เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำเรามาถึงเรื่องที่ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว ก็คือรอดโดยพระคุณทางความเชื่อ เราสรรเสริญพระเยซูที่พระองค์เปิดตาเรา ซึ่งเมื่อก่อนเราอาจจะได้ยินคำสอนจากผู้นำหลายคนเกี่ยวกับเรื่องรอดโดยทางความเชื่อ แต่เราก็ยังไม่มั่นใจใช่ไหมเนื่องจากว่าเรายังไม่เข้ามาถึงการเปิดตาเกี่ยวกับเรื่องรอดมี 2 รอด
และวันนี้ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ไขข้อข้องใจ เรื่องข้อลึกลับแห่งอาณาจักร เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ให้เราเห็นว่า การรักษาพระบัญญัติใหม่ การเชื่อฟัง การเลิกทำบาป การกระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา คือเพื่อให้เราได้บำเหน็จ เพื่อให้เราได้เข้าไปในอาณาจักร มันไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดในวันสุดท้าย
ความรอดในวันสุดท้ายพระเจ้าประทานให้เราเป็นของขวัญ ในเอเฟซัสบทที่ 2 ข้อที่ 8 ถึงข้อที่ 9 ภาษาหลายภาษา พระคัมภีร์หลายภาษา และภาษาไทยภาษาลาวด้วย ก็คือความรอดพระเจ้าประทานให้ ไม่ชัดเจน แต่ภาษาอังกฤษและภาษากรีก ความรอดท่านได้รอดแล้ว ก็คือเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของท่าน ไม่เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ว่าภาษาไหนที่จะแปลถูกหรือแปลผิด ถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เปิด เขาก็เห็นไม่ได้ ในมัทธิวบทที่ 13 พระเยซูตรัสว่า อาณาจักรเป็นข้อลึกลับ อาณาจักรเป็นความลับ The Kingdom is the Mystery เพราะฉะนั้นความลับ คนที่เป็นเจ้าของเป็นคนเปิดให้ คนอื่นเปิดไม่ได้
เราขอบพระคุณพระบิดาที่พระองค์ให้สติปัญญาแก่เรา พระองค์เป็นคนเปิดให้เรา พระองค์ให้เราหายจากอาการตาบอดและมาถึงความเข้าใจที่ว่า การทำดีเชื่อฟังเป็นเรื่องของการได้เข้าไปในอาณาจักร เพื่อบำเหน็จ เพื่อที่จะร่วมครอบครองกับพระเยซูตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล
ส่วนความรอดในวันสุดท้าย เข้าสู่ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ อันนั้นก็คือเชื่อเท่านั้น ไม่มีเชื่อและรักษาพระบัญญัติ ไม่มีเชื่อและเชื่อฟัง ไม่มีเชื่อและรับบัพติศมา ไม่มีเชื่อและถวายสิบลด ไม่มีและ... มีแต่เชื่อเท่านั้น. ความเชื่อก็เพียงพอแล้วสำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าให้พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์เสด็จลงมา และตายและทำทุกสิ่งให้พระเจ้าพอใจ พระเจ้าจึงพอใจในการกระทำอันชอบธรรมของพระเยซู และเพื่อไถ่พวกเราโดยที่เราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเชื่อว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เท่านี้ก็พอแล้ว
ขอบพระคุณพระบิดาที่วันนี้เราได้รับการปลดปล่อย แอกที่หนักในเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเเอกของพระเยซูที่เบาสบาย
คือปัญหามันอยู่ตรงนี้ รากของปัญหา ก็คื มนุษย์ในโลกใบนี้ สิ่งที่มีค่ามาก และสิ่งที่ดีๆ มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ใช่ไหม หรือได้มาในราคาถูกมันไม่มีหรอก นี่คือความคิดของมนุษย์ คนเราทุกคนมักจะคิดในลักษณะนี้ แล้วก็เรื่องความรอด ศาสนาทุกศาสนา และแม้แต่คริสเตียนจึงเชื่อกันว่า คนเราจะรอดมันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เชื่อพระเยซูก็ยังไม่พอ การรอดการไปสวรรค์ การได้รับความรอด ของศาสนาไหนก็ตาม ของคริสเตียนก็ตาม จึงไม่ง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่า คริสเตียนเองพบข้อพระคัมภีร์หลายๆ ข้อที่พระเยซูตรัสใช่ไหม มือทำผิดตัดแขนตัดมือ ตาทำผิดก็ถูกควักตาออก คืออะไรที่ทำผิดตรงไหน ก็คือทำลายมันทิ้งเสียเพื่อให้ได้เข้าไปในอาณาจักร แล้วข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คริสเตียนจึงเหมารวมว่า เพื่อการกระทำให้ได้รอดในวันสุดท้าย
เราสรรเสริญพระเยซูที่เราไม่มีปัญหาตรงนี้แล้ว แอกที่มันหนักพระองค์เอาออกไปแล้ว เราได้รับการปลดปล่อย เรากลายเป็นไทยและเราได้พักสงบในพระเยซู
วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด และพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ดีที่สุด มะรืนนี้ต่อไปทุกๆ วันก็จะเป็นวันที่ดีที่สุด เพราะว่าเราเดินโดยที่ไม่ต้องแบกแอก ไม่ต้องแบกภาระ พระเยซูเป็นคนแบกแล้ว สรรเสริญพระเยซูเรารักพระเยซู เอเมน
ถาม.
ขอถามครับอาจารย์ สำหรับพี่น้องที่ไม่เข้าใจเรื่องความรอด คือหลายครั้งก็จะเห็นมีการถกเถียงใช่ไหมครับ แล้วก็จะเห็นว่าในกิจการบทที่ 15 ข้อ 2 ข้อ 7 นี่ก็มีการโต้เถียงโต้แย้งกับคนที่เชื่อไม่เหมือนกัน แล้วก็เราก็ได้เรียนใน 2 ทิโมธีแล้วว่า เราไม่ให้โต้เถียงกันใช่ไหมครับในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
แต่ว่าการที่จะโต้เถียงหรือว่าโต้แย้งหรือว่าให้คำตอบได้ เราจะอยู่ในระดับไหนครับที่เราจะทำได้ครับ เพราะว่าก็จำเป็นที่จะต้องตอบคำถามด้วย แล้วก็บางคนก็ไม่ยอม คือพยายามถกเถียง แล้วก็เราก็โต้เถียงในระดับหนึ่งแล้วก็ค่อยหยุดแบบนี้ใช่ไหมครับ ก็คือทำได้ใช่ไหมครับ
ตอบ.
สำหรับเรื่องการตอบนะครับ การตอบ การช่วยผู้อื่น เราเห็นพระเยซูทำอยู่เป็นประจำ เมื่อพระเยซูไปที่ไหนพระองค์ก็สั่งสอน และเมื่อมีคนที่คัดค้าน และเมื่อมีคนที่ไม่พอใจไม่ชอบ แล้วเขาก็มาถาม คำถามของเขาเนี่ยเป็นลักษณะในลักษณะที่จะจับผิดนะครับ
อันนี้เมื่อพระเยซูทราบแล้วพระองค์ก็ยังให้โอกาสเขาน่ะ ก็คือครั้งที่ 1 พระองค์ตอบ เขาก็ยังเถียงมา ครั้งที่ 2 พระองค์ก็ยังตอบไป และเขาก็ยังเถียงมาอีกนะครับ และครั้งที่ 3 พระเยซูพูด หลังจากพูดนะครับพระองค์จะกล่าวตำหนิเขา แล้วพระองค์จะตรัสในลักษณะที่ให้คำตอบที่มันเป็นสั้นๆ สรุปนะครับ แล้วจากนั้นพระองค์ก็เดินจากไป
เราที่เป็นบุตรพระเจ้า เราที่เป็นสาวกของพระเยซู เมื่อมีคนถามนะครับเราตอบ ไม่ว่าเขาจะคิดดีหรือไม่ดีก็ตาม พูดประชด หรือใส่ร้ายกล่าวหา หรือจะทำอะไรจะจับผิดเรา เราตอบเขาไปนะครับ ครั้งที่ 2 ตอบไป ครั้งที่ 3 ก็ตอบไป เมื่อเขาไม่รับไม่ต้อนรับ และไม่พอใจ หรืออาจจะจับผิดต่อนะครับ เราขอจบ เราชวนพูดเรื่องใหม่ เราพูดอะไรก็ได้ หรือจะเดินจากไป แต่ขอให้เป็นในลักษณะของความผูกพันที่ดีความสัมพันธ์ที่ดีนะครับ
อย่าลืมนะครับคริสเตียนทุกวันนี้ครึ่งต่อครึ่ง ยังมีผู้เชื่ออีกมากมายที่เชื่อว่า เชื่อเท่านั้นไม่พอยังต้องรักษาพระบัญญัติ เราจะเจอพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ที่จะมาชวนเรา ที่จะมาเตือนเรา ที่จะมาบอกเรา และกล่าวหาว่าเราเชื่อผิดนะครับ
พูดง่ายๆ นะครับคือ ท่ามกลางสังคมคริสเตียนทุกวันนี้ครึ่งต่อครึ่ง ครึ่งหนึ่ง ก็คือสายเพนเทคอส ก็คือเคร่งในเรื่องการปฏิบัติ และเคร่งเรื่องรับพระวิญญาณ เรื่องไฟ ร้อนรนกระตือรือร้น กระโดดโลดเต้นที่คริสตจักรนะครับ แล้วก็รักษาโรคไล่ผี อันนี้นะครับเขาจะเคร่งเรื่องการเชื่อฟังเลิกทำบาปให้ได้ อยู่ในความบริสุทธิ์ของชีวิต เพื่อที่จะให้ได้รอดในวันสุดท้าย เขาไม่พบอาณาจักร
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอีกครึ่งหนึ่ง ก็คือกลุ่มแบ๊บติสต์ กลุ่มแบ๊บติสต์เนี่ยเขาเชื่อว่าเชื่อเท่านั้นก็พอ ก็ได้รอดแล้ว ส่วนการทำบาปในชีวิตนี้ก็คือ ถูกตีสอนจากพระเจ้า แล้วเมื่อตีสอนนะครับ เมื่อจบชีวิตนี้ จากโลกนี้ไป ก็จะได้รอดในวันสุดท้าย คือสองฝ่ายนี้คริสเตียน 2 กลุ่มนี้ ไม่มีใครได้พบอาณาจักรอย่างครบถ้วน บางคนอาจจะได้เรียนรู้เรื่องอาณาจักรบ้าง บางคนอาจจะเข้าใจบ้าง แต่ตาไม่ได้ถูกเปิดนะครับ สรุปก็คือ เขาจะคิดว่าอาณาจักรก็คือความรอดเท่านั้นเอง
- สำหรับเปาโลนะครับ เปาโลก็คือท่านได้รับเลือกโดยพระเยซูคริสต์และเปาโลเป็นอัครทูต
- สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเจ้าดลบันดาล ดลใจให้เปาโลเขียนหนังสือต่างๆ เป็นมาโดยพระวิญญาณ ก็ขอบคุณพระเยซู
- แต่สำหรับคริสเตียนคนไหน พี่น้องคนไหน ในกลุ่มศาสนาที่เขามาหาเรา มาพูดกับเรานะครับบอกว่า เปาโลแค่เขียนจดหมาย แล้วก็จดหมายของเขามีผิดบ้างถูกบ้าง ไม่ใช่ความจริงไม่ได้เป็นมาโดยพระวิญญาณ อันนี้ถ้าเขาจะพูดต่อ เราเถียงไม่ได้ เราสู้ไม่ได้เรายอมแพ้ดีกว่านะครับ
แต่สำหรับเราเชื่อ 100% นะครับ เปาโลพูดเอง แล้วก็เปาโลเขียนโดยพระวิญญาณ ซึ่งเราเห็นว่า เราได้รับได้กินและได้สัมผัสความจริงที่เปาโลเขียน เหมือนกับมานาที่ซ่อนไว้นั่นแหละ ก็มานาที่ซ่อนไว้ก็เป็นมาโดยเปาโล และเปาโลก็ได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นมาโดยพระเยซูคริสต์ 3 ปีกว่าที่ประเทศอาระเบีย
ซึ่งเราขอบพระคุณพระเจ้าที่เรามาจากสายเปาโล เราเป็นสายของเปาโลนะครับ และเราเชื่อเหลือเกินนะครับว่าเปาโลเขียนทุกสิ่งโดยพระวิญญาณ ถ้าหากมีคำไหนตอนไหนที่เปาโลพูดตามความคิดของท่าน ท่านก็จะบอกนะครับว่านี่ไม่ใช่การเขียนโดยพระวิญญาณ เป็นการเขียนมาจากความคิดของข้าพเจ้า เราเห็นนะครับน่าจะมีสัก 2-3 ที่ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราเชื่อจดหมายทุกฉบับของเปาโลว่าเป็นมาโดยการดลบันดาลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
และหลายคนคริสเตียนหลายคนบอกว่า เปาโลอ้างตัวอ้างตนว่าเป็นอัครทูต ทั้งๆ ที่พระเยซูไม่ได้ตั้ง ไม่ได้เลือกเขา และอ้างในหนังสือวิวรณ์บทที่ 2 ว่าเขาอ้างว่าเขาเป็นอัครทูตแต่ไม่ใช่ อันนี้ไม่ได้เอ่ยชื่อเปาโลนะครับ
และถ้าเราจะเรียนรู้วิวรณ์บทที่ 2 ก็คือจดหมายที่ทูตสวรรค์ที่ส่งไปให้พี่น้องในเมืองเอเฟซัส ก็คือทูตสวรรค์ที่เมืองเอเฟซัส ทูตสวรรค์นะครับเล็งถึงคริสเตียนทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น อย่าลืมนะครับ และคนที่อ้างตนว่าเป็นอัครทูตแต่เขาไม่ใช่ ก็คือพวกผู้นำทั้งหลาย คริสเตียนยิว ที่อ้างตนว่าเป็นผู้นำเป็นอัครทูต แล้วก็เดินทางไปประกาศไปทั่วนะครับบอกว่า เชื่อไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ พระเยซูจึงตำหนิเขานะครับ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเปาโล
และในหนังสือ 1 ยอห์นบอกว่า ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นใด แต่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องเรายังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ พระบัญญัติเดิมในที่นี้นะครับเราไปดูในภาษากรีกนะครับ เรียกว่าพระบัญญัติเก่า พระบัญญัติเก่านี้ คือยอห์นเขียนหนังสือ 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น ประมาณ ค.ศ. 80 ถึง ค.ศ. 90 นะครับ ประมาณ ค.ศ. 80 ถึง ค.ศ. 90 ผมขอถามหน่อยครับถ้าหากว่าเราซื้อรถ 1 ปี 2 ปี 5 ปีผ่านไปมันเก่าไหม เรียกว่าเก่าได้หรือยัง หรือหนังสือที่เราอ่าน 1-2-3-4-5 ปีผ่านไป มันเก่าไหม คอมพิวเตอร์โทรศัพท์อะไรก็ตามนะครับ เป็นเครื่องใช้ถ้าหากว่า 2-3 ปี 10 ปีผ่านไปมันเก่านะครับใช่ไหม
แต่มาดูที่นี่นะครับก็คือพระบัญญัติของพระเยซู คือพระองค์ก่อตั้งพระบัญญัติตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ และเรียกสาวกให้มาฟังรับฟัง พอมาถึงยุคที่ยอห์นเขียนหนังสือ 1 ยอห์น 2 ยอห์น และ 3 ยอห์น เป็นช่วงเวลาประมาณ ค.ศ. 80 - 90 ก็คือ 80 ปี 90 ปี ผ่านไปแล้วนะครับ มันเก่าไหม
เพราะฉะนั้นยอห์นไม่ได้สนับสนุนให้คริสเตียนกลับไปรักษาพระบัญญัติเดิม และเมื่อกี้พี่น้องพูดถึงว่าคริสเตียนพวกเรารักษาพระบัญญัติทั้งเดิมและใหม่ โดยตัวใหม่และให้พระคริสต์ทำแทน อันนี้ผิดนะครับ
การรักษาพระบัญญัติของเรานะครับ ขอบคุณพระเยซูที่พระบัญญัติเดิมจบแล้ว โรม 10:4 พระคริสต์เป็นจุดจบของพระบัญญัติ เอเมน
และทุกวันนี้นะครับพระบัญญัติของโมเสสกลายเป็น อย่าลืมนะครับกลายเป็นพระบัญญัติของพระเยซูแล้ว และพระบัญญัติเดิมนะครับที่เรียกว่าพระบัญญัติเดิม กลายเป็นพระบัญญัติใหม่แล้ว ในหนังสือยอห์นพระเยซูตรัสหลายที่นะครับว่า เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า เราให้พระบัญญัติใหม่แก่เจ้าทั้งหลาย แสดงว่าพระบัญญัติเดิมจบแล้วนะครับ ไม่มีแล้ว คือมันจบ มันจบเนี่ยก็คือ จบสำหรับพวกเรา จบสำหรับชีวิตของเรา
พระบัญญัติเดิมเนี่ยก็คือ ยังคงอยู่แต่ไม่มีผลอะไรกับคริสเตียน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคริสเตียน แต่พระบัญญัติเดิมนั้นนะครับพระเยซูปรับปรุงพระเยซูยกระดับมาตรฐาน พระเยซูเพิ่มเติมเสริม ทำให้ง่ายกลายเป็นยาก ทำให้มาตรฐานของมนุษย์ กลายเป็นสูงขึ้น กลายเป็นมาตรฐานของพระเจ้า
เหมือนกับรถคันหนึ่ง ที่ผู้ชายคนหนึ่งเป็นเจ้าของ ก็คือทาสีใหม่ พ่นสีใหม่ทำให้มันใหม่หมด และเครื่องอะไรทุกสิ่งทั้งภายนอกภายในทำให้ใหม่หมดนะครับ แต่โครงร่างยังเป็นโครงร่างเดิม เข้าใจกันนะครับ และเราจะเรียกว่าพระบัญญัติเดิมไม่มีอีกแล้ว มันไม่มีแล้ว กลายเป็นพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูไปแล้วนะครับ
ในหนังสือกิจการบทที่ 21 พี่น้องบางท่านยกมาแล้วก็บอกว่า เห็นไหมเปาโลยังรักษาพระบัญญัติเดิม ขอให้เข้าใจตรงนี้นะครับ คือสำหรับเปาโลท่านพูดเองนะครับว่า อันแรกนะครับท่านพูดว่า ข้าพเจ้ายอมเป็นยิวเพื่อที่จะได้เอาชนะใจยิว ข้าพเจ้ายอมเป็นคนต่างชาติเพื่อที่จะเอาชนะใจคนต่างชาติ เพื่อนำเขาทั้งสองฝ่ายมาสู่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และเมื่อยากอบและผู้นำในคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม ในกิจการบทที่ 21 นะครับถึงแม้ว่าจะถึงช่วงเวลาแห่งกิจการบทที่ 21 ยากอบและผู้นำหลายคนสาวกของพระเยซูหลายคนยังไม่ได้ถูกเปิดตา เขาเข้าใจเรื่องความเชื่อบางอย่างได้แล้ว ก็คือเชื่อเท่านั้นก็รอดและมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปเขารับได้
แต่เรื่องการรักษาพระบัญญัติเดิม ยากอบและสาวกอีกหลายคนก็ยังรักษาอยู่ ยังเชื่ออยู่เหมือนเดิม และเขาสั่งให้เปาโลพาพี่น้องอีก 4 คนไปเข้าทำพิธีชำระที่พระวิหาร เปาโลก็ไปนะครับ และพี่น้อง 4 คนนั้นก็ไปกับเขาแล้วก็เข้าสู่พิธีชำระ แต่เปาโลไม่ได้รักษาพระบัญญัติเดิม เปาโลเข้าไปด้วยตัวใหม่ ด้วยคนใหม่ และด้วยชีวิตใหม่ ท่านไม่เคยรักษาพระบัญญัติเดิม เราดูจากที่ไหน? ดูจากจดหมายของท่านในหลายๆ ฉบับ ท่านไม่สนับสนุนให้ใครรักษาพระบัญญัติเดิม คือการกระทำการเชื่อฟังการทำดีการเลิกทำบาปด้วยตัวเก่าเพื่อให้ได้รอด ไม่มีแล้วนะครับ
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเจ้าให้เราเข้าใจตรงนี้ เอเมน
ผมเคยยกตัวอย่างกับพวกเราใช่ไหมครับ ว่าสำหรับศาสนาไหนก็ตามที่มาชวนเราให้ไปเยี่ยมเขาให้ไปช่วยเขา อาจจะเป็นญาติของเรา เพื่อนสนิทของเรา หรือผู้ใหญ่ที่เราเคารพนะครับ เราไปได้นะครับที่ไหนเราก็ไปได้ ขอเพียงแต่ว่า “เราไม่กราบไหว้เท่านั้นเอง แล้วก็ไม่กินสิ่งของที่เป็นมลทินเท่านั้นเอง” เราไปเพื่อแสดงความเคารพ เราไปเรายอมเป็นพุทธเรายอมเป็นอะไรก็ได้เพื่อให้ได้ชนะใจเขา เพื่อนำข่าวประเสริฐไปสู่เขา แต่อย่าทำผิดต่อพระเจ้า อย่าเล่นชู้กับพระเจ้า ก็คือกราบไหว้พระอื่น เอเมน
ถาม.
อาจารย์เปาโลถูกแต่งตั้งให้เป็นอัครทูตตอนไหน เกิดมีความสงสัยขึ้นมาค่ะ
ตอบ.
คือเราต้องเข้าใจก่อนว่า อัครทูตคืออะไร อัครทูตนะครับไม่เหมือนสาวกธรรมดาทั่วไป สาวก 12 คนเป็นอัครทูต รวมถึงเปาโล สาวก 12 คนมีคุณสมบัติที่จะเป็นอัครทูตได้เนื่องจากว่าเขาเดิน ไป มา นั่ง กิน นอนกับพระเยซูเป็นเวลา 3 ปีกว่า ไม่หนีไปไหนนะครับ นานๆ ทีไปเยี่ยมบ้านไปเยี่ยมครอบครัวครั้งหนึ่งแล้วก็กลับมา เดินไปมานั่งนอนกินอยู่กับพระเยซู รับใช้พระเยซู เรียกว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นอัครสาวก
ทีนี้ถามว่าเปาโลล่ะ เขากินนอนนั่งเดินไปมาร่วมกับพระเยซูเมื่อไหร่ เขามีคุณสมบัติพร้อมหรือยังที่จะเป็นอัครสาวก พี่น้องตอบได้ไหม
เปาโลไปรับความรู้ทั้งหมดจากพระเยซู เปาโลไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งนะครับที่ประเทศอาระเบียแถบถิ่นทะเลทราย และเปาโลอยู่กับใคร ไม่ได้อยู่คนเดียวนะครับ คือพระเยซูอยู่กับเปาโล กินนอนไปมานั่งนอนอยู่ด้วยกันอยู่ร่วมกันเป็นเวลา 3 ปีกว่า พระเยซูปรากฏทุกวันๆๆๆๆ แล้วก็บอกว่า จดๆๆๆ เปาโลจดเรียนรู้สิ่งที่เราจะเปิดเผยแก่ท่าน
ซึ่งนี่คือพระคำแห่งความจริงที่มาถึงพวกเราทุกวันนี้นี่แหละ เราขอบพระคุณพระเจ้า และเปาโลนะครับได้นั่งนอนไปมากินอยู่ร่วมกับพระเยซูเป็นเวลา 3 ปีกว่า ท่านมีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นอัครสาวกได้
(สาวก 12 คนอยู่กับพระเยซู 3 ปีกว่า 3 ปีครึ่ง เป็นเวลาตรงกับเปาโลที่ได้อยู่กินไปมาร่วมกับพระเยซู 3 ปีครึ่งเหมือนกัน แต่จุดเด่นของเปาโลที่ได้อยู่กับพระเยซู 3 ปีครึ่ง ก็คือพระเยซูอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เดินพาเปาโลเดินไปไหนมาไหน แล้วก็ไม่ได้ทำพระราชกิจของพระองค์นะครับ คือนั่งอยู่กับเปาโลใช้เวลาอยู่กับเปาโล สั่งสอน แล้วก็ให้เปาโลเป็นคนที่จดๆๆๆ อย่างเดียวนะครับ คือมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก มากกว่าสาวก 12 คน ในช่วงแรกที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่ครับ)
และในหนังสือโรมบทที่ 1:1 เปาโลพูดเองว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นอัครทูตที่พระเจ้าทรงเลือกทรงตั้งให้เป็น ถ้าหากเราเชื่อนะครับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดลบันดาลให้เปาโลเป็นคนเขียน เราก็เอเมนครับ และเอเฟซัสบทที่ 1:1 ก็เหมือนกันนะครับ เปาโลยืนยันว่าท่านเป็นอัครทูตที่พระเยซูเป็นคนเลือกเป็นคนก่อตั้งเอง ไม่ใช่คนอื่น
(โรม 1:1 เปาโล ทาสของพระคริสต์ เยซู ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้เป็นอัครสาวก และได้ถูกแยกตั้งไว้สำหรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า)
(อฟ 1:1 เปาโล ผู้เป็นอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียน วิสุทธิชนซึ่งอยู่ที่เมืองเอเฟซัส และผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์)
สำหรับพี่น้องที่สอบถามนะครับที่ส่งพระคัมภีร์ไปถามคนนู้นคนนี้ ถ้าหากเขามีจุดประสงค์ที่อยากจะรู้ก็เอเมน แต่ถ้าหากเขามีจุดประสงค์ที่จะชวนเรา หรือตัดสินนะครับว่ามานาฯ เป็นคำสอนที่ผิด ก็ไม่เป็นไรเราก็อธิษฐานเผื่อเขานะครับ
แต่สำหรับ เปาโลตอนที่ท่านเข้าไปในพระวิหาร และทำตามที่ยากอบสั่งนะครับ
1. ก็คือ ให้ความเคารพยากอบที่เป็นผู้ปกครองเป็นเถ้าแก่ในคริสตจักรในเยรูซาเล็ม
2. ก็คือ สิ่งที่ยากอบสั่งให้ไปทำมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงและไม่ใช่เรื่องใหญ่ คือการเข้าพิธีชำระล้างแค่นั้นเอง แต่ถ้ายากอบจะบอกว่าท่านจงรักษาพระบัญญัติ จงเคร่งครัด จงทำเหมือนเดิมเหมือนเมื่อก่อน อันนี้เปาโลปฏิเสธแน่นอนนะครับ
แต่ตอนนั้นเปาโลไม่ได้พูดอะไรมาก เพราะว่าเปาโลต้องการให้เกียรติให้ความเคารพ และเปาโลทำในสิ่งที่ถือว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย อย่างที่ผมพูดนะครับ เราไปวัด เราไปถิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ศาสนาอื่นเขาอยู่กันเขาทำกันเขาไปกันนะครับ เราไปร่วมได้ เราไปเพื่อเห็นแก่เขาเอาชนะใจพวกเขา เห็นแก่ความสัมพันธ์และผูกพัน “แต่เราจะไม่กราบไหว้ขอให้จำสิ่งนี้นะครับ เราจะไม่กราบไหว้พระของเขาเป็นอันขาด”
อีกครั้ง สรุปนะครับเปาโลพูดเองว่า ข้าพเจ้ายอมเป็นยิวเพื่อที่จะได้ชนะใจยิว ข้าพเจ้ายอมเป็นคนต่างชาติเพื่อที่จะได้ชนะใจของคนต่างชาติ เพื่อนำเขา ทั้งสองฝ่ายมาเป็นของพระเยซูคริสต์ ชัดเจนแล้วนะครับ
1 โครินธ์ 9:19-23
19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสคนทั้งปวงเพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น
20 ต่อพวกยิว ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิว ต่อพวกที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนอยู่ใต้พระราชบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้พระราชบัญญัตินั้น
21 ต่อคนที่อยู่นอกพระราชบัญญัติ ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนคนนอกพระราชบัญญัติ เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกพระราชบัญญัตินั้น (แต่ข้าพเจ้ามิได้อยู่นอกพระราชบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระราชบัญญัติแห่งพระคริสต์)
22 ต่อคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็ทำตัวเหมือนคนอ่อนแอ เพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง เพื่อจะช่วยเขาให้รอดได้บ้างโดยทุกวิถีทาง
23 ข้าพเจ้าทำอย่างนี้เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนกับท่านในข่าวประเสริฐนั้น
ถาม.
ในพระคัมภีร์บันทึกว่ามีอัครสาวก 25 คนใช่ไหมค่ะ แล้วอีก 12 คนมาจากไหนค่ะ เพราะว่ามีสาวก 12 คน ยุคแรกใช่ไหมค่ะ แล้วก็มีอาจารย์เปาโล แล้วอีก 12 คนเป็นใครบ้างค่ะ อันนี้คือไม่เข้าใจค่ะ เอเมน
ตอบ.
ในพระคัมภีร์ใหม่นะครับเอ่ยถึงอัครสาวกมีอยู่ประมาณ 25 คน 12 คนแรกก็คือสาวก 12 คนของพระเยซูที่เดินไปมาร่วมกับพระเยซู คนที่ 13 ก็คือเปาโล แล้วคนต่อๆ ไปก็คือบารนาบัส แล้วก็มีพี่น้องหญิงบางคนนะครับที่เป็น แล้วก็พี่น้องชายอีกหลายคนที่เป็น รวมทั้งหมดนะครับก็คือ 25 คนครับ อาจจะมีมากกว่านั้นนะครับอาจจะมีมากกว่านั้น แต่พระคัมภีร์ไม่ได้เอ่ยถึง
และมาถึงทุกวันนี้นะครับคนที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอัครสาวกของพระเยซูก็ยังมีเยอะนะครับ คือคนที่ใกล้ชิด คือคนที่ได้กินอยู่นั่งนอนไปมาร่วมกับพระเยซูในแต่ละวัน พระเยซูอยู่กับเขา สนิทในเขา และเขาสนิทในพระเยซู บอกรัก พูดคุยสนทนา และคนที่จะมีคุณสมบัติที่จะเป็นอัครสาวกมากกว่าใครก็คือ คนที่รับมานาฯ นี่แหละ ก็คือคนที่แสวงหาการใกล้ชิดสนิท ติดอยู่กับพระเยซูตลอดเวลา
ถามว่าผมพูดถูกหรือไม่ถูก เราคิดดูสิครับว่า คริสเตียนศาสนาทุกวันนี้แม้แต่ผู้นำ แม้แต่ผู้รับใช้ผู้ยิ่งใหญ่ ถามว่าเขาใกล้ชิดพระเยซูมากเหมือนคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เหมือนพี่น้องมานาฯ ไหม พี่น้องมานาฯ เน้นที่การบอกรักทุกวัน สนิททุกวัน พูดคุยทุกวัน แต่พี่น้องศาสนานะครับเขาอาจจะอธิษฐานเป็นบางครั้ง บางครั้งก็อาจจะพูดยาว อธิษฐานยาวใช้เวลาหลายนาทีหลายชั่วโมง แต่มันก็แค่นั้น เขาไม่ได้ติดสนิท ไม่ได้บอกรัก ไม่ได้พูดคุยกับพระเยซูในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ ถูกไหมครับ
ตอนนี้เราเข้าใจกันแล้วนะครับว่าอัครสาวกคืออะไร
“พระเยซูเป็นมากกว่าพ่อ เป็นมากกว่าบิดาของเรา พระเยซูเป็นพระบิดา เราขอบคุณพระเจ้า พระเยซูยังเป็นเพื่อนเราอีก เป็นเพื่อน แล้วก็พระเยซูยังเป็นผู้ช่วย เป็นแพทย์ เป็นผู้นำ เป็นกัปตันแห่งความรอด เป็นทุกสิ่ง เป็นเยอะมาก เป็นน้ำแห่งชีวิต เป็นอาหาร เป็นพี่ชาย เป็นทุกสิ่ง เป็นคนรัก คือเป็นคนคนเดียวที่รับบทบาททุกบทบาท เราสรรเสริญพระเจ้า”
ถาม.
เอเมนครับสาวก 12 คนที่เดินไปมากับพระเยซูนี่ มีคนหนึ่งที่เข้ามาทีหลังอ่ะครับอาจารย์ เพราะว่ายูดาห์ตายครับ คนไหนเป็นอัครสาวกครับ
ตอบ.
สำหรับคนที่ 13 อันนี้เราไม่มั่นใจเราไม่แน่ใจ ซึ่งลูกาเป็นคนเขียนหนังสือกิจการนะครับแล้วก็เขียนตามที่สาวกทั้งหลายเขาทำกันอยู่ เขียนเป็นประวัติศาสตร์ของคริสตจักรนะครับ
ส่วนเรื่องว่าพระเจ้าเป็นคนเลือกคนที่ 13 หรือไม่ แทนยูดาห์ ไม่มีที่ไหนยืนยันนะครับ เราจึงเชื่อนะครับว่าสาวกคนที่ 13 อัครสาวกน่าจะเป็นเปาโลมากกว่า พระเจ้าเลือกเขาไว้นะครับ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญนะครับ แล้วเราจะพบว่าอัครสาวกคนที่มาแทนยูดาห์ ก็คือไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมายไม่เห็นมีการบันทึก พูดถึงมากนัก
ถาม.
พอดีวันนี้พูดถึงเรื่องอัครสาวกใช่ไหมค่ะ แล้วก็อัครทูต ก็จะมีหลายคริสตจักรนะคะที่ได้ยินได้ฟังเขาประกาศแล้วก็สอนเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เขาบอกว่าคนที่ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ แล้วก็มีคนกลับใส่เสื้อเป็นจำนวนมาก แล้วก็เป็นคนที่ออกไปอย่างคนต่างชาติ พวกนี้เขาเรียกว่าเป็นอัครสาวก หรือว่าเป็นอัครทูตของพระเจ้า อันนี้คือคำสอนผิดใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
ใช่ครับ เป็นคำสอนผิดนะครับ สำหรับคนที่จะเป็นอัครสาวกนะครับ อัครสาวกก็คือคนที่ได้อยู่กินไปมานั่งนอนกับพระเยซู คนที่ใกล้พระเยซูมากๆ ถ้าหากว่ามีใครสักคนหนึ่งที่ไปประกาศข่าวประเสริฐ เดินทางไปต่างประเทศบ้าง และมีคนกลับใจเป็นร้อยเป็นพันบ้าง อันนั้นไม่ได้สำคัญอะไร ถ้าหากชีวิตของเขาไม่ได้ใกล้ชิดพระเยซู ไม่ได้เดินไปมานั่งกินนอนกับพระเยซู พระเยซูก็ไม่ได้เลือกเขาเรียกเขาว่าอัครสาวก ก็เป็นสาวกธรรมดาคนหนึ่ง
เราน่าจะเห็นกันใช่ไหมว่า มีคริสเตียนมากมายที่ยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู เมื่อพระเยซูเสด็จมาตัดสินคริสเตียน เขาบอกว่าข้าพระองค์รับใช้ ข้าพระองค์ประกาศ ข้าพระองค์รักษาโรค ข้าพระองค์ไล่ผี คือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผู้นำเหล่านี้คริสเตียนเหล่านี้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่นะครับ รักษาโรคได้ไล่ผีได้ประกาศข่าวประเสริฐนำคนมาเชื่อได้เยอะมาก แต่พระเยซูตรัสว่ายังไงครับ เราไม่รู้จักเจ้า ถอยไป (มธ 7:21-23)
แต่อัครสาวกที่แท้จริง ก็คือคนที่ได้ใกล้พระเยซู พระเจ้าต้องการคนที่ใกล้พระเยซู ไม่ใช่คนที่ทำๆๆๆ มีผลงานมากมาย
- ผลงานพระเจ้าไม่ต้องการ
- พระเจ้าต้องการผลของพระวิญญาณ
เราชอบไหมครับถ้าหากเรามีลูก แล้วลูกของเราก็คือเป็นคนที่ทำๆๆๆ ทำธุรกิจบ้างทำอะไรบ้างคือมีผลงานเยอะมาก แต่ไม่เคยใส่ใจพ่อ ไม่เคยใส่ใจแม่ ไม่เคยดูแลไม่เคยมาหามาเยี่ยม ไม่เคยซื้ออะไรมาฝาก ไม่เคยบอกรัก พูดคุย ใกล้ชิดสนิท มาหาบ่อยๆ อันนี้ผมรู้นะครับว่าคำตอบก็คือพ่อแม่จะไม่ชอบนะครับ
แล้วจะเรียกว่าอัครสาวกได้อย่างไร?
ถาม.
อัครสาวกนี่คือ ผู้ที่มีของประทานหรือเปล่าค่ะ หรือว่ายังไง
ตอบ.
อัครสาวก นอกจากจะเป็นคนที่ใกล้ชิด แล้วก็กินอยู่ไปมา สนิทในพระเยซูมากยังไม่พอนะครับ ก็คือสิ่งที่เขาจะมีนะครับก็คือของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐ นอกจากของประทานในการประกาศแล้ว ก็ยังมีของประทานในการไล่ผีบ้าง รักษาโรคบ้าง มีหลายของประทานอยู่ในเขา
พูดง่ายๆ ก็คืออัครสาวก ก็คือสาวกที่พิเศษกว่าสาวกธรรมดาทั่วไปครับ
สำหรับพี่น้องหลายคนที่ได้ถูกเลือกนะครับ พระเจ้าเลือกเขาให้เป็นอัครสาวก แต่หลายคนเขาไม่พูด คือไม่จำเป็นนะครับ การใช้ชีวิตในลักษณะที่เป็นอัครสาวก คือมนุษย์นะครับพี่น้องจะมองเห็น พี่น้องจะมองเห็นส่วนที่เขารับใช้ แล้วก็ของประทานที่เขามี เขาจะเกิดผลมากมายนะครับ
ถาม.
เมื่อกี้อาจารย์บอกว่าพ่อแม่จะชอบลูกที่มาคุยด้วย มาบอกรักมาติดสนิท ซื้อของฝากอะไรมาให้มาเยี่ยม มาหา ทีนี้ถามว่า จงสละทิ้งบิดามารดาบุตรภรรยา เราก็เห็นแล้วว่าพระคำพระเจ้าก็คือจงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า ที่นี้ก็อยากเข้าใจนะคะว่าการ "สละทิ้ง" หมายถึงว่าเราไม่เอาการกระทำ หรือว่าการไปไหว้รูปเคารพ แล้วก็ไม่เอาประเพณีอะไรของพ่อแม่ที่ทำอยู่ใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
ถูกแล้วครับ คือพระเจ้าสั่งสอน พระเจ้าให้เรารักพ่อแม่ เคารพพ่อแม่ บิดามารดา แล้วก็ทำสิ่งที่ดีๆ กับท่าน แล้วก็เลี้ยงดูท่านด้วย คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เป็นพระพรที่พระเจ้าจะประทานให้มีอยู่มีกินตลอดชีวิตนะครับ
และมีบางที่ที่พระเยซูตรัสว่า จงเกลียดชังบิดามารดาของท่าน ก็คือการกระทำ ความเชื่อ ความคิด ที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังของพ่อแม่ ของบิดามารดาของเรา ซึ่งเขาอาจจะชวนเราจะนำเราจะพาเราให้เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าให้เชื่อ เหมือนกับความเชื่อทั่วๆ ไปที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ศาสนามากมายทุกวันนี้นะครับ และการกระทำตามประเพณีวัฒนธรรม อะไรอีกมากมาย อันนี้คือสิ่งที่พระเยซูสั่งให้เราเกลียดชังสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ทำอยู่ แต่ไม่ให้เกียรติชังตัวของบิดามารดาครับ
...
ถาม.
คือให้เราเคารพแล้วก็เชื่อฟังในสิ่งที่พ่อแม่สอนเราด้วยใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
ในด้านที่ดีในส่วนที่ดีครับผม ไม่ใช่ว่าถ้าพ่อแม่สอนอะไร เราก็บอกว่ารู้แล้วไม่เอา รู้แล้วๆๆ ไม่รับ อันนี้ก็ไม่ได้นะครับ ก็คือทุกสิ่งที่ดีก็คือสิ่งที่เรารับได้เรายอมรับ แต่สิ่งที่ไม่ดีเราก็อาจจะไม่ปฏิเสธโดยทางตรงก็ได้ ซึ่งไม่ให้พ่อแม่บิดามารดาเสียใจ เราทำอะไรก็ได้ไม่ให้แตะต้องอารมณ์ความรู้สึกของท่าน ซึ่งเป็นพ่อแม่เป็นบิดามารดาผู้เลี้ยงเรามา
แต่เราปฏิเสธในทางแห่งความสงบ peace นะครับ และเราไม่ทำในสิ่งที่ท่านสั่งให้เราทำ พูดง่ายๆ พระเจ้ารักโลกในพระคัมภีร์หลายตอนที่บอก แต่ก็มีหลายตอนที่บอกว่าพระเจ้าเกลียดชังโลก พระเจ้าเกลียดชังมนุษย์ มันคืออะไร ก็คือเกลียดชังในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เรากระทำอยู่ แต่พระเจ้ารักตัวเรานะครับ เอเมนไหมครับ
มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระเยซูเกือบจะสิ้นใจ แล้วพระเยซูมองเห็นยอห์น พระเยซูตรัสกับยอห์นเกี่ยวกับเรื่องนางมารีย์มารดาของพระเยซูว่ายังไงครับ มีใครจำได้ไหม
( ยอห์น 19:26-27 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน )
จงดูแลนางมารีย์ใช่ไหม พระเยซูไม่ได้ทิ้งนางมารีย์ซึ่งเป็นมารดาฝ่ายร่างกายของพระองค์ แล้วพระเยซูจะสอนให้เราทิ้งพ่อแม่ แล้วก็ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ ไม่ใส่ใจไม่สนใจและเกลียดชังสละทิ้งพ่อแม่ อันนี้เป็นไปไม่ได้ครับ คือการสละทิ้งทุกสิ่งเนี่ย ก็คือ เป็นของเรื่องฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายความผิดบาป ฝ่ายที่ไม่มีอะไรที่จะเกี่ยวข้องกับพระเจ้ากับน้ำพระทัยของพระเจ้า กับแผนการงานของพระเจ้าครับ
ขอย้ำอีกครั้งนะครับ บุคคลผู้ใดเลี้ยงดูบิดามารดาก็จะได้รับพระพรอันมากมายมหาศาล ในพระคัมภีร์นะครับ
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำเรามาเพื่อยืนยันเรื่องเกี่ยวกับการได้รับพระคุณของพระเจ้า เราเชื่อพระเยซูผู้ตายแทนบาปเรา เราก็ได้รอด เนื่องจากว่าพระเจ้ารักเรา สงสารเรา เมตตาเรา เป็นความรักความเมตตาสงสารที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมนุษย์อาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก การรอดการไปสวรรค์ การที่จะได้ไปหาพระเจ้าไปถึงพระเจ้า มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้น หลายคนก็เชื่อแบบนี้เนื่องจากว่าเขาถูกปลูกฝังให้อยู่ในความคิดในรูปแบบศาสนา
แต่เรามาถึงความสงสารจิตใจที่เมตตาของพระเจ้า พระเจ้ามีหัวใจนะครับ พระเจ้ามีความรัก พระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้นพระเจ้ารักโลก พระเจ้าจึงสงสารมนุษย์โลก แล้วพระองค์ให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์มาตายเพื่อไถ่บาปพวกเรา แทนที่เราจะตายนะครับแต่พระองค์ตายแทนเรา และขอบคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้ ทันทีที่เราเชื่อในพระเยซู พระเจ้าก็มอบรางวัลอันยิ่งใหญ่ มอบของขวัญให้เราก็คือ ความรอด เราขอบคุณพระเยซูสำหรับสิ่งนี้ เอเมน
และใครนะครับใครที่ยังเชื่อว่า เชื่อพระเยซูเท่านั้นก็รอดแล้ว มันง่ายเกินไป มันไม่น่าจะใช่ ก็อธิษฐานเผื่อเขานะครับ เขามักยากชอบทำให้ยากก็ตามสบาย ให้ทำให้เข็ดนะครับ เมื่อถึงเวลาเขายอมแพ้เขาอ่อนแอเขาเหนื่อยล้าเขาไปไม่ไหวไปต่อไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อาจจะเรียกเขามา ให้รับพระคุณแบบเต็มๆ เหมือนพวกเราทุกวันนี้ สรรเสริญพระเยซูเอเมน แอกเบาแล้วนะครับเอเมน
...
และถึงอย่างไรก็ตามวันนี้เราสรรเสริญพระเจ้าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่เราระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เราจึงเป็นคนใหม่ทุกวันนี้
และเราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์ยืนยันว่าเชื่อเท่านั้นก็ได้รอดแล้ว วันนี้เราสบายใจ เราอุ่นใจ เราปลงวางได้ เราไม่กลัวแล้วว่าจะไม่รอด ถึงแม้ว่าในชีวิตประจำวันของเราอาจจะทำผิดบาปเป็นระยะ หรือทำบาปอยู่ แต่ด้วยความรักโดยพระคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปเรา
วันนี้เราจึงกลายเป็นคนชอบธรรมโดยพระเยซูเป็นผู้รับความผิดทั้งหมด พระเยซูเป็นคนที่ (ขอโทษนะครับ) พระเยซูยอมเป็นคนชั่ว เพื่อเราจะได้เป็นคนดี พระเยซูยอมเป็นคนบาป เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรม
วันนี้เรายกเครดิตทั้งหมดให้พระเยซู เรารักพระเยซู เราสรรเสริญพระเยซู เรายกย่องพระเยซู โดยพระคุณของพระเยซูทำให้ชีวิตของเราสำเร็จ ถึงพระเจ้า