ใน มธ 19:23–26 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ยาก เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะรอดรูเข็ม ก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า”
เมื่อพวกสาวกของพระองค์ได้ยินก็ประหลาดใจมาก จึงทูลว่า “ ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” พระเยซูทอดพระเนตรดูสาวก และตรัสกับเขาว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงกระทำได้ทุกสิ่ง”
เมื่อพระเจ้าตรัสถึงการที่จะเข้าในราชอาณาจักรสวรรค์ และราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยากด้วยถ้าหากเราพึ่งพระเจ้า
สาวกทั้งหลายถามว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” แต่พระเยซูตรัสตอบว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งก็เป็นไปได้” นี่คือคำตอบของการดำเนินชีวิตที่เราสามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะกระทำได้
มนุษย์อาดัมนี้ เราไม่สามารถที่จะเข้าไปในอาณาจักรได้ เพราะว่าเราจะต้องมีความชอบธรรมที่เหนือกว่าพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ และชีวิตของเราจะต้องอยู่ภายใต้การรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู
เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตคริสเตียนเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะได้ เพื่อที่จะเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระเจ้าได้…
ในมัทธิว พระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้เรา แต่ในหนังสือยอห์น คริสเตียนมากมายไม่รู้ครับ คือพระเยซูคริสต์ประทานพระผู้หนึ่ง คือพระองค์เองที่เป็นพระวิญญานมาสถิตอยู่กับเรา เพื่อที่จะรักษาพระบัญญัติแทนเรา
เราจะเห็นว่า พระบัญญัติถูกก่อตั้งขึ้นมาแล้ว และประทานให้เราแล้ว แต่ผู้ที่จะรักษาพระบัญญัตินั้นไม่ใช่เรา คือเราพึ่งพระคุณ พึ่งพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญานที่อยู่ในเรา เพราะว่าเราทำไม่ได้
1. เราบังเกิดใหม่ เมื่อเรารับเชื่อพระเยซูคริสต์ วิญญานของเราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ (Fully Transform) หรือวิญญานของเราได้รับการ Regenerate ก็คือชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ให้มีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง (2 คร 5:17) และได้รับการชำระด้วยพระโลหิต เราจึงสะอาดบริสุทธิ์ เป็นคนชอบธรรม เพอร์เฟคต่อพระพักต์พระเจ้า พระเจ้ายอมรับเราว่าเพอร์เฟคแล้ว (2 คร 5:17 ถ้าหากผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ บุคคลผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงผ่านไป ดูเถิด มีแต่สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น”)
2. พระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว (1 คร 6:20)
3. มนุษย์คนเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว พระเจ้าประทานมนุษย์คนใหม่ให้แก่เรา ที่มีพระวิญญานสถิตอยู่ด้วย (โรม 6:3–6; กท 2:20)
4. พระเจ้าย้ายเราออกไปจากอาดัม เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ (1 คร 1:30)
5. พระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณก็เข้ามาสร้างบ้านอยู่ในวิญญาณของเรา สร้างบ้าน ครอบครอง จับจองเรียบร้อยแล้ว (โรม 8:9, 11; 1 คร 3:16; 2 ทธ 1:14)
6. พวกเราได้รับความรอดแน่นอน และจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลย เป็นการรอดนิรันดร์ ซึ่งอยู่ใน (อฟ 4:30 และ 2 ทธ 1:14)
- กท 2:20 กล่าวว่า “เราถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์ เราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่เราคนใหม่มีชีวิตอยู่ และพระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในชีวิตใหม่ ร่วมกับชีวิตใหม่ของเรา”
- คส 3:3 เราจึงตายแล้ว และชีวิตของเราซ่อนไว้กับพระคริสต์
- ฟป 1:20 เพื่อพระคริสต์จะขยายใหญ่ขึ้นในร่างกายเรา
- ฟป 1:21 “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสต์” ซึ่งแปลจากภาษากรีก สำหรับภาษาอังกฤษก็แปลถูก คือ “For to me to live is Christ” หมายความว่า ก็คือพระคริสต์เป็นผู้มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เราเป็นผู้มีชีวิตอยู่
การขับรถ ก็คือพระคริสต์เป็นคนขับ การกิน การนอน การเดิน การนั่ง การพูดจา การทำอะไรก็ตาม ก็คือพระคริสต์เป็นกระทำทุกสิ่ง นี่คือความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ ฟป 1:21 ถ้าหากพระคัมภีร์ฉบับไหนที่แปลว่า “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็อยู่เพื่อพระคริสต์” แบบนี้แปลผิดครับ ผิดแน่นอน คำว่า “อยู่เพื่อพระคริสต์” ไม่มี แต่ภาษากรีกและภาษาอังกฤษจะเเปลว่า “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสต์” ก็คือพระคริสต์เป็นผู้มีชีวิตอยู่
- กท 4:19 เพื่อพระคริสต์จะก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
- ยน 14:16 พระเยซูสัญญาว่ าจะประทานพระองค์ผู้หนึ่งมาอยู่กับเรา และจะอยู่กับเราตลอดไป (Forever) ก็คือพระวิญญานบริสุทธิ์จะไม่ออกไปจากเราเลย จะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา และอยู่ในเราอยู่กับเราตลอดไป ขอบคุณพระเจ้านะครับ
- วว 3:20 พระเยซูตรัสว่า “ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ประตู (เคาะประตู) ถ้าใครเปิดประตูให้เรา เราก็จะเข้าไปอยู่ในเขา (I will come into him.)” ซึ่งพี่น้องคริสเตียนใช้ วว 3:20 นี้ผิด
พี่น้องคริสเตียนเหล่านั้นเข้าใจผิดคิดว่า พระเยซูยืนเคาะที่ประตูใจของชาวโลก หรือคนที่ไม่เชื่อ แต่แท้ที่จริง ในพระคัมภีร์ตอนนี้พระเยซูตรัสกับคริสตจักร ซึ่งคริสตจักรนั้นๆ ไม่มีพระคริสต์ครอบครองจิตใจ แต่ครอบครองวิญญาณเท่านั้น สร้างบ้านอยู่ในวิญญาณ แต่ไม่มีโอกาสที่พระคริสต์จะสร้างบ้าน หรือขยายอาณาเขตของพระองค์จากวิญญาณเข้าสู่จิตใจ พระเยซูจึงยืนอยู่ที่วิญญาณของเรา และเคาะประตูใจ และถ้าหากว่าเราเปิดประตูใจให้พระองค์ พระองค์ก็จะเข้าไป ขยายอาณาเขตเข้าไป และเมื่อเรารับประทานอาหาร พระองค์ก็รับประทานอาหารกับเราด้วย หมายความว่า สองคนร่วมกัน คือว่าถ้าเรากินอะไร หรือทำอะไร พระองค์ก็กินด้วย และทำด้วย
- คส 1:27 ข้อลึกลับที่ลึกลับที่สุด ก็คือพระคริสต์อยู่ในเราเป็นความหวังแห่งสง่าราศี
- ฟป 2:13 พระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจอยู่ในท่าน ทั้งความปราถนาและการกระทำ
- กท 5:22–24 เป็นเรื่องของผลพระวิญญาณซึ่งเกิดขึ้น เป็นเรื่องของการสำแดงพระคริสต์ที่อยู่ในเรา
เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตที่มีพระคริสต์ทำแทนเรา เป็นกระบวนการที่พระเจ้าทำงานอยู่ในเรา แต่ก่อนอื่น เราจำเป็นที่จะต้องถูกเปิดตาจากพระเจ้าก่อน พระวิญญาณต้องเปิดตาเราก่อน
เรายอมแพ้ ยอมจำนนทุกสิ่งต่อพระเจ้า และขอพระเจ้าให้เปิดใจเรา ทำงานในจิตใจของเรา ทำให้เราเป็นคนยากจนในวิญญาณ เพื่อรับอาณาจักรสวรรค์ และอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามา
เพราะฉะนั้น ถ้าหากเรารับมานาที่ซ่อนไว้มากขึ้นๆ และพี่น้องติดตามคลิปต่อไป ก็จะมีมานาที่ซ่อนไว้เพิ่มมาอีกครับ
และเราอ่านพระวจนะคำของพระเจ้าที่ถูกต้องแล้ว เมื่อเรารับความจริงเข้ามามากขึ้น และพระคำของพระเจ้าที่เป็นความจริงก็เป็นชีวิต และเป็นฤทธิ์เดชที่จะเปลี่ยนเรา ชำระเราให้มาถึงพระลักษณะของพระบุตรของพระเจ้า
ชีวิตของเราจะมีรสเค็มออกมาเต็มที่ ก็คือความเค็ม 4 ประการ หรือคุณสมบัติของพระเจ้า และการสำแดงความดีที่เป็นความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งเป็นแสงสว่างของพระเจ้าที่ส่องสว่างออกมา เราเป็นตะเกียง ให้พระเจ้าสำแดงพระองค์ออกมาผ่านเรา เราไม่ต้องทำอะไร
เราบอกว่า “พระเจ้ารักเถอะ ข้าพระองค์รักไม่ได้ รักอากะเปไม่ได้” คือรักเพื่อนบ้านรักอย่างไร รักศัตรู รักเพื่อนบ้านที่เราเกลียด รักอย่างไร รักนายที่ไม่ยอมขึ้นเงินเดือนให้เรา รักอย่างไร และเพื่อนบ้านที่คอยแกล้งเราอยู่เสมอ รักอย่างไร คือมันรักไม่ได้
ความรักเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของคริสเตียน พี่น้องคงทราบดี เราพยายามรักกันแล้ว เราพยายามรักศัตรูแล้ว แต่เรารักไม่ได้ใช่ไหมครับ
ถ้าหากเรายอมแพ้ ยอมจำนนโดยสิ้นเชิงโดยเด็ดขาด พระเจ้าก็จะทำงาน เราก็จะกระทำทุกสิ่งได้
พระเยซูตรัสว่า “สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”
ชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน เมื่อเราเข้าใจพระคัมภีร์ เราแปลความหมายของพระคำพระเจ้าถูกต้องแล้ว เมื่อเราอ่านทุกครั้ง เรารับพระองค์ พระคำของพระเจ้านี้ในสภาพของอาหาร
ทุกครั้งที่พี่น้องอ่าน ขอบพระคุณพระเจ้า อ่านไปขอบพระคุณไปด้วย อ่านไปด้วยกินไปด้วย เชื่อว่ากำลังรับอาหารอยู่ ถ้าหากเราเชื่อเราก็จะได้รับ ไม่ใช่อ่านเพื่อเรียนเพื่อรู้เท่านั้น แต่เราอ่านเพื่อกินเพื่อให้เราโต
เราอาจจะอ่านเป็นประโยค และก็ขอบพระคุณพระเจ้า “เอเมน” เชื่อว่ากำลังกินเข้าไป อ่านไปข้อหนึ่งเราก็บอกว่า “เอเมน ขอบคุณพระเยซู สำหรับพระคำของพระเจ้าที่เป็นอาหารของข้าพระองค์ ขอบคุณพระเยซูสำหรับอาหารนี้ที่เป็นความจริง เป็นชีวิต เป็นฤทธิ์เดชที่จะปลดปล่อยข้าพระองค์ให้มีอิสระและเป็นไท ขอบพระคุณที่ชำระข้าพระองค์ด้วยพระคำพระเจ้านี้ ให้จิตใจที่สะอาด และขอบพระคุณที่จะนำการชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอีกในไม่ช้านี้” (ยน 6:35, 41, 51)
พระเยซูเป็นอาหารจากสวรรค์ เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ เป็นอาหารที่เราสามารถจะรับพระองค์เข้าในสภาพของอาหาร คือการกิน การอ่าน และการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในแต่ละวัน พูดคุยกับพระองค์ สนทนากับพระองค์ และเชื่อว่า เรากำลังรับอาหารเข้ามา รับแม่น้ำแห่งชีวิต รับสันติสุข รับทุกสิ่งครับ รับน้ำมัน รับพระวิญญาณ
เมื่อเราเชื่อในลักษณะนี้ การอธิษฐานของเราจะไม่ใช่แต่เพียงการอธิษฐานเปล่าๆ แต่เรารับชีวิต รับน้ำมัน รับน้ำแห่งชีวิต รับสันติสุข รับทุกสิ่งเข้ามาหล่อเลี้ยง เพื่อชีวิตของเราจะชุ่มชื่น ชื่นชมยินดี อยู่ในสันติสุข มีพลัง มีฤทธิ์อำนาจ มีกำลังมหาศาลในการที่จะดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อให้พระเจ้าใช้ชีวิตของเรา เราจะกระตือรือร้น ร้อนรน และเราอยู่ใต้กฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต เพื่อที่จะสามารถเอาชนะความบาปได้ในแต่ละวัน
และถ้าหากเรารับพระเจ้าที่เป็นอาหารเข้ามาทุกวัน ชีวิตของเราจะถูกก่อร่างสร้างตัวขึ้น และการเติบโตของเราจะไม่มีวันหยุด เราจะเติบโตขึ้นไปสู่พระลักษณะของพระเยซูคริสต์ในที่สุด ซึ่งการทำบาปของเราก็จะน้อยลงๆ และนานๆ จะกลับมาทำบาปครั้งหนึ่ง อันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่เมื่อเราเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงแล้ว ชีวิตของเราก็จะเติบโต มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และจิตใจของเราก็จะได้รับการชำระ ได้รับการครอบครอง ยึดครองโดยพระวิญญาณ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะขยายอาณาเขตของพระองค์เข้าสู่จิตใจ 4 ส่วน คือความโกรธ ความหยิ่งพยองพองตัว ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของร่างกาย ในที่สุด สิ่งเหล่านี้ก็จะอ่อนแอ และตัวบาปก็จะทำอะไรไม่ได้
การเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่การที่พยายามทำให้เราเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรม เป็นคนบริสุทธิ์ แต่การเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง ก็คือการได้ค้นพบตัวท่านว่า (การค้นพบตัวจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ) เป็นผู้ชนะแล้ว เป็นคนใหม่แล้ว บริสุทธิ์แล้ว ชอบธรรมแล้ว เพอร์เฟคไร้มลทินแล้ว (2 คร 5:17)
การที่เราจะเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่ว่าเราพยายามทำตัวให้ดีขึ้น พยายามรักษาพระบัญญัติ พยายามเชื่อฟังพระเจ้าให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม แต่การที่จะเป็นคนชอบธรรมนั้น คือการได้ค้นพบความจริงว่า เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว (โรม 5:19–21)
การที่เราจะตายต่อตัวเก่า ไม่ใช่ว่าเราต้องพยายามบังคับชีวิตของเรา ไม่ให้ความโกรธ หรือกิเลสตัณหาโลภโกรธหลงทั้งหลายมันระเบิดออกมา หรือพยายามที่จะไม่ทำบาป แต่การตายต่อตัวเก่า คือการได้ค้นพบความจริงในพระคริสต์ว่า เราตายแล้ว (โรม 6:3–6; กท 2:20; 2 คร 5:24)
การที่เราจะได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า และสามารถดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะพยายามทำตัวของเราให้เป็นคนดี เป็นคนใหม่ เป็นคนที่เหมือนพระคริสต์
ใครก็พูดกันใช่ไหมครับว่า “อยากเป็นเหมือนพระเยซู” แต่แท้ที่จริงแล้วนะครับ ชีวิตใหม่นี้ ชีวิตที่เป็นพระเยซูนี้ พระเจ้าทรงประทานให้เราแล้ว (โรม 6:4)
การที่เราจะตายต่อตัวบาปนั้น ไม่ใช่ว่าเราพยายามบังคับตนไม่ให้ทำบาป หรือพยายามตายต่อตัวเก่าของเราให้ได้ แต่การตายต่อตัวบาปที่แท้จริง คือการค้นพบความจริงว่า เราตายแล้วต่อตัวบาป (โรม 6:7)
การที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่เหนือพระบัญญัติได้ ไม่ใช่ว่าเราต้องพยายามเชื่อฟังพระเจ้า ฝึกฝนชีวิต หาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อที่จะสามารถรักษาพระบัญญัติในแต่ละวันได้ แต่การที่จะมีชีวิตที่อยู่เหนือพระบัญญัติ ก็คือเราตายจากพระบัญญัติ และอยู่ใต้พระคุณ ให้พระเยซูคริสต์เป็นผู้ทำแทนเรา (โรม 7:4; 6:14)
การที่เราจะมีอำนาจ มีพลัง มีกำลังที่จะสามารถดำเนินชีวิตเอาชนะกฎแห่งความบาปในแต่ละวันได้ ไม่ใช่ว่าเราต้องพยายามฝืนใจ อดทน ทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้ชนะกฎแห่งความบาปที่อยู่ในเรานี้ แต่การที่จะเอาชนะกฎแห่งความบาปที่แท้จริงนี้ ก็คือการได้ค้นพบว่า อยู่ในตัวเรามีกฎแห่งพระวิญญาณที่พระคริสต์นำเข้ามา เพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาปในแต่ละวันได้
การที่จะเอาชนะกฎแห่งความตาย คือความเมื่อยล้า ง่วงเหงาซึมเซาเวลาเราอ่านพระคัมภีร์ หรืออธิษฐาน ไม่ใช่ว่าเราจะต้องพยายาม ทำอะไรก็ได้เพื่อให้เกิดความขยัน และมีจิตใจที่เข้มแข็ง ร้อนรนที่จะรักในการอ่าน ที่จะไม่ต้องง่วงเหงาซึมเซา และเหนื่อยเมื่อยล้า
แต่วิธีการของพระเจ้า ก็คือให้เราได้ค้นพบความจริงว่า เรามีพระคริสต์ที่อยู่ในเราแล้ว พระคริสต์ได้นำกฎแห่งพระวิญญาณเข้ามาเพื่อที่จะเอาชนะ เพื่อที่จะปลดปล่อยเราจากกฎแห่งความบาปและความตายนั้น เราจึงสามารถอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มก็ได้ กี่หน้าก็ได้ เราไม่เหนื่อย ไม่ง่วงนอน ไม่ง่วงเหงาซึมเซา
การที่เราจะยอมห้นแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบ การที่เราจะเดินไปอีกกิโลหนึ่ง และการที่เราจะถอดเสื้อคลุมให้เขาถ้าเขาขอเสื้อใน ไม่ใช่ว่าเราต้องพยายาม ขอกำลังเสริมจากพระเจ้า ให้พระเจ้าช่วยเราให้ทำได้ ไม่ครับ แต่คือการที่เราได้ค้นพบว่า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา พระองค์เป็นความหวังแห่งสง่าราศี พระองค์สามารถกระทำทุกสิ่งได้ผ่านเรา คือการต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ
พระองค์สามารถนำเราให้เดินไปอีกกิโลหนึ่งได้ เป็นสองกิโล ซึ่งกิโลที่สองพระคริสต์เป็นผู้กระทำ และการถอดเสื้อคลุมนี้ พระคริสต์เป็นผู้กระทำให้เรา
เราขอบพระคุณพระเจ้า การดำเนินชีวิตที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า การดำเนินชีวิตที่อยู่ใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู และการดำเนินชีวิตที่ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบได้ ก็คือการได้ค้นพบว่า เรามีพระคริสต์อยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งสง่าราศี
พระคริสต์ที่เข้ามาอยู่ในเราเป็นน้ำแห่งชีวิตเพื่อสันติสุข เป็นอาหารแห่งชีวิตที่เรากินและอิ่ม และชีวิตของพระองค์นี้จะนำเราในแต่ละย่างก้าวของแต่ละวัน ให้เรามีความกระตือรือร้น ร้อนรน มีพลัง มีความหวัง และมีทุกสิ่งที่เราต้องการนี้ พระองค์คือคำตอบ
พระคริสต์องค์นี้มีกฎแห่งพระวิญญาณ ที่จะสามารถปลดปล่อยเราจากกฎแห่งความบาป และพระคริสต์เป็นคำตอบ คือพระองค์มีกฎแห่งชีวิต เพื่อเอาชนะและปลดปล่อยเราจากกฎแห่งความตาย
พระคริสต์เป็นเสื้อที่ดีที่ปกปิดชีวิตของเรา เพื่อว่าทุกครั้งที่พระเจ้ามองมาที่เรา พระองค์จะเห็นเราเป็นคนชอบธรรม แต่แท้ที่จริง ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์ที่ปกปิดเราอยู่ เราจึงเป็นคนชอบธรรมทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาทีต่อพระพักต์พระบิดา
การที่เราจะแสวงหา ขอความรักจากพระเจ้าเมื่อเราขาดรัก ไม่ถูกครับ เราขอเรี่ยวแรงจากพระเจ้า เมื่อเราไม่มีกำลัง ไม่ถูกครับ ขอพระเจ้าเสริมกำลังให้ทำดี ไม่ถูกครับ ขอพระเจ้าประทานสันติสุขให้เรา เมื่อเราขาดสันติสุข ไม่ถูกครับ ขอพระเจ้าประทานจิตใจเมตตาให้เรา เมื่อเราขาดความเมตตา ไม่ถูกครับ ขอพระเจ้าให้เรายกโทษคนอื่นได้ เพราะเราเกลียดชังคนนั้นเหลือเกิน ไม่ถูกครับ พระเจ้าจะให้สิ่งเดียว คือพระบุตรของพระองค์
พระเจ้าจะไม่โยนความรักมาให้ เมื่อเราขาดรัก พระเจ้าจะไม่โยนความเมตตามาให้ เมื่อเราต้องการการยกโทษให้ผู้อื่น พระเจ้าจะไม่โยนสันติสุขมาให้เรา เมื่อเราขาดสันติสุข แต่พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ครับ
พระองค์ไม่เพียงแต่มาตายเพื่อไถ่บาปของเราเมื่อสองพันปีก่อน แต่พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ และเข้ามาอยู่ในเราเป็นชีวิตของเรา
พระองค์คือคำตอบสำหรับทุกปัญหา พระองค์เป็นชีวิต พระองค์เป็นสันติสุข พระองค์เป็นน้ำมัน พระองค์เป็นรักอากะเป พระองค์เป็นความอดทนนาน พระองค์เป็นความเมตตา สงสาร ยกโทษ อภัย 490 ครั้ง คือ 70 x 7 ครับ
พระองค์เป็นกำลัง เป็นฤทธิ์เดช พระองค์เป็นความกระตือรือร้น พระองค์เป็นกฎแห่งพระวิญญาณ พระองค์เป็นกฎแห่งชีวิต พระองค์เป็นความชอบธรรม พระองค์เป็นความบริสุทธิ์ พระองค์เป็นรสเค็ม พระองค์เป็นความสว่าง พระองค์เป็นทุกสิ่ง
และนี่ครับ เป็นความหมายที่พระเยซูตรัสว่า “สำหรับมนุษย์นั้นคงจะเป็นไปยาก หรือเป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งก็เป็นไปได้” (มธ 19:26)