ขอบคุณพระเยซูขอบคุณในความรักที่พระองค์ทรงสำแดงผ่านการดำเนินชีวิตรับใช้ และตายที่กางเขนเพื่อไถ่บาปเรา และยิ่งมากกว่านั้นเราขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายและเป็นพระวิญญาณที่แจกจ่ายชีวิตของพระองค์ให้เข้ามาสถิตในเรา
และขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์นำพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนำพระบิดาเข้ามา พระองค์ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อให้ทุกสิ่งง่ายกว่าเก่า และเพื่อเป็นเจ้าของชีวิตเราและเพื่อสถิตอยู่ในเรา และเพื่อที่จะผูกพันสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทบอกรัก และเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของเรา สรรเสริญพระเยซู
...
สำหรับในข้อที่ 16 คำว่าผู้ปลอบประโลมใจ ผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่ง อันนี้ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ปลอบประโลม ปลอบขวัญ หรือผู้ช่วย หรือจะเรียกได้ว่าผู้ว่าความที่อยู่ข้างๆ เรา เพื่อช่วยเรื่องคดีความของเรา หรือเพื่อนผู้รู้ใจเข้าใจเรา ผู้สนับสนุนเรา ภาษากรีกก็คือ παράκλητος, ου, ὁ (par-ak'-lay-tos) an advocate, intercessor, (b) a console, comforter, helper, (c) Paraclete.
ซึ่งเราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์องค์นี้ได้อยู่ในเราอยู่กับเราและเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา แล้วไม่จากไม่พรากจากไปไหน พระองค์สถิตอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นที่อยู่ที่บริสุทธิ์ไม่มีบาปพระวิญญาณจึงอยู่ได้ตลอดไป
แล้วเราขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์สัญญา พระเยซูสัญญาว่าพระวิญญาณองค์นี้จะมาอยู่กับเรา ก็คืออยู่ตลอดไป ในภาษากรีกคำว่าตลอดไปแปลได้อีกคำ ก็คืออยู่ยาวไปเลยจนถึงสิ้นยุค และเราก็รู้นะครับว่าเมื่อถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ พระวิญญาณองค์นี้ก็อยู่กับเรา ก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับเราจนชั่วนิรันดร์ สรรเสริญพระเจ้า
สรุปข้อที่ 16 ก็คือพระวิญญาณอยู่กับเราตลอดไป อยู่กับเราจนสิ้นยุค คือพระองค์เสด็จมาอยู่กับเราในเราเพื่อช่วยสอน แนะนำ ชี้ทาง เปิดตา ชำระเราจากการทำบาป ด้วยการชำระด้วยพระคำของพระเจ้าที่เป็นความจริง เมื่อเรารู้ความจริงมากเท่าไร ถูกเปิดตามากเท่าไหร่ การชำระด้วยพระคำ การเปิดตาของพระวิญญาณก็มีมากเท่านั้น เราก็จะได้เห็น เข้าใจ และดำเนินชีวิตที่ง่ายสุดๆ คือง่ายมาก กางเขนเบา แอกเบา ภาระเบามาก
เพราะว่าการเอาชนะความบาป การมีสันติสุขมากๆ การหลุดพ้นจากโลกนี้ การปล่อยปลงวาง การเป็นผู้ใหญ่ การเติบโต ทุกสิ่งมันอยู่ที่ตา มันคือเรื่องของตา ชีวิตคริสเตียนเป็นชีวิตที่สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้วไม่ใช่ว่ากำลังจะก่อขึ้น กำลังจะดำเนินไป ไม่นะครับ
ชีวิตคริสเตียนก็คือชีวิตที่สำเร็จแล้ว คุณตายแล้วเมื่อ 2,000 ปีก่อน คุณถูกฝังแล้วเมื่อ 2,000 ปีก่อน และคุณฟื้นขึ้นมาจากความตาย คุณมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์เมื่อ 2,000 ปีก่อน ทุกวันนี้นะครับชีวิตผู้ชนะอยู่ในเราเป็นของเราอยู่กับเราและเราก็เป็นผู้ชนะ
...
ผมตอนที่อยู่อเมริกาผมขับรถไปส่งของ ทางเป็นเนินเขาสูงมาก ผมเคยขับรถเก๋งที่เครื่องยนต์ก็คือธรรมดาๆ ทั่วไปก็ต้องใช้เวลาที่จะปีนขึ้นภูเขา แต่ปรากฏว่ารถของบริษัทเป็นรถสิบล้อ ซึ่งมันแรงมากเร็วมากด้วยเพียงแต่แตะนิดเดียวเท่านั้นเอง มันก็วิ่งฉิวผ่านรถทุกคันไปได้
ซึ่งความคุ้นเคยความเคยชินที่ผมเคยขับรถเก๋งธรรมดาๆ ผมจึงไม่ชินกับการใช้รถใหม่รถสิบล้อของบริษัทที่ผมใช้ ปรากฏว่าลองแตะดูนิดเดียวเท่านั้นแหละ ผมก็เลยตกใจโอ้มันแรงมากขนาดนี้เลยหรอ ว้าวดีจัง
นี่คือการค้นพบของชีวิตคริสเตียน ที่ได้พบว่าเราตายเมื่อ 2,000 ปีก่อน เราถูกฝังและเราเป็นขึ้นมาใหม่ และในเรามีกฎแห่งพระวิญญาณ กฎแห่งชีวิต และในเรามีพลังยิ่งใหญ่อยู่กับเรา และมีพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา โอ้โห..มันดีมากที่สุดเลย คือไม่มีอะไรจะเปรียบปานแล้ว และเราพบว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตธรรมดา ไม่ธรรมดานะคุณ คือมันยิ่งใหญ่มากเป็นชีวิตพระเจ้าที่อยู่กับเรา เป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่มาก
เพราะฉะนั้นสันติสุขก็มีมากกว่า พลังก็มีมากกว่า ทุกสิ่งก็มีดีกว่า เป็นชีวิตที่ดีกว่าทั้งหมด เราขอบคุณพระเจ้าสรรเสริญพระเจ้าที่พระเยซูทำให้สำเร็จ คือไม่มีศาสนาไหน ไม่มีพระไหน ไม่มีอะไร ไม่มีใครที่ทำได้ คือนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ และให้พระเจ้าเป็นผู้ช่วย เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้สอน เป็นผู้เปิดตา เป็นผู้กระทำทุกสิ่ง ให้พลังให้สันติสุข คือมีทุกสิ่งที่เราต้องการ สรรเสริญพระเยซู
และพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์นี้เป็นพระวิญญาณที่รู้ใจ เข้าใจเรา อันนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับและเป็นสิ่งที่ดีมากๆ คือในโลกนี้เราต้องการเพื่อนหรือพ่อแม่หรือใครสักคนที่รู้ใจและเข้าใจเรา ซึ่งหายากมาก ไม่มีใครเข้าใจเรา ไม่มีใครรู้ใจเรา มีแต่คนพูดแบบนี้พูดแบบนั้นใส่เรา บางครั้งเขาก็รักเรา หวังดีกับเรา แต่เขาไม่รู้ใจเรา
แต่สรรเสริญพระเจ้าพระวิญญาณองค์นี้รู้ใจเข้าใจเรา สรรเสริญพระเยซู ซึ่งเราไปหาใครเราไปคุยกับเพื่อนคุยกับใคร ดีไม่ดีก็คือเกิดเรื่องใหญ่กว่าเดิม แล้วก็เป็นทุกข์มากกว่าเก่า ซึ่งคำพูดของเขาอาจจะทำให้เรา..คือมันกระทบกระเทือนจิตใจเรา
แต่หันมานะครับ หันมาหาพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วพูดคุยกับพระองค์ พระองค์รออยู่ พระองค์เป็นผู้ว่าความที่ดีที่สุด พระองค์เป็นผู้รู้ใจเรา เป็นผู้ช่วยเรา เป็นผู้สนับสนุนเราทุกอย่าง แล้วให้สันติสุขที่เราขาดอยู่ได้ เราสรรเสริญพระเยซูที่พระองค์นำพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์นี้เข้ามาอยู่ในเรา
...
สำหรับข้อที่ 17 พระวิญญาณแห่งความจริง พระวิญญาณองค์นี้เป็นพระวิญญาณแห่งความจริง คืออะไร
คือพระองค์อยู่ในความจริงของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณฝ่ายพระเจ้า ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องความบาป เรื่องความตกต่ำ ความมืด ชีวิตเก่าชีวิตเนื้อหนังของอาดัม ฝ่ายมืดพระองค์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
และพระองค์นำเอาสันติสุข นำเอาชีวิตใหม่ นำเอาทุกสิ่งที่เป็นความจริงในพระคำพระเจ้าให้เกิดผลกับชีวิตเราได้ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าเราตายแล้ว ถ้าเราเชื่อ พระวิญญาณองค์นี้นี่แหละที่จะทำให้เราเห็นฤทธิ์เดช เห็นการสัมผัสความตายของชีวิตเก่าตัวเก่า คือมันเป็นง่อย มันพิการ มันไม่มีฤทธิ์ มันไม่มีกำลัง มันไม่มีพลังที่จะทำบาปได้ เพียงแต่เราเชื่อและเราเชื่อนะครับว่าเราเป็นคนใหม่ เรานับว่าเราเป็นคนใหม่ เรานับว่า ขอบคุณพระเยซูตอนนี้ใหม่ๆๆ ทุกวัน คนที่จะกระทำให้เราเห็นและสัมผัสถึงอาการใหม่ของชีวิต ก็คือพระวิญญาณองค์นี้แหละ
เพราะฉะนั้นพระองค์อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จ พระองค์อยู่เบื้องหลังของการกระทำกิจ พระองค์อยู่เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของชีวิตเรา การเติบโต ทุกสิ่งอยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เราขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา และประทับอยู่ในเราทุกวันและทุกเวลา พระองค์ไม่เคยพรากจากเราไปไหน พระองค์กลายเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณใหม่ของเรา สรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์
...
สำหรับในข้อที่ 18-19-20 พระเยซูพูดคำหนึ่งว่าเราจะมาหาท่าน ก็คือการกลับมาในสภาพของพระวิญญาณพระคริสต์เยซู เราอย่าสับสนนะครับ พระเยซูสัญญาจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับเรา และพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจจากพระบิดา เนื่องจากว่าพระบิดาให้เกียรติพระเยซู ประทานเกียรติสง่าราศีให้พระเยซูแล้ว
พระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะแจกจ่ายพระวิญญาณของพระองค์ คือชีวิตของพระองค์เองนั่นแหละ คือพระวิญญาณของพระคริสต์เข้ามาอยู่กับเราเคียงข้างกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่พระวิญญาณของพระคริสต์ไม่ได้มาเพื่อสอนเรา เปิดตาเรา ช่วยเรา ปลอบประโลมเรา แต่พระองค์มาเพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา ใช้อวัยวะของเรา ใช้ชีวิตของเราเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระบิดาให้โลกได้เห็นพระองค์
ขณะที่พระบิดาเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อรับการยกย่องสรรเสริญขอบพระคุณทูลขอนมัสการ สิ่งเหล่านี้ก็คือ พระบิดาเข้ามาอยู่ใกล้เรา เพื่อให้ทุกสิ่งมันง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ไม่ต้องแหงนมองขึ้นบนฟ้า ไม่ต้องคิดถึงว่าพระเจ้าอยู่ดาวดวงไหน อยู่สถานที่แห่งใดไกลโพ้นขนาดไหน ไม่เลยครับ พระบิดาอยู่ในเรา เราจะยกย่องสรรเสริญขอบพระคุณทูลขอหรืออะไรก็แล้วแต่ สารภาพก็ทำได้เลยเดี๋ยวนั้นเลย คือทุกสิ่งง่าย พระเจ้าทำให้ยากกลายเป็นง่าย ให้หนักเป็นเบา ร้ายเป็นดี เราขอบพระคุณพระเจ้า
...
สำหรับข้อที่ 21 พระบัญญัติของเราอันนี้แน่นอนที่สุดครับ เราพบแล้วนะครับว่าพระบัญญัติเดิมไม่มีแล้ว ตอนนี้พระบัญญัติเดิมกลายเป็น คือไม่ได้หายไปไหนไม่ได้ถูกทำลาย แต่มันกลายเป็นพระบัญญัติใหม่ พระบัญญัติของโมเสสไม่ได้หายไปไหนไม่ได้ถูกทำลาย แต่กลายเป็น กลายเป็นพระบัญญัติของพระเยซู พระองค์ดัดแปลงแก้ไข พระองค์มีสิทธิอำนาจจากพระบิดา พระองค์ก็ทำทุกสิ่งให้ยากขึ้น ยากมากขึ้น
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพระเยซูรักเรารักสาวกทุกคน แต่ทำไม ทำให้พระบัญญัติยากขึ้นกว่าเก่า จริงๆ แล้วพระองค์ประทานพระบัญญัติใหม่ให้เราไม่ใช่เพื่อให้เรารักษา แต่เพื่อให้พระองค์ที่อยู่ในเรานี่แหละเป็นคนรักษาแทนเรา เนื่องจากว่าเราทำไม่ได้ พระองค์จึงเมตตาสงสารรักเราและกระทำทุกสิ่งเพื่อเราแทนเรา
และใครก็ตามที่คิดถึงพระบัญญัติ แล้วก็รักษาพระบัญญัติในแต่ละวัน พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูนะครับในแต่ละวัน ผู้นั้นจะถูกเรียกว่าบุตรที่รัก ท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลาย มีบุตรพระเจ้า และบุตรที่รักของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่คิดถึงในมัทธิวบทที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และคำสั่งสอนของพระเยซูทั้งหลายที่เรียกว่าพระบัญญัติใหม่ ถ้าหากเรายึดถือ เราตระหนัก เราคิดถึงและเรารักษาตามขนาดของความเชื่อของเรา เราก็จะกลายเป็นบุตรที่รัก คือการรักษาไม่ใช่การรักษาให้ครบให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่นะครับ คือแล้วแต่พระวิญญาณของพระคริสต์เยซูดำเนินชีวิตแทนเราได้มากน้อยเท่าไหร่ ก็คือเรียกว่าการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตามขนาดของความเชื่อ
ตอนนี้เรารักษาได้กี่ข้อเราก็เอเมน เราก็รอคอยสนิทในพระเยซูให้มากๆ แล้วก็รอคอยการชำระ เพื่อเราจะรักษาได้มากขึ้นมากขึ้น ซึ่งตั้งแต่แรกแล้วนะครับเรารักษาได้ข้อเดียวเราก็กลายเป็นบุตรที่รักของพระบิดาแล้ว ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องรอให้เรารักษาจนครบแล้วคนนั้นก็กลายเป็นบุตรที่รัก ไม่เลยครับ
คือคนที่ปรารถนา คือคนที่มีใจปรารถนา คือคนที่ต้องการและคนที่ตระหนัก ใส่ใจในเรื่องการเป็นราษฎรของอาณาจักร และในอาณาจักรนี้ก็ต้องมีพระบัญญัติ มีกฎเกณฑ์ ซึ่งเราต้องรักษาเพื่อเข้าสู่อาณาจักร และมีส่วนครอบครองกับพระเยซูในยุคพันปีและตลอดไปเป็นนิตย์
สำหรับข้อที่ 23 ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะรักษาคำของเรา เราเห็นนะครับพระเยซูใช้สองคำในที่นี้
1. ก็คือการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู
2. ก็คือรักษาถ้อยคำของพระเยซู
ถ้อยคำของพระเยซู ก็คือสิ่งที่พระองค์ตรัสทั้งหลายในพระคัมภีร์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่มาจากพระองค์เอง ซึ่งตอนที่มีชีวิตอยู่ 33 ปีกว่า และถ้อยคำของพระองค์ที่ตรัสผ่านเปาโล ยอห์น มัทธิว มาระโก ลูกา ผู้รับใช้ทุกคนที่ทำงานในหนังสือกิจการ
** พระองค์ก็อยู่กับเขาและพระบิดาก็จะอยู่กับเขา
ความหมายในที่นี้ การอยู่ด้วย การปรากฏ การมาหา เรียกว่าการสัมผัส การได้เห็นการปรากฏ การสัมผัส เห็นฤทธิ์เดช เห็นการอัศจรรย์ เห็นการทำงานเห็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้ามากกว่าผู้เชื่อทั่วๆ ไป เมื่อก่อนเราคิดนะครับว่าถ้าเราทำดีไม่ทำบาปรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ พระบิดาและพระเยซูอยู่บนฟ้าสวรรค์ไกลโพ้นจะมาหาเรา
ตอนนี้เราขอบพระคุณพระเจ้าเราเข้าใจแล้ว พระบิดาพระบุตรพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา และเมื่อไหร่ที่เรายึดถือถ้อยคำของพระเยซูไม่ทิ้งพระเจ้า ไม่ทิ้งพระคำล้ำลึก และพยายามทำตามขนาดของความเชื่อของเรา ที่จะใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู พระองค์ก็จะปรากฏ ก็คือให้เราเห็น อาจจะทำความฝันก็ได้ นิมิตก็ได้ หรือการปรากฏอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นการอัศจรรย์ เป็นการเคลื่อนไหวของพระเจ้าท่ามกลางเรา
เราขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราถูกเปิดตา เราเอง เราทั้งหลายทุกวันนี้ เราประพฤติตามถ้อยคำของพระเยซูใช่มั้ย ก็คือใส่ใจเรื่องอะไร?
เมื่อก่อนเราใส่ใจเรื่องการทำๆๆ ประกาศขยันเน้นที่การกระทำเพื่อพระเจ้า แต่ตอนนี้เราใส่ใจเรื่องการสร้างความผูกพันสร้างความสัมพันธ์ที่ดี สนิทบอกรักพระเจ้า เพราะว่าเรารู้แล้วว่าพระเจ้าต้องการอะไร
พระเจ้าต้องการคนรัก ไม่ใช่พระเจ้าต้องการคนใช้
พระเจ้าต้องการเจ้าสาว ไม่ใช่ต้องการคนงาน
และผู้เชื่อที่ไม่ประพฤติตามถ้อยคำของพระเยซูก็จะถูกต่อว่า ว่าขาดความรักดั้งเดิม ปัญหาใหญ่ของคริสตจักรทั้งหลายทั้ง 7 ในวิวรณ์บทที่ 2 บทที่ 3 เราเห็นว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ ปัญหาที่หนักมากที่สุดที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า ก็คือความรัก พระองค์ตำหนิคริสตจักรแรกๆ เลยว่าขาดความรักดั้งเดิม
สิ่งแรกที่พระองค์ตรัสถึง ก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด และความรักดั้งเดิมเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการมากกว่าใคร มากกว่าอะไรทั้งสิ้นในโลกในจักรวาลนี้ ทุกสิ่งพระเจ้ามีหมดแล้ว แล้วก็ทูตสวรรค์พระเจ้าก็มีแล้ว มนุษย์พระเจ้าก็สร้างแล้ว
แล้วสิ่งใดที่สำคัญที่สุดในจักรวาลนี้ ก็คือความรัก พระเจ้าตามหาความรักจากมนุษย์ ทุกวันนี้เรามีความรักให้พระเยซูหรือยัง เรามีความรักให้พระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือยัง ถ้ายัง ถ้าเรายังมีจุดบกพร่อง เรายังไม่สายเกินไป start Over เริ่มใหม่วันนี้บอกรักพระเยซู ก็คือได้บอกรักพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค
...
สำหรับในหนังสือยอห์นบทที่ 14:16-26 รักษาพระบัญญัติของเรา หรือรักษาถ้อยคำของเรา
หนึ่งก็คือ การรักษาความเชื่อและพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตามขนาดของความเชื่อของเรา
ประการที่สองก็คือ เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานผู้ปลอบประโลมใจ ปลอบขวัญ ผู้ช่วย ผู้ว่าความที่ดีที่อยู่ข้างๆ เรา ผู้ช่วยเรื่องคดีความของเรา และพระองค์มาเพื่อเป็นเพื่อนผู้รู้ใจผู้เข้าใจเรา เพื่อนผู้รู้ใจที่เข้าใจเรา ผู้สนับสนุน ผู้สั่งสอน ชี้นำทางให้เรา เราสรรเสริญขอบพระคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์
และสุดท้ายก็คือ พระเจ้าทั้ง 3 ที่อยู่ในเรา
พระบิดาอยู่ในเราเพื่อรับการยกย่องขอบพระคุณสรรเสริญทูลขอสารภาพทุกสิ่ง พระองค์เพียงแต่ย้ายจากสวรรค์ลงมาอยู่ในเรา และพระองค์เองในขณะเดียวกันพระองค์ก็ยังอยู่ที่ประทับที่พระบัลลังก์บนสวรรค์ด้วย ทำให้ทุกสิ่งมันง่ายขึ้น
และพระคริสต์เยซูเราขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์มาเพื่อทำแทนเรา ดำเนินชีวิตแทนเรา คิดแทนเรา เป็นสติปัญญา เป็นทุกสิ่ง เป็นความชอบธรรม เป็นความบริสุทธิ์แทนเราทั้งสิ้น
และขอบพระคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มาเพื่อที่จะสั่งสอน นำทาง ชี้ทาง เปิดตา เตือนสติเราเมื่อเราจะทำอะไรผิด หรือเราเดินไปทางไหนที่ไม่ควรไป หรือออกไปจากพระวิญญาณ ออกไปจากพระคริสต์เข้าไปสู่เนื้อหนัง พระองค์เตือน พระองค์นำ พระองค์ชี้ พระองค์สั่งสอน พระองค์ทำทุกสิ่งเพื่อรักษาเราให้อยู่ในพระคริสต์
ถาม.
ในยุคหน้าที่เราเข้าอาณาจักร เราจะได้เห็นพระเยซูองค์เดียว แล้วตาเราจะได้เห็นพระบิดาไหมครับ หรือได้เห็นแต่พระเยซู
ตอบ.
สำหรับฝ่ายวิญญาณ เป็นฟอร์มชีวิตที่ตามนุษย์ไม่อาจมองเห็นได้
ทุกวันนี้พระเจ้าสำแดงพระองค์ที่พระบัลลังก์ในสวรรค์เพียงแต่เป็นดวงสว่าง และพระองค์ใช้ร่างกายเหมือนมนุษย์ประทับอยู่บนพระบัลลังก์โดยที่เป็นร่างกายของพระเยซูนั่นเอง ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เข้าใจกันนะครับ
และในยุคพันปีและฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เมื่อเรามองไปที่พระบัลลังก์เราจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งประทับอยู่ พระเยซูพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ประทับสถิตในพระเยซูที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ลงมาเกิดในโลกนี้แล้วก็ทำพระราชกิจของพระองค์สำเร็จ แล้วตายเพื่อไถ่บาปและเป็นขึ้นมาจากความตาย ร่างกายเปลี่ยนใหม่เป็นพระคริสต์เยซู
แล้วทุกคนจะยกย่องสรรเสริญพระองค์ ทุกคนจะมานมัสการพระองค์ พระองค์นั่นแหละเป็นพระเจ้า พระองค์นั่นแหละเป็นพระเจ้าที่มีพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ ตอนนั้นนะครับเราได้เห็นพระคริสต์เยซู ก็คือได้เห็นพระบิดานั่นแหละ
แล้วผู้ชายชื่อเยซู ก็คือพระบิดานั่นเองที่มาอยู่กับเรา มาอยู่ในโลกนี้ 33 ปีครึ่ง พระบิดานั่นแหละครับ จำได้ไหมฟิลิปถามพระยซูว่ายังไง ขอพระองค์สำแดงพระบิดาให้กับข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น พระเยซูตรัสว่าเราอยู่กับท่านตั้ง 3 ปีกว่า เราอยู่กับท่านนานขนาดนี้แล้วนานถึงป่านนี้แล้ว ท่านยังไม่เห็นหรือ ก็นี่ไงพระบิดา (ยน 14:8-9)
เพราะฉะนั้น พระเจ้าแต่งตั้ง พระเจ้าก่อตั้ง พระเจ้าสร้าง โดยเดชของพระวิญญาณให้เกิดมีร่างกาย ร่างกายที่คล้ายเหมือนมนุษย์ร่างกายนี้เป็นร่างกายชื่อเยซู ที่พระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย ไม่ใช่ว่าในสวรรค์สถานเราจะเห็นพระเจ้านั่งอยู่ที่ประทับพระบัลลังก์อันหนึ่ง แล้วก็พระเยซูก็จะนั่ง คือจะมี 3 พระที่นั่ง ไม่ครับ มีพระที่นั่งเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะประทับข้างขวา เราต้องเข้าใจนะครับผู้เขียนภาษากรีกต้องการสื่อ ข้างขวาก็อยู่ใกล้ๆ กัน ก็อยู่ด้วยกันอยู่ในกันและกัน
...
ถาม.
ตอนที่พระเยซูได้มาบังเกิดแล้วก็มีทูตสวรรค์ได้บอกกลับมารีย์กับโยเซฟว่า เขาจะเรียกนามท่านว่า อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา ตรงนี้ก็คือหมายถึงพระเยซูในสภาพ การเป็นเนื้อหนังก่อนใช่ไหมคะ หรือหมายถึงพระวิญญาณของพระคริสต์
ตอบ.
ความหมาย อิมมานูเอล ก็คือพระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย ความหมายก็คือพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในร่างของพระเยซู เดินไปมาอยู่กับมนุษย์ทั้งหลาย และตอนนี้อิมมานูเอลก็อยู่กับเราท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลาย
...
ถาม.
ก็คือหมายความว่า ความหมายของคำว่า อิมมานูเอล ก็คือไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป เล็งถึงว่าพระเจ้าพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับเรานะ ประมาณนี้ใช่ไหมคะ
ตอบ.
สำหรับพระคัมภีร์สำหรับพระเจ้าสำหรับคริสเตียนในพระคัมภีร์ คือข้อนี้ อิมมานูเอล ก็คือ พระองค์อยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย และข้ออื่นๆ บอกว่าพระองค์อยู่กับเราตลอดไป อย่างที่หนังสือยอห์นบทที่ 14 ที่พระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไป ถ้าเราจะยึดเฉพาะตอนเดียวในหนังสือมัทธิวที่บอกว่าอิมมานูเอล ก็คือพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย อันนี้ยังไม่ชัดเจน ก็คือจะออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะอยู่กับเราก็ได้หรือไม่อยู่ก็ได้
แต่หนังสือยอห์นบทที่ 14 คือพระเจ้าออกไปไหนไม่ได้แล้ว คือพระเยซูสัญญา พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่รักษาสัญญา ไม่เบี้ยว ไม่ลบล้าง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคยเปลี่ยน พระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไป ก็คือตลอดไป สรรเสริญพระเจ้า ไม่เหมือนมนุษย์ใช่ไหม สัญญาแล้วไม่ทำตามสัญญา
...
คือสำหรับเรา เราเอง คือเป็นสิ่งที่เกิดความรู้ เกินความเข้าใจ เกินสติปัญญาที่มนุษย์อย่างเราจะรับรู้ได้ ซึ่งเรื่องของพระเจ้าเป็นเรื่องที่ลึกลับ ลับลึก ซับซ้อน เป็น Mystery ผมขอใช้คำ Mystery คือซับซ้อน ลับลี้ ลึกลับ สมองเราจิตใจของมนุษย์ที่ตกต่ำแล้ว ไม่อาจรับรู้ ไม่อาจรู้ ไม่อาจเข้าใจได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ปัจจุบันนี้ เรารู้ที่พระเจ้าเปิดเผยให้เราได้เห็น
ก็คือพระเจ้าของเรามี 3 พระภาค และพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้ามี 3 พระภาค เป็นพระเจ้ามี 3 ตน 3 พระภาคที่อยู่ด้วยกัน และเป็นหนึ่งเดียวเป็นจิตใจเดียว นิสัยชีวิตอันเดียวกัน และไม่แยกจากกันไปไหน ไม่พรากจากกัน อยู่ด้วยกันไปตลอด และพระองค์มีฤทธิ์เดชมีฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่มากเหนือจักรวาลนี้
ก็คือพระองค์อยู่ทุกที่ทุกแห่งทุกหนได้ในเวลาเดียวกัน และเมื่อมาถึงยุคของเรา เราพบว่าพระเยซูเกิดมาเป็นผู้ชายคนหนึ่งชื่อเยซู แท้ที่จริงก็คือโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนกระทำให้เกิดมีร่างกายนี้ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่กายดิน ไม่ใช่กายที่ได้รับจากนางมารีย์เลย ซึ่งเกิดขึ้นโดยเดชโดยปฏิสนธิของโดยการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
และผู้ชายคนนี้ มีพระวิญญาณของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในผู้ชายคนนี้ และเดินไปมาทำกิจของพระเจ้าถึง 33 ปีกว่า
ขณะเดียวกันพระเจ้าพระบิดาก็ประทับอยู่บนที่พระบัลลังก์ที่สวรรค์ แล้วก็มีพระบุตรก็อยู่ด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ด้วย เราจะเห็นนะครับและในขณะเดียวกันผู้ชายที่ชื่อเยซู ก็มีพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ด้วยกัน
และตอนที่พระเยซูถูกตรึง ผู้ชายคนนี้ถูกตรึง พระบิดาก็ออกไปจากร่างของพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ออกจากร่างของพระเยซู เหลือไว้แต่พระบุตร ซึ่งพระบุตรนี้สมัครใจขอเป็นผู้ที่ตายไถ่บาปเพื่อโลก พระเจ้าก็อนุญาต พระเจ้าก็ยินดีและพระเจ้าก็ให้เกียรติ
และผู้ชายคนนี้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ก็เสด็จไปถึงพระบิดาและถวายพระโลหิตเพื่อเป็นเครื่องถวายบูชาไถ่บาป จากนั้นพระบุตรก็ได้รับสิทธิอำนาจกลายเป็นวิญญาณที่แจกจ่ายชีวิตของพระองค์แก่ผู้เชื่อทั้งหลายได้ และมีพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา พระบิดาก็มา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มา ผู้เชื่อทุกคนทุกวันนี้มีพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเขาในวิญญาณของเขาทุกๆ คน
สรุปก็คือพระคริสต์เยซูตอนนี้ มีร้อยล้านพันล้านองค์ที่อยู่ในเรา และพระบิดาก็มีร้อยล้านพันล้าน ซึ่งเราจะเรียกว่า Copy ก็ไม่เชิง ก็คือพูดตรงๆ ว่าเป็นชีวิตของพระเจ้านั่นเองที่อยู่กับเรา พระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็คือองค์เดียวกันกับผู้ที่ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ในสวรรค์ครับ
และทั้ง 3 เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าพระบิดายิ่งใหญ่กว่าพระเยซู ตอนที่พระเยซูอธิษฐาน และพระเยซูอธิบาย พระองค์บอกว่าพระบิดาก็เป็นใหญ่กว่าเราเป็นใหญ่เหนือเรา ตอนนั้นพระเยซูพูดในฐานะของมนุษย์ที่ชื่อเยซู
และมีอยู่ตอนหนึ่งที่พระเยซูตรัสว่า เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่าเทียมกัน ก็คือพระเยซูตรัสตอนนั้น ก็คือตรัสในฐานะของพระเจ้าพระบุตร
และที่สำคัญที่สุดเราต้องแยกว่าการงานของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคในขณะนี้ ในยุคนี้ยุคพระคุณพระองค์ทำอะไรบ้าง และในยุคสุดท้ายพระองค์อยู่ด้วยกันที่พระบัลลังก์ และในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคก็อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมครับ
เราขอบพระคุณพระบิดา ขอบพระคุณพระเยซูคริสต์ และโดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความสำเร็จในชีวิตของเรา เราถูกเปิดตาได้ถึงขนาดนี้ และจะถูกเปิดตาต่อไปจนถึงชีวิตและนิสัยของผู้ชนะ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เอเมน
เรายกย่องสรรเสริญพระเจ้า เราให้เครดิตพระวิญญาณบริสุทธิ์ พี่น้อง และผม และพี่น้องอีกหลายๆ คน เราเพียงแต่เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ที่พระเจ้าใช้ พระเจ้าเป็นผู้ที่น่ารักมากที่สุด พระวิญญาณทำกิจพระวิญญาณทำงานหนักมากในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่พระองค์จะต้องกระทำทุกที่ ทุกแห่ง ทุกคนทั่วโลก เราขอบพระคุณพระเจ้า
ถาม.
พระเจ้ายุติธรรม ผู้ที่มีความรู้มาก อ. ทั่วไปไม่ได้ผิดที่เขามีความรู้มาก แต่ว่ามันเป็นความรู้อาดัมพระเจ้าก็จะให้เขารู้แต่เพียงเล็กน้อยเรื่องเกี่ยวกับความล้ำลึก แต่เราที่เป็นผู้เล็กน้อยเป็นคนที่มีความรู้ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ มีความรู้แบบคนทั่วไปไม่ยอมรับก็เป็นคริสเตียนทั่วไป แต่พระองค์ก็เปิดเผย เมตตาให้เรารู้ข้อล้ำลึก พระเจ้ายุติธรรมมากพระเจ้าน่ารักมาก ผมเห็นความยิ่งใหญ่พระเมตตาของพระเจ้ามากเลยที่ให้เราทั้งหลายได้มารู้ข้อลึกลับโดยที่เราไม่ต้องพยายาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราเยอะมาก
ตอบ.
สำหรับคริสเตียนศาสนา คือเขาอาจจะได้เข้าใจได้รู้เรื่องบางเรื่อง ซึ่งพระเจ้าก็อยากเปิดตาเขา แต่เปิดไม่ได้เขาไม่รับ เขาไม่ยอมรับ ก็ขอบคุณพระเยซูที่เขาอาจจะได้ชิมบ้าง ได้ชิมบ้าง ได้เห็นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง แล้วก็ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระได้ในบางส่วนในชีวิตของเขา
และต่อมาก็คือเราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องหลายคนที่เข้ามาแล้วก็รับรู้ได้ถูกเปิดตาได้เห็นพระคำล้ำลึกหลายส่วน แล้วก็นำไปใช้ก็เกิดผลมีสันติสุขมากกว่า ได้เห็นการอัศจรรย์ ได้เห็นการสัมผัส พระเยซูและพระบิดามาหาเขาจริงๆ ก็ขอบพระคุณพระเจ้าซึ่งเขาอาจจะรับได้เท่านั้นแค่นั้น
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่รับพระคำล้ำลึกและไปไหนไม่ได้จริงๆ คือรับสุดๆ แล้วก็รับการเปิดตาเต็มล้น มากจนถึงขั้นที่มองไม่เห็นอะไรแล้ว ถ้าจะคิดเหมือนอย่างที่ชาวโลกเขาพูดก็คือถูกล้างสมอง แต่เราขอบคุณพระเจ้า เราไม่ได้ถูกล้างสมองโดยมนุษย์โดยอาจารย์...หรือใคร
เราถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้างชำระล้างสมองของเรา เปลี่ยนความคิดใหม่ของเรา ให้เข้าสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซู สรรเสริญพระเจ้า
มีพี่น้องบางคนถามผมว่า ผมทำไมไม่เคยคิดที่จะหนีจากมานาฯ และละทิ้ง หรือออกไป หรือยกเลิก หรือเปลี่ยนใจไม่รับใช้ ยังดำเนินอยู่ในมานาฯ นานกว่าใคร
แต่ขอบคุณพระเจ้ามีพี่น้องที่อยู่ในมานาฯ นานกว่าผมก็ยังมี ซึ่งอาจจะเป็นชาวต่างชาตินะครับ
และถามว่าทำไมเพราะว่า คือถ้าพระเจ้าเปิดตาเรามาถึงจุดที่ ที่มันมาก มากพอแล้ว คือเราได้เห็นแล้ว
คือพี่น้องนะครับมองดูที่ตัวเราเองตอนนี้นะครับ เราเห็นนะครับว่าเรามีสันติสุขมากกว่าเก่า และเราเห็นการทำกิจของพระวิญญาณ การทำกิจของพระเจ้ามากกว่าสมัยที่เราเป็นคริสเตียนศาสนา เอเมนไหมครับ
แล้วสำหรับผมมาถึงจุดนี้คือมันกลับไม่ได้แล้ว กลับไม่ได้จริงๆ จะยังไงก็ตามคือกลับไม่ได้ เนื่องจากว่าพระองค์คลิกสมองให้ได้เห็น ให้ได้เข้าใจ ให้ได้รู้ว่า คือมันไม่มีอะไรที่พิเศษกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีแล้ว ชีวิตที่ดีกว่า ชีวิตที่พิเศษกว่า ชีวิตที่ลึกซึ้งลึกกว่า แล้วการใช้ชีวิตที่มันเบาสบายทุกสิ่งที่อยู่ในพระคำพระเจ้าในพระคัมภีร์เกิดผลเป็นจริงเมื่อเราเชื่อและกระทำตาม
แล้วถามว่าทำไมผมไม่ยอมแพ้ เพราะว่าพระเยซูตรัสไว้ในมัทธิวบทที่ 6 ข้อที่ 33 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
พระองค์จะประทานทุกสิ่งที่เราต้องการให้ทีหลังไม่ต้องห่วง แต่สิ่งที่เราต้องแสวงหา ก็คืออาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรม
เพราะฉะนั้นผมและพวกเราควรจะวิ่งแข่งต่อไปสู่อาณาจักรให้ได้ ไม่ทิ้งกัน ช่วยเหลือกัน เพื่อทุกคนจะเข้าสู่อาณาจักร และมีส่วนในภารกิจยุคต่อไป และฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
แล้วถามว่าผมรับกับปัญหาต่างๆ ได้ยังไง ทำไมผ่านทุกสิ่งมาได้ ผมเจอมาร้อยแปดพันประการแล้วนะครับทุกปัญหาเกือบทุกปัญหาที่หลายคนเจอ ผมก็เจอมาแล้วนะครับ แม้แต่ติดคุกนะครับ
ซึ่งถามว่าผ่านมาได้ยังไง ทำไมไม่ท้อเหรอ
คือท้อได้ยังไงเพราะว่าพระวิญญาณอยู่ในเรา พระองค์เป็นพลัง เป็นกำลังของเรา เป็นสันติสุขของเรา แล้วก็พระเจ้าก็ปลอบประโลมเรา พระวิญญาณปลอบประโลมเรา อยู่เคียงข้างเรา เป็นผู้สู้คดีความแทนเรา เราจะไปกลัวอะไร พระองค์รู้ใจเข้าใจเรา คือทุกสิ่งเราเห็นชัดเจนมาก เราจึงไม่ท้อแล้วก็ผ่านไปได้ทุกสถานการณ์ทุกเหตุการณ์
และสำหรับผม ผมไม่ได้มองว่าคนที่พูดใส่ร้ายหรือคนที่กระทำไม่ดีต่อเรา ทำให้เราท้อ คือผมไม่ได้มองเขา ผมมองว่ามีผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือซาตาน เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขา เป็นผู้ผลักดันเขาให้พูดให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเราเพื่อให้เราท้อ เขาเองไม่ได้ทำผิดอะไร เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาอาจจะรักเรา แต่บางคนอาจจะเกลียดเราก็ไม่เป็นไร แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ ก็คือมาร
เพราะฉะนั้นคนที่เคยรักกัน คนที่เคยทำดีต่อกัน คนที่เคยอยู่ร่วมกัน คนที่เคยรับใช้ร่วมกันเป็นพระกายเดียวกัน แล้วอยู่ๆ ก็เปลี่ยนไป เราไม่ต้องคิดว่าเป็นเขา คือมารเอาชนะเขาได้และมารใช้เขา
ถาม.
ที่อาจารย์บอกว่าให้เรารักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตามขนาดของความเชื่อ แต่ตอนนั้นที่ผมฟังในคลิปบอกว่าเราอย่าแตะพระบัญญัติใหม่ เพราะว่าพระบัญญัติใหม่เป็นอะไรที่สูงของพระเจ้าเลย เราทำไม่ได้ แต่เมื่อตะกี้อาจารย์บอกว่าให้เรารักษาตามขนาดของความเชื่ออันนี้เหมือนผมไม่เข้าใจเหมือนกัน มันขัดแย้งกันนิดนึงอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยครับ
ตอบ.
สำหรับพระบัญญัติใหม่ไม่คู่ควรกับเราไม่ใช่ของเราที่จะต้องรักษา แต่เมื่อเรากระทำตามขนาดของความเชื่อ เมื่อเรารักอากาเปได้เท่านี้ เรารักได้เท่านี้ เราทำดีได้เท่านี้ สิ่งที่พูดว่าทำตามขนาดของความเชื่อ ก็คือใครเป็นคนทำแทนครับ "พระเยซู"
คือเราไม่แตะนะครับ เราไม่แตะ เราไม่รักษาเลย แต่ขนาดของความเชื่อก็คือพระองค์เริ่มกระทำกิจในเราแล้ว เท่านั้นแล้ว และจะทำต่ออีก ก็คือตามขนาดของความเชื่อของเรา
ซึ่งเราอย่าแตะ ห้ามแตะพระบัญญัติ ห้ามรักษา ห้ามไปพยายามรักษาให้ได้ เพราะว่าเราทำไม่ได้แน่นอน ไม่มีใครรักษาพระบัญญัติได้ และตอนนี้พระบัญญัติใหม่ยากกว่าพระบัญญัติเดิมหลายร้อยเท่าพันเท่าเลย
ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะพอพยายามได้แต่ต้องเกือบตายใช่ไหมชาวยิว เขารักษาพระบัญญัติจนเกือบตายนะครับ จึงรักษาได้ต้องฆ่าแกะไม่รู้กี่ร้อยตัวแล้วใช่ไหม เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของเขา เมื่อทำบาปต้องไปถวายเครื่องบูชาเพื่อไถ่บาป
เรานะครับไม่ควรรักษา ไม่ควรแตะ พระเยซูไม่เคยสั่งให้เราทำ เนื่องจากว่าพระองค์ยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติขึ้นสูงเป็นระดับมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ซึ่งไม่มีใครที่จะรักษาได้ ซึ่งตอนนี้นะครับแม้แต่คิดก็ยังผิดแล้ว แม้แต่คุณคิดคุณก็ยังผิดแล้ว เพราะฉะนั้นแม้แต่ไม่ได้ฆ่าใครนะครับ แม้แต่โกรธก็เหมือนฆ่าคนแล้ว
ทีนี้ตอนนี้เรามาถึงจุดที่ถ้าหากพระเจ้าให้เราทำอะไรได้ ก็คือพระคริสต์ทำแทนเราได้เท่าไหร่แล้ว เราก็ทำเท่านั้น อันนี้เรียกว่าทำตามขนาดของความเชื่อ เมื่อเราจะให้เงินแก่คนยากจนคนขอทาน เราบอกว่าเราทำด้วยตัวใหม่และพระคริสต์เป็นคนกำลังทำอยู่ นี่นะครับเรียกว่าทำตามขนาดของความเชื่อครับผม
...
ถาม.
ขอถามอาการที่พระองค์เคลื่อนอยู่ภายในร่างกายเรา มีสองอาการนะคะ อาการที่ 1. ก็คือจะเกิดอาการซ่านร่างกายเราตั้งแต่ส่วนล่างขึ้นมาตามร่างกายเรื่อยๆ จนถึงศีรษะ พอถึงศีรษะก็เหมือนอาการซ่านกระจายแล้วก็ครอบคลุมในร่างกายเรา อาการนี้จะเกิดตอนที่นมัสการ เกิดตอนที่กำลังอ่านพระคำแล้วก็บางทีอยู่เฉยๆ ก็เกิดอาการนี้ค่ะ /ส่วนอาการที่ 2. เป็นอาการที่เกิดตอนที่เราตื่นนอน เรากำลังจะ อธ. นับถวายตัว ตอนนี้จะเป็นอาการเหมือนคลื่นเลย พอเราเริ่มนับถวายตัวก็จะเป็นคลื่นลูกใหญ่ตั้งแต่ด้านล่างขึ้นมาเป็นลูกๆ ขึ้นมาจนกระทั่งถวายตัวเสร็จ ก็จะขึ้นมาที่ศีรษะเหมือนเดิมแล้วก็จะกระจายแล้วก็แตะขึ้นมาครอบคลุมร่างกายของเรา /เกิด 2 อาการนี้ค่ะก็เลยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอบ.
สำหรับพี่น้องที่เข้าใจคำว่า pletho (เต็มล้นภายนอก) และ pleroo (เต็มล้นภายใน)
และอาการของพี่น้องที่เกิดขึ้นทั้งสองสถานการณ์ทั้งสองอาการ ก็คือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายนอกครับ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเต็มล้นนะครับ เราจึงซ่านไปทั้งตัว แล้วก็รู้สึกว่ามันร้อนใจร้อนรนมีอาการรักพระเจ้า อยากร้องไห้มีอาการที่ไม่เหมือนปกติ อันนี้คือการต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายนอกครับผม
แล้วพี่น้องหลายคนนะครับ ถ้าเราอธิษฐาน ถ้าเราเฝ้าเดี่ยว หรืออาจจะอยู่กับพี่น้องหรืออยู่กับใครก็ตาม เราอยู่ในการนมัสการ อยู่ในช่วงแห่งการสนิทในพระเยซู บางครั้งพระองค์จะให้เราเห็นอาการ การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ
สำหรับพี่น้องที่ไม่เคยได้สัมผัสในลักษณะนี้ ไม่ต้องน้อยใจเราขอบพระคุณพระเยซูที่เรามีความเชื่อ และเราเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน เอเมน
นี่คือสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าสัญญากับเราผ่านเปาโล ว่าร่างกายภายนอกจะถูกทำลายไปทีละน้อย และร่างกายภายในจะถูกก่อขึ้นทุกวัน (2 คร 4:16 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน)
ขอบคุณพระเจ้าพระเจ้าไม่เคยหยุดนิ่งพระเจ้าทำงานทุกวันขณะที่เราไม่รู้
...
ถาม.
การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณภายใน ก็เคยมีค่ะตัวอย่างเช่น เราสนิทกับพระเยซูบอกรักสนทนาไปเรื่อยๆ แล้วก็มีบางครั้งที่เรารู้สึกว่า เรามีความรักเกิดขึ้นมากเลย แบบมองไปที่ไหน เห็นใครก็รักไปหมด ก็คือเป็นความรักหมดแบบว่ามีความสุขมากๆ อันนี้คือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณภายในใช่ไหมคะ
ตอบ.
ใช่ครับ คือการสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูไม่มากก็น้อยนะครับ แล้วจะเริ่มมีมากขึ้น มากขึ้น
ส่วนการเติมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายนอก ก็คือเราจะมีสันติสุข เราจะมีอาการร้อนรนกระตือรือร้น เราจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่เป็นพลังเหมือนไฟช็อต หรือเหมือนอาการซาบซ่านไปทั้งตัว หรือขนลุกหรืออาการแตะของพระวิญญาณ ซึ่งตอนนั้นเราอาจจะอยู่นิ่งไม่ได้ เราอาจจะร้องไห้ เราอาจจะอยากประกาศข่าวประเสริฐ อยากบอกรัก อยากออกไปพูดไปบอกคน ตอนนั้นเป็นตอนที่กระตือรือร้นมาก
...
ถาม.
เมื่อเรายิ่งเต็มล้นภายในมากเท่าไหร่ ก็คือความคิดของพระเยซูก็จะมาคิดแทนเราได้มากขึ้นใช่ไหมครับ คือผมมีประสบการณ์ที่ผ่านมา คือผมหิวก็เลยเข้าไปในเซเว่น แล้วผมจะซื้อแค่น้ำกับแซนวิช แต่ปรากฏว่าถามพระองค์ว่าพระองค์จะให้ซื้ออะไรอีก พระองค์ก็ให้ไปหยิบน้ำเพิ่มอีกขวดนึงแล้วก็แซนวิชอีกชิ้นนึง ผมก็ไม่ได้เอะใจทำไมเราซื้อมา 2 ชุดทำไม ทั้งๆที่เรากินคนเดียว แล้วผมก็ไปนั่งที่รถเมล์ อยู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงเดินมา พระองค์ก็บอกว่าเอาน้ำที่เราซื้อให้เขาไปขวดนึง แล้วก็มีอีกคนนึงเดินมาพระองค์ก็บอกว่าให้เอาแซนวิชอีกชิ้นนึงให้เขา มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็แปลกใจมาก เราไม่ได้คิดเอง ทำไมทุกอย่างมันเกิดขึ้นแบบงงๆ ทำไมสิ่งที่พระองค์บอกพระองค์จัดเตรียมไว้ทั้งหมดเลย คือผมไม่ได้คิดว่าต้องมาให้ใครไงครับ
ตอบ.
ขอบคุณมากนะครับที่ถามคำถามนี้ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับการชี้ทาง นำทาง บอกทาง เตือนเรา อันนี้หน้าที่ของใครครับ พระวิญญาณบริสุทธิ์นะครับ ไม่ใช่พระคริสต์ทำแทนครับ
สำหรับพระคริสต์ทำแทนคืออะไร ตัดสินใจแทนคืออะไร
คือปุ๊บปั๊บเลย เป็นคนคิดแทนเลย ไม่บอกไม่จำเป็นต้องบอก คือการกระทำแทนของพระคริสต์ ก็คือเห็นใครก็ตามที่ยากจนก็ควักกระเป๋าออกมาแล้วให้เลย โดยที่เรารู้ภายหลังนะว่าเราทำไปได้ยังไง ทั้งๆ ที่ไม่มีใครบอก ไม่มีใครทำอะไรเลย อยู่ดีๆ ก็สงสารมาก ร้องไห้เห็นใจเมตตาเขา แล้วก็ควักกระเป๋าออกมาแล้วช่วยเขาให้เขา คือเรามาคิดภายหลังว่าทำได้ยังไง คือไม่มีใครบอกเรา นั่นคือการทำแทนของพระคริสต์ คิดแทนของพระคริสต์ ตัดสินใจแทนของพระคริสต์ครับ
ส่วนถ้าจะมีเสียงบอกเรา มีเสียงบอกเรามีเสียงภายในนะครับไม่ใช่คำพูดนะครับ แต่มีเสียงอะไรสักอย่างที่บอกเราภายใน เราสัมผัสได้ถึงเสียงนั้น แล้วก็บอกเราว่าซื้อเพิ่มอีกแซนวิชแล้วก็น้ำดื่มซื้อเพิ่มอีก แล้วพอเห็นใครก็บอกว่าเอาให้คนนั้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ
ขอให้เราไปศึกษานะครับในเว็บไซต์ของมานาฯ พวกเรา ก็คือจะมีนะครับ หน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่ถ้าหากเราเข้าใจในตอนนี้ที่ผมสรุปนะครับ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์มีหน้าที่สั่งสอน แนะนำ ตักเตือน นำทาง ปลอบประโลมใจ ชี้ทาง เปิดตา เหล่านี้นะครับก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างที่กรณีของพี่น้องที่เจอนะครับ ก็คือการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ส่วนการทำแทนของพระคริสต์ ก็คือการดำเนินชีวิตแทน คืออยู่ดีๆ ก็ไปรักเขา อยู่ดีๆ ก็ให้เขา อยู่ดีๆ ก็ช่วยเขา อยู่ดีๆ ก็เดินไปหาเขา คือทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเสียงอะไรบอกไม่มีใครบอกเรา แต่ไปเองทำเอง นี่คือการเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระคริสต์ ก็คือการเต็มล้นภายในมากขึ้นครับ
พระเจ้าของเราน่ารักมากและพระเจ้าของเรารับเกียรติทั้ง 3 พระภาค คือพระองค์แบ่งหน้าที่ไม่มีใครแย่งหน้าที่ของใคร และพระองค์ได้รับเกียรติเท่ากันครับ
...
ถาม.
แล้วสมมุติว่าเราช่วยเหลือใครโดยที่เราไม่ได้รู้สึกเมตตาเขาหรือรักเขา แต่เป็นโดยพระเจ้าดลใจอันนี้ก็คือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช่ไหม ไม่ใช่พระคริสต์ใช่ไหมครับ
ตอบ.
อีกครั้งนะครับถ้าเราเดินไปโดยที่ไม่มีเสียงบอกเรา ก็คือพระคริสต์ทำแทนเราแล้ว
แต่ถ้าหากมีเสียงบอกเรา ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ
ขอให้พี่น้องไปศึกษาใหม่ไปค้นความแตกต่างระหว่างการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และของพระคริสเยซูในเรานะครับ
ถาม.
อยากทราบว่าเวลาเราฝึกมานามาสักพักหนึ่ง เวลาเราเจอปัญหาอาจจะเล็กอาจจะใหญ่ บางครั้งเรารู้สึกว่าหัวใจของเราไม่สะทกสะท้านกับปัญหานั้น เรารู้สึกเฉยๆ กับมัน ก็เลยอยากถามว่าอาการนี้เกิดขึ้นเพราะสาเหตุอะไร เพราะว่าเราไม่สนใจหรือเราไม่ได้ใส่ใจในตรงนั้น หรือเพราะสาเหตุอะไรคะที่มันเกิดขึ้นแบบนี้
ตอบ.
คือการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในที่มีมากขึ้นกว่าเก่าแล้ว มาถึงจุดที่เราปล่อยปลงวางได้ ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของใครไม่รู้สึกกระทบกระเทือนสะท้านใจอะไรทั้งนั้นเลย เราขอบพระคุณพระเจ้าที่หลายคนมาถึงจุดนี้ เนื่องจากว่าเราได้รับการชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านการชำระด้วยพระคำพระเจ้าครับ
เป็นสิ่งที่ใครก็ต้องการนะครับ ศาสนาไหนก็ต้องการ คือใจสงบนิ่ง ใจปล่อยปลงวาง ทุกคนก็ต้องการ เขาทำสมาธิ เขาไปเข้าป่า เขาทำอะไรก็แล้วแต่ทุกศาสนา เพื่อต้องการสิ่งนี้นี่แหละ ก็คือชีวิตที่ปล่อยปลงวาง ไม่สนใจไม่ใส่ใจเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้นในโลกนี้ คือปล่อยวาง
แต่เรา สำหรับเรา ก็คือทางที่ดีที่สุดและทางเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทำให้ ก็คือให้เราเต็มล้นด้วยชีวิตและนิสัยของพระคริสต์มากขึ้นมากขึ้น จนมาถึงจุดที่เราปล่อยวางได้ มีอะไรเกิดขึ้นจะร้อน จะหนาว จะเป็นยังไง ใครจะตาย ใครจะดีจะร้ายยังไง ไม่ใช่ว่าเราไม่รักเขาไม่สงสารเขานะ ไม่ใช่ว่าเราตายด้าน แต่มันเป็นอาการของชีวิตของพระเยซูที่ครอบคลุมเราอยู่ ซึ่งเราไม่อาจจะเสียใจจะเป็นทุกข์จะร้องไห้จะอะไรได้อีกต่อไปแล้ว คือมันปล่อยวางได้แล้วครับ
เพียงแต่ว่าเราที่มาถึงจุดนี้ หลายคนก็น่าจะรู้ดีว่าเราจะทำตัวยังไง ผมไม่ต้องบอกก็ได้ ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า อ้าว..เรามีสันติสุขมาก เราปล่อยวางได้ เราไปงานศพของญาติของเพื่อนของใครที่ใกล้ชิดเรา เราไปนั่งยิ้มได้ไหม คือไม่นะครับ.
เราไปแสดงอาการเสียใจกับเขา เขาเป็นทุกข์เราก็เป็นทุกข์ด้วย เขาร้องไห้เราก็ร้องไห้ตามเขา แต่ภายในลึกๆ ของเรา เรามีสันติสุขเต็มล้นอยู่แล้วครับ ไม่ใช่ว่าไปนั่งหัวเราะไปนั่งคือพูดคุยสบายๆ ยิ้มแย้ม อันนั้นไม่ใช่แล้วครับ
...
ถาม.
พอดีว่ามีหลายคนบอกว่าทำไมดิฉันรู้สึกเฉยๆ กับเหตุการณ์หลายอย่าง บางทีก็สงสัยตัวเองว่าที่ดิฉันเฉยๆ กับเหตุการณ์หลายอย่าง เพราะดิฉันไม่รักเขาเหรอ หรือว่าเพราะว่าไม่ได้คิดอะไรเหรอในเหตุการณ์ที่เข้ามา ก็เลยสงสัยกับตัวเองตลอดเป็นเพราะสาเหตุอะไร ก็เลยถามพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่ก็ยังเฉยอยู่ ยังเฉยกับเหตุการณ์ที่เข้ามา ก็เลยได้คำตอบวันนี้ก็ขอบคุณพระเจ้า
ตอบ.
เป็นอาการเต็มล้นภายในครับ เราขอบพระคุณพระเจ้ามีพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่บอกว่า เมื่อพี่น้องร้องไห้ ก็จงร้องไห้กับเขา เมื่อพี่น้องเป็นทุกข์ เราก็ต้องเป็นทุกข์กับเขา เมื่อพี่น้องเป็นอะไร เราก็เห็นใจ เราก็เข้าใจเขา (โรม 12:15) ถึงแม้ว่าเราจะปล่อยวางได้แล้วก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะมีสันติสุขมากเต็มล้นแล้วก็ตาม
คือพี่น้องโศกเศร้า เราก็โศกเศร้าร่วมกับเขาครับ แน่นอนครับไม่ใช่อาการตายด้าน
คือทุกคนต้องการสิ่งนี้คืออาการปล่อยวาง ทุกคนต้องการ แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้รับแล้ว แล้วไม่ต้องสงสัยว่าเป็นอาการอะไรผิดปกติไหม ไม่ครับผม เป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา และเราได้รับโดยพระคริสต์ในพระคริสต์และพระคริสต์เต็มล้นในเรา
...
ถาม.
ทำไมเวลาใครมาแตะพระเจ้าหรือพระคำพระเจ้ามากล่าวหา เรารู้สึกแบบอ่อนไหวมาก เหมือนทำให้เป็นคนอ่อนแอเสียน้ำตา
ตอบ.
สำหรับนิสัยของพระเจ้าของเรา เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นความรัก อันนี้ผมไม่ต้องขยายความเราก็เข้าใจกันแล้วนะครับ ความรัก คนที่มีความรักมากๆ คนที่เป็นคนที่เกิดมาอยู่เพื่อความรักคืออะไร
คือมันจะมีความเมตตา เป็นคนใจอ่อน ขี้ใจอ่อน แล้วก็เป็นคนที่ชอบร้องไห้ สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ร้องไห้กับคริสเตียนตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พระองค์เสียพระทัยมาก เนื่องจากว่าคำพูดการกระทำที่เขาอาจจะไม่ตั้งใจหรือการกระทำที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัยมีเยอะมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ร้องไห้เป็นเรื่องธรรมดานะครับ ร้องไห้ผ่านเรา ร้องไห้ผ่านผู้เชื่อ อันนี้เราไม่ต้องแปลกใจ
และขอบพระคุณพระเจ้าที่ในขณะเดียวกันพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เข้มแข็ง พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าที่เข้มแข็ง มีจิตใจที่เข้มแข็งมากๆ เพราะฉะนั้นพระองค์มีอาการบางครั้งก็อ่อนไหวร้องไห้เสียใจเสียพระทัยผ่านเรา แล้วก็บางครั้งพระองค์ก็เข้มแข็งให้เราเห็นนะครับผ่านเรา ก็ขอบคุณพระเยซู คือเป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดาครับ
แต่ว่าถ้าสมมุติว่ามีคนมาว่าพระเจ้าเรา มาพูดเสียๆ หายๆ หรือใส่ร้ายเราที่บอกว่าเราเชื่อผิด แล้วเราโกรธอันนี้ไม่ใช่แล้วนะครับไม่ใช่ ในพระคัมภีร์หลายตอนที่บอกว่าพระพิโรธของพระเจ้า พระพิโรธของพระเจ้าเราอย่าเข้าใจผิดนะครับ พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่โกรธเกลียด พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่อาจจะไม่ชอบ คือคำว่าเกลียดความบาปก็คือพระเจ้าไม่ชอบความบาป และคำว่าโกรธพระพิโรธ ไม่ใช่พระเจ้าโกรธโมโห ไม่ใช่ครับ
พระพิโรธก็คือการนำสิ่งที่ไม่ดีเพื่อตอบแทนมนุษย์ที่ทำสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งผู้เขียนสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจก็คือเขาอาจจะคิดผิดไปว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่โมโหเก่งพระเจ้าที่โกรธเป็น
พระเจ้าของเราโกรธไม่เป็นครับ แต่พระเจ้าต้องตอบแทนในสิ่งที่ไม่ดีกับคนที่ทำไม่ดีต่อพระองค์หรือต่อเพื่อนบ้าน ขอให้เข้าใจนะครับ
ผมเห็นอาจารย์หลายคนเห็นผู้นำหลายคนเห็นคริสเตียนหลายคน ที่พอเขาใส่ร้ายเราหรือเขาไม่ต้อนรับพระเยซูก็โกรธโมโหแล้วก็อธิษฐานสาปแช่งไปเลย อันนั้นไม่ใช่ครับผม แต่พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าร้องไห้ได้เสียพระทัยได้
...
ถาม.
เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมได้ไปงานศพพ่อตัวเอง แต่ปรากฏว่าผมไม่รู้สึกเสียใจหรือว่ามีน้ำตาเลยแต่ว่าผมก็รักพ่อนะ แต่ว่าผมไม่รู้สึกเสียใจกับที่พ่อตายจากไปเลย แล้วผมก็บอกรักพระเยซูก็มีสันติสุข แต่ว่าเราไม่ได้ยิ้มหรือแสดงความตื่นเต้นร่าเริงอะไรก็สงบสำรวมปกติ อันนี้ก็คือพระเจ้าช่วยเราใช่ไหมครับ เราก็รักพ่อแต่ว่าพ่อเสียเราไม่ได้ร้องไห้แต่รู้สึกเฉยๆ และทำใจว่าสักวันหนึ่งตัวเองก็ต้องตายแล้วก็คุยกับพระเยซูไปเรื่อยๆ
ตอบ.
คือบางคนก็อาจจะร้องไห้ได้ บางคนก็อาจจะไม่ร้องไห้พอไปงานศพของใครหรือของญาติหรือของพ่อแม่หรือของคนในครอบครัวเรา มันก็แล้วแต่ แล้วแต่บางคนครับไม่เหมือนกันนะครับ ซึ่งบางคนก็ร้องไห้ก็มี อาจจะเป็นตอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเต็มล้นภายนอกให้เราเสียใจไปกับเขา
หรือเราสูญเสียใครบางคนถึงแม้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ก็ตาม ชั่วคราวก็ตาม เขาไปแล้วก็ตาม ก็ยังคิดถึงเขา อยู่ด้วยกันหลายปีมีความผูกพันที่ดี อาจจะร้องไห้ก็ปกติครับไม่เป็นไรหรือไม่ร้องไห้ก็ไม่เป็นไรครับ
...
ถาม.
อันนี้เรียกว่าปลงปล่อยวางได้ไหมครับ หรือว่าเราคิดไปเอง แบบปลงปล่อยวางว่าสักวันหนึ่งตัวเราก็ต้องตาย ก็เลยทำใจ แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือสัตว์เลี้ยงเราหรือว่าคนรู้จักเสียชีวิตไป เราก็เฉยๆ แต่ว่าไม่ใช่ว่าเราไม่รักเขานะเรารักแต่ว่าเราทำใจได้แล้วเหมือนพระเจ้าช่วยเราอันนี้ถูกไหมครับ
ตอบ.
ใช่ครับ มันคืออาการหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปลงปล่อยวางได้ครับ
ถาม.
ขอสอบถามเพิ่มเติมจากเมื่อกี้เรื่องของพระพิโรธ ตอนที่พระเยซูกระทำกิจที่พระวิหารก็คือการคว่ำโต๊ะการขายต่างๆ อันนั้นก็คือเล็งถึงว่า จริงๆ พระเยซูไม่ได้โกรธ ไม่ได้หมายความว่าโกรธแบบโกรธเหมือนพวกเราที่แบบนิสัยโกรธ ไม่ใช่แบบนั้นใช่ไหมคะ แต่ว่าพระเยซูแค่ไม่พอพระทัย แล้วก็ไม่ได้อยากให้ผู้คนกระทำแบบนั้นในพระวิหารของพระเจ้า แบบนี้ใช่ไหมคะ
ตอบ.
มีผู้ชายสองคนที่รักลูกมาก แล้วสอนลูกไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันก็คือ
คนหนึ่งแสดงอาการโกรธ แล้วก็ตีลูกตีแบบโมโหโกรธร้องเสียงดัง
แต่ผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ลูกทำผิด แล้วก็เรียกลูกมา แล้วก็เอาแส้ตีแล้วก็ทำหน้าตาเฉยไม่โกรธ แต่ตีเพื่ออะไร? เพื่อสั่งสอนเพื่อให้ลูกรับเป็นบทเรียนว่าไม่ควรทำผิดต่อไป ไม่งั้นจะโดนแส้ แล้วเขาไม่โกรธหลังจากนั้นเขาก็พาลูกไปซื้อไอติม ก็คือแสดงความรักต่อลูก
แต่ผู้ชายอีกคนก็คือโกรธเลย ทั้งวันเลยไม่พูดไม่คุยกับลูก แล้วก็มองหน้าลูกแบบหน้าตาน่ากลัวมาก
เราเห็นพระเยซูในผู้ชายคนไหนครับ (คนที่มีความรัก) นั่นคือคำตอบนะครับ
ในวันที่พระเยซูชำระพระวิหารพระองค์ยกโต๊ะที่ชาวยิวใช้เพื่อขายของทั้งหลาย พระองค์ไม่ได้โกรธเลย ไม่ได้มีอาการโกรธเลย แต่พระองค์ต้องทำแบบนั้นเพื่อให้เขารู้ว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขากระทำไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า คือกดราคา โกงราคา ทำให้ชาวยิวเดือดร้อน หลายคนเดือดร้อน เพราะว่าต้องซื้อด้วยราคาที่สูง เพื่อนำไปเป็นเครื่องถวายบูชาไถ่บาป และเครื่องถวายบรรณาการ
สำหรับพระคัมภีร์ถ้าจะแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยภาษาลาวภาษาอื่นๆ เราต้องเข้าใจนะครับว่าคนแปลใช้คำว่า พระพิโรธ หรือคำว่า โกรธ ทำให้ผู้อ่านทำให้คริสเตียนมากมายทุกวันนี้หลงประเด็น และเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้าของเราโมโห พระเจ้าโกรธได้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ
ถ้าเราจะเรียนรู้พระคำของพระเจ้า เราจะอ่านพระคำของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์ เราจะพบว่าพระเจ้ามีนิสัยที่ดีมากๆ พระเจ้าน่ารักมากที่สุด พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ประเสริฐมากๆ มีจิตใจงดงามมากกว่าใครในจักรวาลนี้
เข้าใจคำนี้ไหมครับพระเจ้ามีจิตใจที่งดงามมากกว่าใครในจักรวาลนี้ ซึ่งเรียกว่าพระเอกของจักรวาลก็ได้ ไม่มีอะไรเปรียบปาน ไม่มีใครเทียบเท่าพระเจ้าของเรา พระเจ้าน่ารักมากที่สุด ยิ่งรู้จักพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งเห็นความน่ารักของพระเจ้ามากเท่านั้น ซึ่งอันนี้เราขอบพระคุณพระเยซู
ถามว่าทำไมพระเจ้าต้องทำลายโลก พระเจ้าต้องลงโทษพระเจ้าต้องพิพากษา พระเจ้าต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากมายให้เกิดขึ้นในโลกนี้และสำหรับต่อมนุษย์
คำตอบก็คือ พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม เราต้องเข้าใจตรงนี้ พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ซึ่งใครทำอะไรพระเจ้าก็ต้องตอบแทนด้วยสิ่งนั้นที่เขาทำ ถ้าหากมนุษย์ทำผิดทำบาปทำชั่ว พระเจ้าก็ตอบแทนการกระทำผิดทำบาปทำชั่วของเขาเท่านั้น
แต่อย่าลืมว่าถ้าเราไปอ่านพระคัมภีร์ดีๆ เราจะเห็นว่า ถ้าหากใครทำดีพระเจ้าก็จะตอบแทนมาก 10 เท่า 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า สรรเสริญพระเจ้า มนุษย์ทำบาปทำชั่วพระเจ้าก็ตอบแทนเขาเท่านั้น และดีไม่ดีก็ยังมียกโทษ ยังมีอภัย ยังลดโทษให้ด้วย ถ้าหากเรายอมสารภาพ เรายอมรับผิด อันนี้เป็นพระเมตตาของพระเจ้าและถ้าหากใครทำดีผลตอบแทนก็มีมากมายทวีคูณ ซึ่งเกินกว่าที่ผลที่เขาจะได้รับ
เห็นหรือยังครับความรักความดีของพระเจ้า
...
ถาม.
สรุปมนุษย์ก็ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมใช่ไหมคะ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ตอบ.
ในโลกนี้ไม่ว่าจะอยู่ในศาสนาไหนก็ตาม เขาจะนับถือใครก็ตาม ไม่นับถือพระเจ้าไม่รู้จักพระเจ้าก็ตาม มีกฎทองคำอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือคนที่ทำดีย่อมจะได้รับผลดีแน่นอน ทูตสวรรค์จะนำสิ่งดีมาให้เขา ไม่ว่าเขาจะเชื่ออะไร เป็นศาสนาไหน รู้จักพระเจ้าหรือไม่ เขาทำดีเขาก็จะได้รับผลตอบแทนความดีแน่นอน แล้วเขาทำชั่วผลของการกระทำชั่วของเขาก็จะได้รับแน่นอน
พระเจ้าไม่เคยทิ้งโลกนี้นะครับ ให้คนดีทำดีแล้วไม่ได้ดีเป็นไปไม่ได้ อย่าไปเชื่อนะครับคำพูดของคนที่บอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อันนี้เป็นคำพูดที่ไม่ถูก ผิดครับ
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คือกฎทองคำที่พระเจ้าตั้งไว้ให้โลกนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในศาสนาไหนก็ตาม จะต้องอยู่ภายใต้กฎทองคำของพระเจ้าที่ตั้งไว้สำหรับมนุษย์
แต่ว่าความดีของมนุษย์จะมาไม่ถึงความรอดแน่นอน
สำหรับคนดีในโลกนี้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า ทูตสวรรค์ดูแลอยู่ พระเจ้ามองเขาอยู่ พระเจ้าเห็นเขาอยู่ การกระทำของทุกคนไม่เคยพลาดสายตาของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม อย่าลืมคำนี้เป็นคำที่สำคัญมากที่คริสเตียนควรเข้าใจและเห็นภาพชัดเจน พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ไม่ว่าเราจะเกิดมาอยู่ในศาสนาไหนก็ตาม เชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม แต่ถ้าหากทำดี ทำคุณความดีกับมนุษย์ด้วยกัน ทำกับใครก็ตาม ก็ย่อมจะมีผลตอบแทนที่พระเจ้าจะให้เขา
อีกครั้งนะครับก็คือ จะนำเขาไปถึงความรอดไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งผลของการกระทำบาปของเขา เขาย่อมจะได้รับผลตอบแทนของการทำบาปนั้นๆ แล้วการที่เข้าในอาณาจักร หรือเข้าในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ก็คือต้องเชื่อพระเยซูทางเดียวที่จะนำความรอดมาถึงเขา ก็คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น
...
เราขอบพระคุณพระบิดาที่วันนี้พระองค์ให้ความรักของพระองค์ ด้วยการสำแดงพระคำพระเจ้าผ่านยอห์นบทที่ 14 เราขอบพระคุณพระองค์ที่รักเราและขอบพระคุณพระองค์ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาอยู่กับเราอยู่ในเรา เพื่อช่วยเราทุกสิ่ง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ด้านนอกจนถึงด้านใน
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นผู้กระทำกิจทุกอย่าง เราไม่เกี่ยวเราไม่มีส่วน และพระองค์เป็นผู้ได้รับเกียรติ เราได้รับบำเหน็จ
ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานพระบัญญัติใหม่ ก็คือให้เรารักพระองค์ และรักพี่น้อง รักกันและกัน ยกโทษ อภัย
และขอบพระคุณที่ให้เราดำเนินชีวิตที่มีคริสตจักร มีพระกาย เพื่อช่วยเหลือกันและกัน อธิษฐานเผื่อกันและกัน พี่น้องที่ลำบาก พี่น้องที่เป็นทุกข์ พี่น้องที่มีปัญหา พี่น้องที่ยังเด็ก พี่น้องที่เป็นผู้ใหญ่ก็ช่วยอธิษฐาน และช่วยชี้ทาง ล้างเท้าให้กันและกัน เราสรรเสริญพระเยซู