1. ที่มาของคำว่า “ในอาดัม”
2. ที่มาของคำว่า “ในพระคริสต์”
เมื่อเราค้นพบชีวิตของเราแล้วว่า ชีวิตเก่าของเราตายแล้วเมื่อสองพันปีก่อน ขณะที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เราก็มีส่วนในการตายนั้นด้วย เมื่อพระเยซูถูกฝัง เราก็ถูกฝังกับพระองค์ เมื่อพระเยซูเป็นขึ้น เราก็ได้รับชีวิตใหม่ และเมื่อพระเยซูได้รับสง่าราศีจากพระบิดา เราก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
เรารู้แล้วว่า ทุกวันนี้ชีวิตของเราเป็นคนใหม่ มนุษย์คนเก่าตายไปแล้ว การที่จะเป็นคนใหม่ในแต่ละวัน การที่จะตายต่อตัวเก่าในแต่ละวัน เป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้าหากเราไม่มีความเชื่อ ถ้าหากเราไม่เชื่อ ไม่เชื่อเอาว่าในแต่ละวันตัวเก่าของเราตาย ไม่เชื่อว่าทุกวันนี้ตัวใหม่เราเป็นอยู่ ก็จะไม่มีผลอะไร การดำเนินชีวิตของคริสเตียนอยู่ที่ความเชื่อครับ เราเดินด้วยความเชื่อ ไม่ใช่เดินด้วยตามองเห็น (2 คร 5:7)
อีกครั้งนะครับ เมื่อเราค้นพบตัวจริงของเรา ซึ่งเป็นมนุษย์วิญญาณ (The Spiritual Man) เรามีพระคริสต์อยู่ในเรา สองคนอยู่ในร่างเดียว ใช้ชีวิตนี้เพื่อเกิดผลถวายเกียรติแด่พระเจ้า ซึ่งพระเยซูเป็นคนกระทำ เป็นคนเกิดผลของชีวิตใหม่ ผลของพระวิญญาณ ไม่ใช่ผลความดีของเราเอง ในแต่ละวันภาระของเราจะเบามาก เรามีสันติสุขได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที เราเลิกกลัวพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เราทำผิดเราสารภาพบาป เรากลับมายืนอยู่ในการสนิทกับพระคริสต์ อยู่ในพระเจ้าในแต่ละวัน พูดคุย สนทนา บอกรัก สร้างความสัมพันธ์
และทุกครั้งที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราสนิทสนม พูดคุย บอกรัก เราเชื่อว่าเรากำลังรับสันติสุข รับน้ำแห่งชีวิต รับพระวิญญาณ รับทุกสิ่งที่เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณเข้ามาสู่จิตใจของเรา เข้ามาทางวิญญาณ เพราะว่าบ่อน้ำแห่งชีวิตอยู่ในวิญญาณแล้ว พระวิญญาณก็อยู่ในวิญญาณแล้ว (ยน 4:14; 14:16)
การเต็มล้นไม่ได้ยาก ไม่ใช่ว่าเราจะขอจากเบื้องบน แต่เราเชื่อว่า เรากำลังรับพระวิญญาณของพระเจ้า พระวิญญาณก็เต็มล้น ซึ่งมาจากวิญญาณของเราเข้ามาสู่จิตใจ และการได้รับน้ำแห่งชีวิตและสันติสุข ก็คือได้รับจากวิญญาณเข้ามาสู่จิตใจ
และต่อมา สิ่งที่สำคัญมากที่เราควรจะแสวงหาอีกสิ่งหนึ่ง คือเราต้องค้นหาความจริงของพระเจ้า เมื่อเราค้นพบตัวจริงของเราแล้ว เราจะต้องค้นหาความจริงของพระเจ้า เพื่อเดินอยู่ในความจริงนี้
เมื่ออาดัมทำบาป มนุษย์กลายเป็นเนื้อหนัง และเสื่อมจากสภาพของร่างกายของชีวิตอมตะนิรันดร์ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ชีวิตของอาดัมและลูกหลาน ให้อยู่ในความสว่างของพระเจ้า มนุษย์จึงถูกขายให้บาป (โรม 7:14) และตัวบาปที่เป็นชีวิตของซาตานที่เป็นบุคคล ก็เข้ามาอยู่ในอาดัมเอวา และขยายชีวิตของมันไปสู่ลูกหลาน และมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจากอาดัม ก็ได้รับชีวิตของซาตานที่เรียกว่าตัวบาป ที่เป็นบุคคล มันมีชีวิต และมันอยู่ในมนุษย์เราทุกคน อยู่ในเนื้อหนัง (โรม 5:12)
ในแต่ละวัน มนุษย์ทุกคนจะมีตัวบาปนี้สิงสถิตอยู่ในเนื้อหนัง ในจิตส่วนที่ยังไม่ได้รับการชำระจากพระเจ้า และยังไม่ได้รับการครอบครองจากพระเจ้า (โรม 7:17–18, 20–24)
และเมื่ออาดัมทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า อาดัมถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง และถูกพิพากษา มนุษย์เราทุกคนจึงกลายเป็นคนบาป (โรม 3:23; 5:18–19) วิญญาณของมนุษย์จึงตายแล้ว จิตใจของมนุษย์ก็ป่วยแล้ว (ยรม 17:9) ร่างกายของมนุษย์ก็กลายเป็นร่างกายแห่งความบาป และร่างกายแห่งความตาย ซึ่งไวต่อการบาป ช้าต่อการทำดี และอ่อนแรงต่อการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
โลกซึ่งเมื่อก่อนจากการอยู่ในสภาพของความเป็นจริง หรือความจริง ภาษาอังกฤษเรียกว่า God’s Reality (ความเป็นจริง) God’s Light (ความสว่าง/ความจริง) จากสภาพที่เป็นอมตะ กลายเป็นสภาพที่เสื่อมโทรม เสื่อมทราม เสื่อมสลาย กลายเป็นเงา และเป็นสิ่งที่ชั่วคราว
มนุษย์ตกจากสภาพของความบริสุทธิ์ กลายเป็นความไม่บริสุทธิ์ และมนุษย์อยู่ในความตาย เป็นคนตาย ซึ่งเมื่อก่อนมีชีวิต แต่เมื่อทำบาปก็ถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง และกลายเป็นคนตาย
การทำดีของมนุษย์ ทุกสิ่งที่ทำออกมาเรียกว่า ความดีที่ตายแล้ว ความชอบธรรมของมนุษย์ ก็คือความชอบธรรมที่ตายแล้ว และความบริสุทธิ์ของมนุษย์ มนุษย์จะรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ไม่ทำบาปยังไงก็ตาม แต่ความบริสุทธิ์นั้นเรียกว่า ความบริสุทธิ์ที่ตายแล้ว
ผลงานของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะทำอะไร มนุษย์มองเห็นคุณค่า เห็นว่าดี มนุษย์ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และทำดีมากมาย แต่การช่วยเหลือหรือผลงานเหล่านั้นเรียกว่า ผลงานที่ตายแล้ว และความรักที่มนุษย์มีให้กัน ก็คือความรักที่ตายแล้ว
ฐานะของมนุษย์ (Condition) สภาพของมนุษย์ที่เคยอยู่ในพระเจ้า ก็ตกต่ำกลายมาเป็นอยู่ในอาดัมในที่สุด อยู่ในโลกในเนื้อหนัง และตำแหน่งของมนุษย์ (Position) ซึ่งเมื่อก่อนอยู่ในพระเจ้า แต่ตอนนี้ก็อยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในอาดัม อยู่ในโลกนี้ และจากการที่เคยมีพระเจ้าเป็นนาย (Master) แต่ต่อมามนุษย์มีตัวบาปเป็นนาย
สรุปก็คือ ธรรมชาติของมนุษย์กลายเป็นคนบาป คนเสื่อมทราม ตกต่ำ ถูกสาปแช่ง ถูกลงโทษ ถูกพิพากษา ป่วย อยู่ในความมืด อยู่ในความไม่จริง อยู่ในสภาพของสิ่งที่เป็นสิ่งชั่วคราว ทุกวันนี้มนุษย์เกิดมา แทนที่จะมีพระเจ้าเป็นพระบิดา แต่มนุษย์ทุกคนเกิดมามีพ่อเป็นมาร (ยน 8:42–44)
...
อีกครั้งนะครับ มนุษย์ทุกคนกลายเป็นคนบาป ไม่ใช่การทำชั่ว ไม่ใช่การทำบาป แต่เพราะการเกิด เป็นเพราะการได้เกิดมาจากอาดัมนี่เอง (โรม 5:19–21) และทางออกทางเดียวที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา คือต้องตาย มนุษย์ทุกคนที่จะเกิดใหม่ได้ก็ต้องตายก่อน และพระเจ้าประหารชีวิตองเราให้ตายหมดแล้ว ที่กางเขนเมื่อสองพันปีก่อน ทุกคนที่เชื่อ เมื่อเราตายกับพระเยซูแล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ (ยน 3:3–5, 15–16; โรม 5:19–21)
สำหรับเรื่องการเป็นคนบาป หรือการเป็นคนชอบธรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำดีหรือทำชั่ว แต่เป็นเรื่องของการเกิดครับ การที่เราเกิดมาเป็นคนบาป เพราะว่าเราเกิดมาในอาดัมที่เป็นคนบาป และการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ทำให้เราหลุดจากสภาพของการเป็นคนบาป กลายมาเป็นคนชอบธรรม
การเป็นคนบาปหรือเป็นคนชอบธรรม ไม่เกี่ยวกับการที่เราพยายามหนีจากความบาป กระทำดีเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นคนดี และเราจึงกลายเป็นคนดี ไม่ครับผม การที่เราจะหลุดพ้นจากสภาพของการเป็นคนบาป และกลายมาเป็นคนชอบธรรมได้ ก็คือการตายจากตัวเก่า ตายจากชีวิตเก่าชีวิตอาดัม และบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งการบังเกิดใหม่นี้เราได้มาโดยทางความเชื่อ
เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณก็ชุบชีวิตของเราให้เป็นขึ้นมาใหม่ มีพี่น้องคริสเตียนจำนวนมากมาย เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว ยังคิดว่าเค้าเป็นคนบาป และในแต่ละวันก็พยายามทำดี พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ เชื่อฟังพระเจ้าให้ได้ เพื่อวันหนึ่งพี่น้องเหล่านั้นคิดว่าเค้าจะกลายเป็นคนชอบธรรมได้ แต่แท้ที่จริงนะครับ สำหรับพระเจ้า พระเจ้าทรงกระทุกสิ่งแล้วในพระคริสต์ และทุกคนที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เชื่อในพระคริสต์ ก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว
โรม 5:1 เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว โดยทางความเชื่อ
และอีกครั้งนะครับ โรม 5:19–21 คนๆ เดียวทำให้เราเป็นคนบาป และคนอีกคนหนึ่งทำให้เรากลายเป็นคนชอบธรรม
เมื่อพระเยซูสเด็จมาในสภาพของอาดัมคนสุดท้าย พระเยซูตายบนไม้กางเขนเพื่อจบสิ้นเผ่าพันธุ์ของอาดัมคนแรก และอีกสามวันต่อมา พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เป็นพระวิญญาณ เป็นมนุษย์วิญญาณ และมนุษย์วิญญาณคนนี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “มนุษย์คนที่สอง”
มนุษย์คนที่สองคนนี้ สามารถแจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ และชีวิตของพระองค์ให้ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ เราทุกคนจึงมีส่วนในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ มนุษย์คนที่สองคนนี้เป็นมนุษย์วิญญาณ เราทุกคนได้รับชีวิตของพระวิญญาณ เราจึงกลายเป็นมนุษย์วิญญาณเหมือนกัน
ชีวิตของเราที่แท้จริงทุกวันนี้อยู่ข้างใน ตัวจริงของเราอยู่ข้างใน เป็นวิญญาณที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ อยู่กับพระวิญญาณ ซึ่งทุกวันนี้พระเจ้าทำงานหนักมาก เพื่อที่จะครอบครองจิตใจของเรา ซึ่งถูกตัวบาปครอบงำอยู่ และโดยความเชื่อทุกวัน เราบอกพระเจ้าว่า “ขอบพระคุณพระเจ้า ที่จิตใจของข้าพระองค์ถูกพระองค์ครอบครองแล้ว พระองค์สร้างบ้านแล้ว ขอบพระคุณพระเยซู” เราก็จะเห็นการครอบครองของพระเจ้ามากขึ้นๆ ในแต่ละวัน (อฟ 3:17)
1. ในอาดัมเดินด้วยตา หู อารมณ์ และความรู้สึก
ในอาดัมเป็นสิ่งที่ตาเรามองเห็น หูได้ยิน ประสาททั้งห้าสัมผัส เราเดินด้วยอารมณ์และความรู้สึก เราเห็นสีขาวเราก็บอกว่าเป็นสีขาว เห็นสีแดงเราก็บอกว่าเป็นสีแดง รู้สึกร้อนเราก็บอกว่าร้อน รู้สึกเย็นเราก็บอกว่าเย็น รู้สึกโกรธเราก็บอกว่าโกรธ เราอ่อนล้าไม่มีกำลัง เราก็บอกว่าเราอ่อนแอไม่มีกำลัง เมื่อเราเข้มแข็ง เราก็บอกว่าเราเข้มแข็ง นี่คือการเดินด้วยตามองเห็น หูได้ยิน และอารมณ์ความรู้สึกที่สัมผัส
2. ในพระคริสต์เดินด้วยเชื่อ เชื่อว่าดีแล้ว เข้มแข็งแล้ว สุขแล้ว ชนะแล้ว
แต่อีกโลกหนึ่งซี่งเป็นโลกวิญญาณ ในพระคริสต์ ในวิญญาณ เรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรสวรรค์ที่ตามองไม่เห็น ชีวิตจริงของเราทุกวันนี้อยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรของพระเจ้าที่ตาเรามองไม่เห็น พระเยซูเป็นกษัตริย์ที่ครอบครองอยู่ในวิญญาณของเรา และเราเป็นประชากรของอาณาจักรสวรรค์ ที่กำลังฝึกฝนชีวิตของเรา ให้เราเชื่อมากขึ้นๆ ว่า พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา และสร้างบ้านอยู่ในจิตใจของเรา เราเชื่อมากเท่าไหร่ เมื่อเราอยู่ในความเชื่อ และยืนอยู่ในความจริงนี้มากเท่าไหร่ เราจะเห็นว่า ชีวิตของเรามีความพร้อมมากขึ้นที่จะดำเนินชีวิตเป็นคนใหม่ เป็นผู้ชนะ และเกิดผลของพระวิญญาณในแต่ละวันได้
...
อีกครั้งนะครับ สำหรับคริสเตียน โลกนี้มีสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์ และอีกฝ่ายหนึ่งคือฝ่ายเนื้อหนัง อยู่ในอาดัม
การที่จะอยู่ในอาดัม ในแต่ละวันเราไม่ต้องเชื่อ เราก็อยู่ในอาดัมอยู่แล้ว เราตื่นนอนก็เห็นร่างกายของเรา เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกง่วงนอน ร้อน หนาว เย็น อารมณ์ดีหรือไม่ดี มันก็เป็นอยู่แล้วไม่ต้องเชื่อ
แต่การที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ ในฝ่ายวิญญาณ มีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต มีน้ำมัน มีสันติสุข มีทุกสิ่งที่เป็นพระพรฝ่ายวิญญาณอยู่ในโลกวิญญาณ ฤทธิ์เดช การอัศจรรย์ ความรัก พระคุณ และมรดกของพระเยซูทุกสิ่งที่เราจะได้รับ ที่เราจะมีประสบการณ์ในฝ่ายวิญญาณนี้ คือเราต้องเชื่อ ความเชื่อคือสิ่งเดียวเท่านั้น ที่เราจะสามารถใช้เพื่อเข้าไปมีประสบการณ์ในฝ่ายวิญญาณ ในโลกวิญญาณ ในอาณาจักรของพระเจ้าได้
ในพระคริสต์ เรียกว่าความจริงของพระเจ้า (God’s Fact) ในพระคริสต์ เรียกว่าความเป็นจริงของพระเจ้า (God’s Reality)
เมื่อเราตื่นนอน เรารู้สึกง่วงนอน รู้สึกเหนื่อย แต่เราบอกว่า “พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ ในพระคริสต์มีแต่กำลัง ในพระคริสต์ไม่มีความอ่อนแอ ในพระคริสต์มีแต่กำลัง มีแต่พลังมหาศาล ขอบพระคุณพระเยซู ในพระคริสต์ไม่มีความเป็นทุกข์ มีแต่สันติสุข”
เมื่อเราขอบพระคุณ เรายิ้ม เราเชื่อ ทั้งๆ ที่เรายังไม่เห็น ทั้งๆ ที่เรายังไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ และอีกไม่นานต่อมา ไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาทีต่อมา เราจะสัมผัสบางสิ่งบางอบ่างที่อยู่ภายในเราเคลื่อนไหว สันติสุข พลัง ฤทธิ์เดชอำนาจ กำลังมหาศาล กฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตจะกระตุ้นเราให้เกิดความกระตือรือร้นร้อนรน มีการเผาไหม้ภายใน ให้เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ มีชีวิตที่เข้มแข็งในการที่จะดำเนินชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าได้ และชีวิตของพระคริสต์ก็จะดำเนินแทนเรา ทำแทนเรา
ทุกวันนี้มนุษย์ภายใน (Inner Man) คือวิญญาณของเราที่มีพระคริสต์ และจิตใจส่วนที่ได้รับการชำระแล้วกำลังเติบโต แต่มนุษย์ภายนอก (Outer Man) คือจิตใจส่วนที่ยังไม่ได้รับการชำระ ที่ยังทำบาปอยู่ ถูกตัวบาปครอบครองอยู่ และร่างกายนี้กำลังตายไปที่ละน้อยๆ เนื่องจากการครอบครองของพระคริสต์ ที่อยู่ในมนุษย์ภายในของเราขยายอาณาเขตมากขึ้น สิ่งที่พระเจ้าจะทำงาน และการเติบโตของเราจะมีมากขึ้น ก็คือการที่เราอยู่ในความเชื่อ เชื่ออยู่ในความจริง
การยืนอยู่ในความเชื่อ (เดินด้วย “เชื่อ” 2 คร 5:7) ที่เชื่ออยู่ในความจริงว่า เราเป็นคนใหม่แล้ว เรามีพระคริสต์ครอบครองในวิญญาณของเราร้อยเปอร์เซ็นต์ และพระวิญญาณพระคริสต์กำลังขยายอาณาเขตของพระองค์เข้าสู่จิตใจ เมื่อเราเชื่อมากเท่าไหร่ว่า พระเยซูสร้างบ้านครอบครองจิตใจของเรามากขึ้นๆ ในแต่ละวัน เราอยู่ในความจริงนี้ คือความจริงของพระเจ้า เราก็จะเห็นการทำงานของพระเจ้า และชีวิตจิตใจของเราก็จะเติบโต การทำบาปของเราก็จะน้อยลง
เราค้นพบความจริง ตัวจริงของเรา สิ่งที่สำคัญต่อมา ก็คือเราต้องค้นหาความจริงของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า ก็คือในพระวจนะคำของพระเจ้าที่บอกว่า ทุกสิ่งพระเจ้ากระทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์
อาณาจักรของพระเจ้าทุกวันนี้อยู่ในฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ตัวจริงของเราคือมนุษย์วิญญาณที่อยู่ในเรา และมนุษย์ที่เรามองเห็นนี้ที่เป็นเนื้อหนัง เป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ใช่ของจริง
ความหวังของเราไม่ใช่โลกนี้อีกต่อไป เรามองโลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว เรากำลังเดินทางในถิ่นทุรกันดาร เหมือนชนชาติอิสราเอลเดินทางสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร ทุกวันนี้บ้านเรือนของเราจะหลังใหญ่เท่าไหร่ ราคาแพงเท่าไหร่ หรือราคาถูกแค่ไหนไม่สำคัญ แต่บ้านเรือนที่เรามีอยู่ พระเจ้ามองว่าเป็นเต็นท์ เป็นเต็นท์ที่เรานอนชั่วคราว
จิตใจของเรา เราปักใจที่วิญญาณ อยู่ในวิญญาณ สรรสเริญพระเจ้าอยู่ในวิญญาณ มีชีวิตอยู่ในวิญญาณ สามัคคีธรมกับพระเยซูคริสต์อยู่ในวิญญาณ สนิทกับพระองค์อยู่ในวิญญาณ อธิษฐานในวิญญาณ นมัสการพระเจ้าในวิญญาณ ทำทุกสิ่งในวิญญาณ
เราปักใจใส่วิญญาณ และอยู่ในพระวิญญาณอยู่เสมอ (โรม 8:5–7) เราก็จะพบสันติสุขและชีวิต ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่กระตือรือร้น ร้อนรน ชีวิตที่ทำให้เราอยู่ในสภาพของการเป็นคนใหม่ รักพระเจ้า มีความผูกพันธ์กับพระองค์ และดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ในแต่ละวันได้
ขอให้เราเปลี่ยนมุมมองนะครับ การที่จะดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า คือการดำเนินชีวิตอยู่ในวิญญาณ (Walk in The Spirit) คือการดำเนินในวิญญาณ ในพระวิญญาณ ให้พระเจ้านำชีวิตของเรา ใช้ร่างกายนี้มากขึ้นๆ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ เราเป็นคนเก็บเกี่ยว พระเจ้าเป็นคนกระทำในเรา เราจะได้รับบำเหน็จรางวัลเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา และเราจะมีส่วนครอบครองกับพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์
การดำเนินชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ การดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า เรียกว่าการดำเนินชีวิตอยู่ใน “ความจริงของพระเจ้า” และความจริงของพระเจ้าทุกวันนี้ไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง
สำหรับพระเจ้า โลกนี้ก็คือความมืด ตายแล้ว เสื่อมแล้ว กำลังจะพินาศแล้ว และถ้าหากเราดำเนินชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในความจริงของพระเจ้า อยู่ในความเป็นจริงที่พระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา เราปักใจอยู่ในฝ่ายวิญญาณในพระวิญญาณ เราสะสมสมบัติไว้ในสวรรค์ เพื่อจะเป็นบำเหน็จของเราก็คือตำแหน่ง
การสะสมสมบัติของเรา ก็คือการทำดีที่ให้พระเยซูทำแทนเรา การรับใช้ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไป และการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในแต่ละวัน คือการให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินใจ ให้พระองค์เป็นผู้เคลื่อน เป็นผู้นำเราไป ไม่ใช่การดำเนินชีวิตที่เป็นไปตามใจตัวเองของเราทุกวัน และทำตามกำลังเรี่ยวแรงของเราที่มี ซึ่งเมื่อเราท้อเราก็หยุด และเมื่อเรามีปัญหาเราก็หนีไป
แต่สำหรับการอยู่ในฝ่ายวิญญาณ อยู่ในพระวิญญาณ เราจะสามารถกระทำทุกสิ่งได้ เพราะว่าสำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้นะครับ
ขอพระเจ้าช่วยเรานะครับที่จะเรียนรู้มากขึ้น เข้าใจมากขึ้นเรื่องความจริงของพระเจ้า ความเป็นจริงของพระเจ้าซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ และความเป็นจริงของพระเจ้าที่พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เราต้องพยายามทำอยู่ ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ให้เราเชื่อว่า ชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง คือชีวิตที่สำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่ากำลังเป็นอยู่ กำลังทำอยู่ กำลังก้าวไป แต่เป็นชีวิตที่สำเร็จแล้ว