ถาม.
อยากสอบถามอาจารย์นะคะ ว่าในกรณีที่เรารับมานาฯ ร่วมกับพี่น้องกลุ่มมานาฯ ค่ะ แล้วเสร็จแล้วทุกวันนี้คือไม่ได้ไปโบสถ์เลย แต่รอบด้านมีโบสถ์อยู่ใกล้ๆ แต่ว่าเป็นศาสนาเขาจะศาสนามาก เราไม่ค่อยยอมฟังค่ะอาจารย์ แล้วเขาจะมองเราว่าเป็นเทียมเท็จ แล้วไม่ค่อยได้ไปโบสถ์ จะไม่ไปโบสถ์เลย เวลาไปอ่ะมันไปไม่ได้ เราก็ไปนั่งร่วมกับเขา คือมันไปไม่ได้เลย แล้วก็เราจะต้องทำยังไงคะอาจารย์ ในกรณีที่ว่าเราไปร่วมกับพี่น้องไม่ได้
แล้วทุกวันนี้เราก็ร่วมกับพี่น้องกลุ่มมานาฯ วันเสาร์วันอาทิตย์อย่างเงี้ยค่ะ หรือว่าเราต้องอยู่แบบนี้ตลอด หรือว่าเราต้องประกาศ เวลาประกาศเรื่องมานาฯ การสนิทพระเจ้า ให้พระเจ้าทำแทน เขาก็อะไรคือพระเจ้าทำแทน อะไร คือเขาจะต่อต้านขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เราให้เขาอ่านแล้ว พูดให้เขาฟังแล้วประกาศให้เขาฟังแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมฟัง คือเขาศาสนามากเลยอ่ะค่ะ เราต้องทำยังไงค่ะ
ตอบ.
ก่อนอื่นนะครับคริสเตียนศาสนาทั่วไป แต่ละคริสตจักรจะมีคำสอนและมีผู้นำที่เป็นคนที่สร้างเกาะกำบัง สร้างกำแพงเพื่อป้องกัน ไม่ให้คำสอนอื่นนะครับเข้ามา
และสำหรับเราเรื่องประกาศนะครับ เรื่องประกาศ ก่อนอื่น การประกาศมานาฯ เราจะพูดถึงมานาฯ ที่ไม่ใช่อาหารผู้ใหญ่ก่อนนะครับ ก็คือบทเรียน 9 บท แต่เราตัดเรื่องอาณาจักร แล้วก็เรื่องที่จะพูดถึงเรื่องคริสต์มาส หรือสิบลด เราไม่ควรพูดถึง และเรื่องพระบัญญัติด้วย ไม่พูดถึงนะครับ
แต่เราจะพูดถึงเรื่องพระเจ้ายกโทษให้เรา อันนี้เป็นเรื่องที่ใครก็ชอบ ใครก็อยากฟัง แล้วฟังได้ทุกคน เรื่องพระเจ้ายกโทษ
แล้วต่อมาก็คือเรื่องสันติสุขทุกวันทุกเวลา แล้วต่อมาก็คือเรื่องพระคริสต์อยู่ในเรา 3-4 เรื่องนี้นะครับเป็นเรื่องที่เขารับได้เขาฟังได้ เราก็แบ่งให้เขาก่อนนะครับ
แต่เรื่องอะไรที่ขัดแย้งกับเขา เป็นคำสอนที่เขามองปุ๊บเนี่ยได้เห็นเลยว่ามันเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง เขาจะเริ่มปิดกำแพงทันที เริ่มไม่รับนะครับ
และสิ่งที่สอง สาเหตุที่เราไปร่วมกับพี่น้องคริสเตียนศาสนาไม่ได้เพราะอะไร เราทุกวันนี้หลายคนก็อายุเยอะแล้วเนาะ มีใครที่ไปกินอาหารเด็ก กลับไปกินอาหารเด็กบางอย่างได้ไหม เรากินนมทุกวันได้ไหม ไม่ได้ แล้วก็เราไปกินอาหารที่บดเป็นอาหารเหลวๆ ซีรีแล็คเหลวๆ ที่เด็กกินน่ะ เราไปกินได้ไหม เรากินไม่ได้มันไม่ใช่อาหารที่เรากิน เรากินเนื้อเรากินหมูกินไก่ เรากินอาหารที่ก็เรียกง่ายๆ ว่าอาหารผู้ใหญ่เนาะ
เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่เราก็กินอาหารผู้ใหญ่ พัฒนาไปแล้วนะครับ ก็คืออาหารเด็กเนี่ยเราแตะไม่ได้ เรากินไม่ได้ มันไม่ใช่อาหารของพวกเรากิน
เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ เมื่อเรากลับไปร่วมกับพี่น้องศาสนา หรือไปเยี่ยมเขา หรือไปร่วมกับเขา คำสอนเหล่านั้นที่เขาสอนมา มันจะเป็นคำสอนที่เป็นอาหารเด็กนะครับ เปาโลพูดเองนะครับอาหารเด็กเนี่ยสอนกันมานานแสนนาน แล้วมีทั้งเชื้อฟาริสี มีทั้งคำสอนที่ผิดแปลผิดนะครับ
เพราะฉะนั้นสองสิ่งนี้ทำให้คริสเตียน เมื่อมาพบความจริง ถ้าหากเขาไม่เปิดใจ ไม่ถ่อมใจจริงๆ เขาจะรับอาหารผู้ใหญ่ไม่ได้ อย่าลืมนะครับทุกวันนี้อาหารที่เรากินอยู่ เรารับแล้วเรามีสันติสุข เรามีความสุข เราร่วมกันมาจนถึงเกือบจะบ่ายโมง เรายังติดใจเพราะว่าพระวิญญาณเป็นคนพูด เพราะว่าเป็นอาหารที่มาจากสวรรค์ เพราะว่าเป็นพระคำแห่งความจริงที่มาจากพระวิญญาณแห่งความจริง เอเมน
นี่นะครับคือความแตกต่าง และเมื่อเราไปร่วมไม่ได้ ผิดไหม ไม่ผิดครับ ในหนังสือวิวรณ์บทที่ 2 นะครับ พูดถึงคริสตจักร 7 คริสตจักร พระเจ้าเตือนคริสตจักรศาสนาทั้งหลาย แล้วพระเจ้าก็นำคนออกมาเห็นไหมครับ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ออกมาจากคริสตจักรศาสนาใช่ไหม และปรากฏว่าพระเจ้านำเรามาสู่คริสตจักรที่เป็นคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ ก็คือคริสตจักรเอเฟซัสนะครับ หรือฟีลาเดลเฟีย
และพระเจ้าให้เราอยู่ด้วยกัน ข้อแรกก็คือ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้อง ต้องเป็นคนที่ยอมต่ำ ถ่อมถึงดิน ไม่ถกเถียง ไม่ต่อสู้ ไม่หาเรื่อง ไม่ตัดสินพี่น้อง มองบวก มองด้วยความรัก ทุกสิ่งด้วยความรักทั้งนั้น เอเมน
และข้อที่สอง ก็คือ เราเป็นคนรัก ไม่ใช่คนรบ ไม่ใช่ตำรวจเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่คนที่พยายามรักษาพระบัญญัติ เราเป็นคนที่อยู่เพื่อรัก นักรักนะครับ คริสเตียนฝ่ายวิญญาณเอเฟซัสนะครับ แล้วก็ฟีลาเดลเฟีย เขาอยู่เพื่อรัก และอยู่เพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เมื่อเราไปร่วมไม่ได้ ไม่ผิดนะครับ เราอยู่กับพี่น้อง ถ้าหากมีพระกายอยู่แถวๆ บ้านเรา อยู่ใกล้ๆ เรา เราไปร่วมได้สะดวกก็เอเมน แต่ถ้าหากไม่มีนะครับ ตอนนี้เราก็ร่วมกันในวิญญาณแล้ว เปาโลพูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือเราไม่สะดวกไปไหน เราอยู่ที่บ้าน ก็มีออนไลน์ หรือจิตสำนึกเรานะครับ นึกถึงคิดถึงพี่น้องและร่วมอธิษฐานนมัสการพระเจ้ากับพี่น้องที่ใดที่หนึ่งนะครับ นั่นก็คือการนมัสการในวิญญาณแล้ว เอเมน
แต่ถ้าจะไปถามคริสเตียนศาสนานะครับว่าไม่ไปโบสถ์ผิดไหม เขาบอกว่าผิดแน่นอน ต้องไปโบสถ์ ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายสิบลด ต้องรักษาพระบัญญัติเยอะแยะนะครับ
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้า เราเข้าใจพระคำแห่งความจริง เปาโลพูดโดยพระวิญญาณ ก็คือเราไม่สะดวกไปเราก็ร่วมนมัสการกับพี่น้องในวิญญาณได้ครับ
แล้วถามว่าจะอยู่แบบนี้ตลอดไปไหม เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ที่พระเจ้า บางครั้งพระเจ้าอาจจะให้เราอยู่แบบนั้น และประกาศข่าวประเสริฐ และนมัสการกับพี่น้องในวิญญาณไปนานหลายปี ก็เป็นได้ ก็เอเมนครับ
แต่บางครั้งพระเจ้าอาจจะให้มีคริสตจักรฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นได้ในที่ที่เราอยู่ เราก็เอเมนก็ขอบคุณพระเจ้า
แต่ตอนนี้ก็คือเราอยู่เพื่อรัก อยู่เพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และอยู่เพื่อประกาศพระเยซูคริสต์ครับ
...
ถาม.
ถ้าไปโบสถ์คริสตจักรศาสนาแล้วกลับมาไม่มีสันติสุข ก็ไม่ควรไป เพราะว่าตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ไม่ได้ไปไม่คิดอยากจะไปเลยค่ะ ก็ออกมาจากกลุ่มฟาริสีเพลงโบราณลีลาเยอะนั้น ก็มีสันติสุขมากขึ้นเลยค่ะ ขอบคุณพระเยซูเอเมน
ตอบ.
อันนี้เป็นเรื่องจริงครับคือมันจะเกิดขึ้นกับทุกคน ที่รับพระคำแห่งความจริง หรือพระคำล้ำลึกนี้ เมื่อเรารับมากขึ้นๆๆๆ นะครับ สุดท้ายก็ฟังแล้วมันรับไม่ได้ มันเข้าไม่ถึงเรา วิญญาณของเราไม่รับนะครับ ก็เกิดไม่มีความสุขไม่มีสันติสุขอยู่ภายใน
ถ้าเป็นในลักษณะนี้ แล้วเราเองนะครับไม่มีส่วนที่จะช่วยคริสตจักรเรื่องการเผยพระวจนะ เรื่องการแบ่งปันข่าวประเสริฐ เราออกมาดีกว่า แต่ถ้าใครที่ทนได้ใครที่อยู่เพื่อที่เห็นแก่พี่น้องที่ยังไม่ได้รับ อยากแบ่งปันมานาฯ ให้เขา ก็อยู่นะครับ แต่ขอให้การตัดสินใจและการนำพาเป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ
คือสำหรับผมเอง พยายามที่จะอยู่ อยู่ต่อนะครับ แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ พอคำเทศนาของผมมันเปลี่ยนไป จากเคยสอนว่าให้พยายามรักษาพระบัญญัติ ให้เคร่ง ให้ถวายสิบลด
ต่อมาผมเปลี่ยนคำสอนใหม่ เขาก็บอกว่าคำสอนไม่เหมือนเดิม คืออาจจะเป็นคนที่มีความจำที่ไม่มีความจำดีเท่าไหร่ หรือมีปัญหาเรื่องความเชื่อไปเอาความเชื่อมาจากไหนเป็นความเชื่อที่ผิด สุดท้ายก็เขาก็ไม่ฟัง เมื่อเขาไม่ฟังอาการตอบสนองที่ผมเห็นนะครับ รู้สึกว่าเราไปต่อไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องออกมาครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ ที่เราไปร่วมไม่ได้ทุกวันนี้ และเราไม่อยากไป เราเกิดไม่มีความสุข เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว อันนี้ไม่ใช่เราเองนะครับเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นคนเปิดตาเราเปิดความคิดของเราครับ
สำหรับพี่น้องที่อยู่ในคริสตจักรศาสนานานหลายปี ทุกคนมีประสบการณ์แบบนี้ผมเข้าใจ แล้วผมก็เป็นหนึ่งในนั้นนะครับ คือมันเป็นภาระเป็นแอกที่หนักมากๆ พยายามรักษาพระบัญญัติให้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วมันเป็นไปไม่ได้ด้วย แล้วเราเองก็อาจจะไม่ยอมแพ้เพราะว่ากลัวจะไม่รอด
ทุกวันนี้คริสเตียนแสวงหาสิ่งหนึ่งก็คือความรอด แต่ขอบพระคุณพระเจ้า เราพบว่าการที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นผู้ที่มาตายไถ่บาป เพื่อเราได้รับการยกโทษจากพระบิดา ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นคนกระทำ แล้วการได้กลายเป็นคนชอบธรรม และเป็นคนที่พระเจ้าพอใจ ก็คือโดยพระเยซู ไม่ใช่โดยเรา
เพราะฉะนั้นกิจการบทที่ 13 ข้อที่ 39 ก็คือทุกสิ่งที่จะทำให้เราชอบธรรม โดยการรักษาพระบัญญัติของโมเสสไม่มีอีกแล้ว ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้หลุดพ้นและได้หลุดได้ออกมาจากคอก และออกมาจากการพยายามรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
แต่เราเดี๋ยวนี้ ขอบพระคุณพระเยซู เราชอบธรรมทุกวัน ชอบธรรมทั้งวัน ชอบธรรมทุกเวลา เมื่อพระเจ้ามองมาที่เราเมื่อไหร่ พระเจ้าก็เห็นพระเยซูปกคลุมครอบคลุมเราอยู่ ไม่เห็นเรานะครับ พระเจ้าจึงพอใจในชีวิตของเรา และเรียกเราว่าผู้ชอบธรรม เอเมน
อ่านต่อ: คริสเตียนฝ่ายวิญญาณกับการไปโบสถ์