพระเยซู
แล้วการดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน เวลาขับรถ นั่งรถ ทำงาน ทำกับข้าว ทำอะไรก็ตาม คนที่เราควรจะจดจ่อเป็นที่หนึ่งในหัวใจอยู่ใจกลางของเรา ก็คือพระเยซู เมื่อก่อนเราให้พระเยซูอยู่นอก เดี๋ยวนี้เอามาเลยเชิญเข้ามาอยู่ใน เอเมน
เราต้องตระหนักถึงความสำคัญของการอธิษฐาน และเดินในฐานะของปุโรหิตให้ชัดเจนมากขึ้น
กลับไปบ้าน ท่องนะครับ "ฉันเป็นปุโรหิต ปุโรหิต ปุโรหิต" เมื่อก่อนเราท่องใช่ไหม "ใหม่ในพระคริสต์ใหม่แล้วในพระคริสต์ ใหม่แล้วในพระคริสต์" อันนี้เอามาเพิ่มใส่เลยครับ "ปุโรหิต ใหม่แล้วในพระคริสต์ ใหม่ในพระคริสต์ ปุโรหิต ใหม่ในพระคริสต์ ปุโรหิต" คือเราจำเสมอตระหนักว่าเราเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า แล้วทำงานอย่างซื่อสัตย์
การอยู่ในพระวิญญาณเดินในพระวิญญาณประกาศเลี้ยงดูพี่น้องและรับใช้ในพระวิญญาณ คือการได้ถวายเครื่องบูชาที่หอมหวลแด่พระบิดาอย่างแท้จริง เราจึงไม่ควรขาดการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณทั้งด้านในและนอก
สมัยก่อนคนยิวถวายเครื่องบูชาไถ่บาป แล้วก็ถวายเครื่องบรรณาการ การถวายเครื่องบรรณาการของยิว เป็นการถวายของขวัญแด่พระเจ้า เขาไม่ได้ทำผิดบาปอะไร แต่เขานำของขวัญมาถวายแด่พระเจ้า
ทุกวันนี้พระเจ้าไม่ต้องการการถวายเครื่องบูชาไถ่บาป
สำหรับเราคริสเตียน เราต้องถวายนะ เราต้องถวายเครื่องบรรณาการ ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เราถวายอะไรครับ ถวายการดำเนินชีวิตที่อยู่ในฝ่ายวิญญาณในพระวิญญาณครับ สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เป็นเครื่องถวายแด่พระเจ้า เอเมนไหมครับ เราทำดีได้มากเท่าไหร่ เรามีผลของพระคริสต์ ทำได้มากเท่าไหร่ สิ่งเหล่านั้นพระเจ้านับว่าเป็นเครื่องถวายแด่พระเจ้า
พระเจ้าต้องการทางแห่งชีวิต มากกว่ารูปแนวศาสนา (The Lord wants "Life" not religious way) การรับใช้ ทุกสิ่ง ต้องทำด้วย ชีวิต ไม่ใช่รูปแนวศาสนาที่เน้นกฏเกณฑ์ประเพณี ที่ต้องทำให้พี่น้องหนักใจเพราะต้องแบกภาระหนักมาก
(The Lord wants "Life" not religious way) ก็คือพระเจ้า พระเจ้าของเราไม่ต้องการให้เราทำอะไรที่อยู่ในรูปแนวศาสนา ไม่ต้องการให้เรามีกฎมีเกณฑ์มาบังคับเรา อยากอธิษฐาน อยากอ่าน อยากนมัสการพระเจ้า อยากเฝ้าเดี่ยว อยากทำอะไรก็ตาม ไม่มีกฎไม่มีเกณฑ์ ไม่มีเลยครับ ผู้นำผู้ปกครองห้ามตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อบังคับคริสตจักรให้ทำ
บางคนอาจจะอ้างว่าเราหวังดีนะ อยากให้คุณอ่านทุกวัน ตื่นแต่เช้าให้เป็น คือฝึกให้คุ้นเคยให้ชิน การชินแบบนั้นไม่ใช่กฎของพระวิญญาณครับ ก็คือการเอาเนื้อหนังมาทำนะครับ อะไรที่เราทำด้วยการฝืนใจทำ บังคับใจเราทำเอง ก็คือการทำด้วยเนื้อหนัง เราก็กลับไปอยู่ในใต้พระบัญญัติ เพราะฉะนั้นห้ามมีกฎเกณฑ์ ห้ามอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของใครก็ตามที่สั่งที่บงการที่บังคับเราให้ทำ แล้วหวังดีบอกว่าเนี่ยนะ ทำเพื่อหวังดีแก่คุณ ให้คุณเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ไม่ครับ
ชีวิต คืออะไร คือให้ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นคนนำเรา อยากทำก็ทำ รู้สึกว่าไม่อยากทำ ฝืนใจ เราก็ไม่ทำ ไม่เป็นไร แต่พระเจ้าก็จะให้ชีวิตขยายมากขึ้นมากขึ้นในเรา ในที่สุดเราก็ทำได้มากขึ้นเอง ด้วยความรัก พอใจ เต็มใจ ไม่ฝืนใจ เรียกว่าชีวิต
ภาษาอังกฤษก็คือ law คริสเตียนไม่อยู่ภายใต้ law เราจำกันได้ไหมเปาโลบอก โรม 6:14 เราไม่ได้อยู่ภายใต้ law
law อะไรก็ตาม พระบัญญัติก็ตาม กฎเกณฑ์อะไรก็ตาม ข้อบังคับอันไหนก็ตาม เราไม่ได้อยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ แต่เราอยู่ใต้พระคุณ
พระคุณ แปลว่าอะไร พระคุณแปลว่าพระเยซู พระคุณคือพระเยซู คือตัวตนของพระเยซูเอง คือพระคุณ เราอยู่ใต้พระคุณ ก็คืออยู่ใต้การกระทำของพระคุณ ของพระคริสต์ที่อยู่ภายในเรา พระคริสต์จะทำเอง
ถ้าสมมุติว่าเรานัดกับพี่น้อง ผมเห็นว่าตอนเช้าหกโมงเช้า เรามาอ่านพระคัมภีร์ด้วยกันดีไหม แล้วก็หนุนใจแบ่งปันในสิ่งที่เราเห็นอะไรที่รู้สึกว่าเสริมสร้าง ดีไหมครับ
ถ้าพี่น้องนะครับเห็นว่า หกโมงเช้าฉันไม่มีภาระอะไร แล้วก็คืออยากจะร่วมด้วย ก็ทำ คือแบบทำด้วยความเต็มใจ ทำแบบชีวิต ไม่ถือว่าถูกบังคับนะครับ ก็ทำ อันนี้เรียกว่าชีวิต
มันแตกต่างกันตรงที่ คือการบังคับใจฝืนใจ หรือไม่บังคับใจไม่ฝืนใจ ตรงนี้ครับ
อีกข้างหนึ่งเรียกว่า รูปแนวศาสนา กฎเกณฑ์ law แต่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ฝ่ายวิญญาณ เราทำด้วยความเต็มใจพอใจ
เรื่องนัดหกโมงเช้าเจ็ดโมงเช้า เรื่องการนัดกัน ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาตรงที่ว่า ฝืนใจทำไหม
สมัยก่อนเราทำ เราอดอาหาร เราคือแบบไม่อยากอด แต่เราต้องลุกต้องตื่นนอนขึ้นมาอด. ใช่ไหม บอกว่าต้องทำ ต้องทำให้มันได้ เป็นการบังคับตัวเอง เรียกว่าอยู่ภายใต้กฎ เปาโลบอก โรม 6:14 อย่าอยู่ภายใต้กฎ เพื่อตัวบาปจะไม่ได้ครอบคลุมท่าน เมื่อเราอยู่ภายใต้กฎอะไรก็ตาม ตัวบาปจะมีอำนาจเหนือเราทันที เราไปอ่านดูในโรมบทที่ 6:14
“โรม 6:14 พราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ก็คือ law ก็คือ กฎเกณฑ์) แต่อยู่ใต้พระคุณ”
- การอยู่ใต้พระคุณ ก็คือ พระคริสต์ทำแทน
- การอยู่ใต้พระคุณ ก็คือ การอยู่ใต้การกระทำของพระคริสต์
** การอยู่ใต้ law ก็คือการอยู่ใต้เนื้อหนัง ใช้เนื้อหนังเป็นคนรักษาพระบัญญัติ รักษากฎเกณฑ์ต่างๆ ถ้าเราไม่อยากเป็นเนื้อหนัง เราอยู่ใต้พระคุณ ให้พระเยซูทำแทน ทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่าทำถ้าหากเราฝืนใจทำ ถ้ามีการฝืนใจไม่เต็มใจก็อย่าทำนะครับ เพราะว่าอันนั้นเรียกว่าอยู่ใต้พระบัญญัติ
** ทางแห่งชีวิต ต้องทำทุกสิ่งด้วยความรัก (the "life" way must do all things with love) เมื่อเราพูดคุย เราเสริมสร้าง ให้คำปรึกษา เราทำในพระวิญญาณและด้วยรักเป็นที่หนึ่ง
สัมมนาครั้งนี้ผมเน้นมากใช่ไหม รัก รัก รัก รัก เมื่อเรารู้แล้วว่าพระเจ้ารักเรา เรารู้แล้วว่าพระเจ้าต้องการเปิดตาเรา พระเจ้านำเรามาพบมานาที่ซ่อนไว้ สิ่งที่เราจะทำต่อไปก็คือ เอารักไปให้คนอื่น เอเมน
ถ้าเรามาถึงสัมมนาจริงๆ ก็คือเรามาถึงความรักของพระคริสต์ เอารักของพระคริสต์เป็นใหญ่ ให้ความรักนำหน้าเรา
อีกครั้ง.. ส้มตำที่ไม่ใส่ปลาร้าฉันใด ก็ไม่ต่างไปจากคริสเตียนที่ไม่มีความรักฉันนั้น
** ความรู้มีสองรู้ (there are two knowing)
การได้พบมานาฯ ครั้งแรกเรียกว่าได้รู้ แต่การได้รู้ครั้งที่สองคือได้มีประสบการณ์ในชีวิตพระคริสต์ อันนี้ยากกว่าแต่ในพระคริสต์เราทำได้ทุกสิ่ง
ยกตัวอย่างเรื่องการเรียนขับรถ ตอนที่เราเรียนวิธีขับก็ย่อมจะง่ายกว่าการได้มาลองขับเอง
** ความรู้มีสอง ได้มีประสบการณ์ในชีวิตพระคริสต์
ความรู้มีสองรู้นะครับ รู้ที่หนึ่ง ก็คือเรารับมานาฯ แล้ว ถูกเปิดตาแล้ว ได้รู้เรื่องการมาทางพระโลหิต การยกโทษบาป รอด 2 รอด 4 ยุค อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ อันนี้คือรู้อันแรก
แต่รู้อันที่สอง ก็คืออะไร ได้มีประสบการณ์ในชีวิตพระคริสต์ อันนี้ยากกว่าแต่ในพระคริสต์เราทำได้ทุกสิ่ง เอเมน
ทุกวันนี้เรารอการรู้ที่สอง ก็คือการได้สัมผัสประสบการณ์ ได้เห็นใจใหม่ สันติสุขขอบคุณพระเจ้าเราได้รับแล้ว ความชื่นชมยินดี เราอยู่ในพระวิญญาณตลอดเวลาเราก็ชื่นชมยินดีแล้ว แต่การมีใจใหม่ มีจิตใจใหม่ต้องรอเวลา คือเข้าสู่ประสบการณ์ การรู้ที่สอง
เปาโลพูดถึงในโรมบทที่ 6 รู้มีสองรู้ ..
รู้ที่หนึ่ง คือได้ถูกเปิดตา เห็นมานาที่ซ่อนไว้
รู้ที่สอง ก็คือชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลง เริ่มสำแดงชีวิตใหม่ได้แล้ว พระคริสต์เริ่มทำแทนแล้วไม่มากก็น้อย เรียกว่ารู้ที่สอง
ตอนนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องการสามัคคีธรรม ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์นะครับ การสามัคคีธรรมของคริสเตียนพวกเรา เราไม่ควรมาแต่เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น วันเดียวไม่พอนะ ไม่พอ คือพระเจ้าต้องการเราทุกๆ วัน เอเมนไหมครับ แต่เรื่องการสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้อง คืออาจจะไม่ทุกวันก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกของเรา พระเจ้าไม่บังคับเรา อย่าฝืนใจทำนะครับ
เรารู้สึกว่าอยากสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่อยู่ใกล้ๆ บ้านเรา เราก็ชวนกัน เราก็บอกว่าวันไหนดี จันทร์อังคารพุธแล้วแต่ แล้วแต่สะดวก เราตกลงกัน
- เรื่องวันและเวลา : เราไม่ตั้งกฏเกณฑ์แน่นอนว่าต้องวันไหน เราเปลี่ยนได้ ตามที่พี่น้องส่วนมากจะสะดวก
- เรื่องสถานที่ : พี่น้องที่สะดวกจะไปร่วมกันที่บ้านของคนที่เปิดต้อนรับก็ได้
เราไม่นับนะครับเราไม่พูดถึงวันอาทิตย์ วันอาทิตย์ คือเราอาจจะอยู่บ้านของใครที่สะดวกที่เปิดบ้านไว้เพื่อต้อนรับพี่น้อง นมัสการในวันอาทิตย์
แต่วันจันทร์วันอังคารวันพุธวันอะไรก็ได้ที่เราตั้งนะครับอีกวันหนึ่ง เราชวนพี่น้อง วันนี้ผมเปิดบ้าน เชิญพี่น้องมาร่วมสามัคคีธรรมที่บ้านของผม อีกวันใหม่อาทิตย์หน้า มีคนเสนอบอกว่า วันนี้ขอบ้านของผมได้ไหม
การต้อนรับพี่น้อง ก็คือการต้อนรับพระเยซู การเลี้ยงดูพี่น้อง เอาผลไม้ เอาน้ำให้ดื่ม ก็คือการเอาให้พระเยซู การดูแลเอาใจใส่พี่น้อง ก็คือการได้ดูแลเอาใจใส่ตัวตนของพระเยซู
ถ้าเราดูหมิ่นเรามองลบพี่น้อง ก็คือเราได้มองลบพระเยซู
อันนี้พระเยซูพูดเองใน มัทธิว 25:35-40 เจ้าไม่เคยมาเยี่ยมเราเลย เราติดคุก อ้าว พระเยซูติดคุกวันไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ พระเยซูบอกนะครับ เจ้าทำดีกับพี่น้องของเจ้า เจ้าก็ได้ทำดีกับเราแล้ว
เพราะฉันเมื่อเรามองทุกคน เราต้องมองเห็นพระเยซู เราต้อนรับก็ต้องต้อนรับพระเยซู พี่น้องเอาน้ำให้ผมดื่มก็คือพี่น้องได้ต้อนรับเอาน้ำให้พระเยซูดื่ม (อยู่ในผม)
ถ้าบ้านผมอยู่ไกล : เราแบ่งเป็นหลายกลุ่มได้ ใครอยู้ใกล้กลุ่มไหนก็ไปที่นั่น แต่เรายังเป็นหนึ่งในพระกาย
อย่าคิดว่าเราต้องมาที่คริสตจักรหรือมาบ้านใครก็ได้ ที่แบบคือมันขับรถไกลมาก คือไม่จำเป็นนะครับ ไม่จำเป็นต้องไปไกลๆ แล้วแต่ความสะดวกของเรา เราชวนพี่น้องที่อยู่ใกล้บ้านเรา สามัคคีธรรมร่วมกันก็ได้ 2-3 คน 4-5 คนแล้วแต่ ไม่เป็นไร 2 คนพระเยซูก็อยู่ด้วย 3 คนพระเยซูก็ร่วมกับเรา เอเมนไหมครับ อย่าคิดว่า มีคนน้อย คือ 2-3 คน มันคงจะไม่เวิร์ค อันนั้นไม่ต้องคิดนะครับ คริสตจักรของพระเจ้าเริ่มจาก 2 คนก็ได้ 3 คนก็ได้
เราจะนำอาหารติดมือมาด้วย หรือเจ้าของบ้านขอรับแขกเอง ใครไม่มีอะไรติดมือมาก็ไม่เป็นไร ตามสะดวก น้ำดื่ม อาหาร ผลไม้ ขนมปัง
ในอเมริกาเราทำแบบนี้ครับ คือพี่น้องที่เปิดบ้าน ก็จะบอกว่าเรื่องอาหารเรื่องอะไรไม่ต้องห่วงนะ แต่บางคนนะครับจะบอกตรงๆ พูดตรงๆ แบบคือไม่เกรงใจ ช่วงนี้คือตกงาน ช่วงนี้ไม่สะดวกเรื่องการงานการเงิน ถ้าพี่น้องจะหิ้วน้ำดื่ม ผลไม้มา มามีส่วนด้วยก็ดีเหมือนกันนะ เขาจะพูดเลยนะคือไม่เกรงใจ
คนเอเชียนะครับเป็นคนขี้เกรงใจ แบบคือรักษาหน้าก็อาจจะเป็นได้ ขี้เกรงใจรักษาหน้า (ไม่เป็นไรไม่เป็นไรหรอก สบายๆ ฉันเลี้ยงเองนะวันนี้ ฉันเลี้ยงเอง ไม่เป็นไร) แต่ไม่พอใจ ไม่ดีใจ นี่คือปัญหาของคนเอเชียเรา
แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่มีเอเชีย ไม่มีอเมริกัน ไม่มียุโรป เราเป็นอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ เราเป็นบุตรพระเจ้า เราไม่มีเชื้อมีชาติมีเผ่าพันธุ์ไหนก็ตาม เราเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องเกรงใจ เราบอกว่าตอนนี้ขัดสน ตอนนี้ไม่สะดวก คือช่วยได้ไหม พี่น้องก็เต็มใจช่วยครับ เราช่วยกัน
ทำอะไรก็ตามนะครับถ้าทำแล้วสบายใจ ทำเราไม่ฝืนใจทำ แล้วไม่ลำบากใจตัวเอง ไม่ต้องเอาภาระของคนอื่นมาแบก หรือแบกภาระหนักเกินไป พี่น้องในพระคริสต์ก็ต้องแบกช่วยกันสิครับใช่ไหม แบกภาระเราก็แบกด้วยกัน
เรื่องอาหาร เราต้องตระหนักถึงความเดือดร้อนหรือลำบากของกันและกัน เพื่อจะไม่มีใครเสียใจน้อยใจภายหลังเพราะรับภาระหนักและจ่ายเยอะคนเดียว
ทุกคนมีส่วนไม่ใช่คนเดียวรับผิดชอบครับ แต่ตอนนี้พี่น้องที่รับผิดชอบ เขาก็สมัครใจ เขาก็เต็มใจ แต่ขอบพระคุณพระเจ้าเขารู้ดีว่าเขาได้รับบำเหน็จรางวัลมากมาย
เราต้องเข้าใจนะครับเรื่อง คือใครไม่ทำ ใครไม่เอามา เราหนุนใจเราบอกพี่น้อง แต่หลายคนยังไม่พร้อมยังทำไม่ได้ เราก็ไม่เป็นไร เราก็เอเมนครับ ใครทำได้ก็ทำ ใครทำไม่ได้ก็ไม่ต้องไปมองลบกับเขา
แล้วคริสจักรอีกเรื่องนึง ถ้าหากเรามีคริสตจักรของเรา มีคนมาหรือไม่มา เราก็เอเมน มีคนมากมีคนน้อย มีคนเยอะคนน้อย เราก็เอเมน มีใครมาแล้วอยู่ได้กับเราแค่อาทิตย์นึงสองอาทิตย์แล้วหนีไปไม่มาอีกเลย เราก็เอเมน
คริสตจักรพระเยซูเป็นคนก่อเป็นคนสร้าง เราเอเมนกับพระเยซู แล้วคนที่มาหรือไม่มา เราก็เอเมนกับพระเยซู คนที่อยู่ได้ไม่อยู่ได้ เราก็เอเมนกับพระเยซู คนที่มาเพื่อเสริมสร้างคริสตจักร เราก็เอเมน คนที่มาเพื่อสร้างปัญหาให้คริสตจักร เราก็เอเมน เราเอเมนกับพระเจ้าทุกเรื่อง
อย่าเอาภาระของพระเจ้ามาแบก พระเยซูเป็นคนสร้างคริสตจักร? ใช่ไหม เพราะฉะนั้นคริสตจักรทุกวันนี้ส่วนมาก เอาภาระของพระเยซูมาแบก เอาหน้าที่ของพระเจ้ามาทำ เอาบทบาทของพระเจ้ามาเล่น จำได้ไหมเรื่องแบกภาระ
พี่น้องยกเก้าอี้ด้วยนิ้วสองนิ้ว หนักไหม (หนัก) พระบิดามีคนมาคริสตจักร เดี๋ยวนี้เขาหายไปแล้ว แต่ข้าพระองค์ก็เอเมน ยกเก้าอี้ขึ้นสูงหน่อย พระบิดาตอนนี้มีคนสร้างปัญหาในคริสตจักรแล้ว ก็ไม่เป็นไรก็เอเมน ยกเก้าอี้ขึ้นสูงอีกหน่อยนึง พระบิดาตอนนี้คริสตจักรเริ่มมี 2 กลุ่มแล้ว เข้ากันไม่ได้ แต่ข้าพระองค์ก็วางใจ ปล่อยให้เป็นภาระของพระองค์ ก็เอเมน (แต่ยังยกเก้าอี้ที่หนักอยู่ ไม่วางลง)
นี่คือการเล่นบทบาทของพระเจ้า เราคริสตจักรที่ กทม ก็มีประสบการณ์นี้ใช่ไหมครับ ยังมีอยู่นะผมรู้
คือการตั้งกลุ่มมานาฯ ครั้งแรก คริสตจักรเที่ยงแท้ เราจะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย มีปัญหามากมายหลายอย่างให้เราต้องแก้ไข กว่าจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ กว่าจะเป็นรูปเป็นร่างเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ได้ ต้องจ่ายราคา ต้องเสียใจ เสียความรู้สึก ต้องท้อ คือคิดจะหนี มันมีอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะ แต่สุดท้ายเราก็ได้ทองคำแท้ถวายแด่พระเจ้า เอเมน
เราอย่าเล่นบทบาทของพระเจ้า อย่าทำหน้าที่ของพระเจ้า คนมาไม่มา เราเอเมน คนน้อยไม่น้อย เราเอเมน คนนั่งเล่นเฟซเรานมัสการพระเจ้า เราไม่มองเราเอเมน
คริสตจักรทุกวันนี้ส่วนมากใช้มือถือได้ บางคนอ้างว่า ฉันดูข้อพระคัมภีร์นะดูข้อพระคัมภีร์ แต่ไปแอบกดไลค์ เราอย่าไปสนนะครับ เราเอเมน
ใครตั้งใจใส่ใจในการนมัสการ จดจ่อที่พระวิญญาณ จดจ่อที่การสรรเสริญพระเจ้า เราก็เอเมน ใครไม่ตั้งใจไม่ใส่ใจ เราก็เอเมน ใครเดินไปเดินมาไปห้องน้ำหลายครั้ง เราก็เอเมน อย่าไปใส่ใจคนอื่น วันนั้นเป็นวันที่ระหว่างเรากับพระเจ้า เอเมนด้วยกัน แล้วเราก็ช่วยพี่น้องด้วยการเผยพระวจนะ เท่านั้นครับที่เราทำได้ แต่เรื่องอื่นอย่าไปมอง เหมือนเมื่อก่อนที่เราเป็นใช่ไหม
อ่านเรื่อง: การอยู่ในพระวิญญาณ และเดินในพระวิญญาณทุกก้าว