1. คือข่าวดีที่มาถึงชนทุกชาติทั่วโลก โดยทางพระบุตร
2. ข่าวประเสริฐ ที่ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์เดิม คือข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน ซึ่งก็คือพระเจ้านำเรามาถึงพระองค์และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
3. พระเยซู คือมนุษย์คนหนึ่ง และพระบุตร คือพระเจ้าผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ชื่อเยซู
4. พระเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดผ่านเนื้อหนัง การตายและเป็นขึ้นมาจากตาย จึงกลายเป็นพระบุตรที่ทรงเป็นบุตรหัวปีเป็นมนุษย์วิญญาณเพื่อประทานชีวิต (ตัวตน) ของพระองค์แก่เรา และเข้ามาอยู่ในเรา
เปาโลกระตือรือร้นที่จะประกาศในกรุงโรม
1:1 เปาโล ทาสของพระคริสต์ เยซู ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเรียกให้เป็นอัครสาวก และได้ถูกแยกตั้งไว้สำหรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า
** "เปาโล" ภาษากรีกแปลว่า "ผู้เล็กน้อย" พระเยซูให้ชื่อนี้แก่เซาโล
** "ผู้รับใช้" หรือ "ทาส" (ดู-โลส G1401) ในสมัยพระคัมภีร์เดิมบางครั้งเรียกว่าผู้รับใช้หรือทาสของพระเจ้า เป็นหน้าที่อันมีเกียรติที่พระเจ้าทรงเรียกเพื่อใช้พวกเขา
- เปาโลเป็นทั้งผู้รับใช้และทาสของพระคริสต์ ซึ่งท่านไม่เคยคิดว่าตัวท่านเองมีอิสระในการใช้ชีวิตของตนเพื่อสนองตัณหาของเนื้อหนัง ท่านไม่ได้มาในนามของครู หรืออาจารย์ของศาสนายิวที่มีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าเปาโลจะหนุนใจเราผู้เชื่อให้ถวายตัวเป็นผู้รับใช้แบบทาส แต่ทุกวันนี้ผู้รับใช้ในลักษณะเปาโลเป็นและสอนให้เป็นมี แต่น้อยมาก
** "คริสต์" ภาษากรีกแปลว่าผู้ที่ถูกเจิมหรือถูกเลือกสรรไว้สำหรับพระเจ้าเพื่อการงานของพระองค์ ซึ่งมาจากคำว่า "พระเมซิอาห์" ในภาษาฮีบรู
** "เยซู" เป็นชื่อที่ชาวยิวนิยมใช้ในสมัยนั้น "เยซู" แปลได้หลายคำอย่างเช่น "พระเยโฮวาห์" หรือ "พระเจ้าผู้ช่วยให้รอด"
** สำหรับพระเจ้า ตำแหน่งหน้าที่ของเราควรจะเป็นไปตามการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจเราเองหรือการแต่งตั้งของผู้นำ ทุกวันนี้คริสตจักรมากมายล้มเหลวในการรับใช้ตามของประทาน ผู้ที่มีของประทานกลับไม่ได้ใช้ไม่รู้จักใช้ ส่วนผู้ไม่มีของประทานกลับได้รับใช้ในตำแหน่งที่ตนต้องการ เปาโลถูกเรียกและแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวก และทำหน้าที่ของท่าน
** "อัครสาวก" คือผู้ที่ได้อยู่กินไปมากับพระเยซู ซึ่งไม่เหมือนกับสาวกที่ติดตามพระเยซูแบบห่างๆ ตลอดพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้มีแค่สิบสองคนเท่านั้น แต่มี 25 คนด้วยกัน อัครสาวกเป็นของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในยุคนี้มีอัครสาวกมากมาย คือบางคนที่กินอยู่ไปมาทำทุกสิ่งในพระวิญญาณในฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา และมีของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า
** ข่าวประเสริฐของพระเจ้า (ดูคำอธิบายในข้อที่ 2)
1:2 คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้าโดยพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์
** "ข่าวประเสริฐ" (จากพระสัญญาเดิม) ที่เปาโลพูดถึงในหนังสือโรมเป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนคือนำมนุษย์มาเชื่อพระเจ้าและนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ "โดยทางพระเยซูคริสต์ หรือ ทางพระบุตร" เพื่อกลับมาเป็นของพระองค์และมีชีวิตเหมือนอย่างพระองค์ตามพระลักษณะของพระคริสต์เพื่อถวายผลของชีวิตนี้แด่พระเจ้า ข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีดังกล่าวเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่ชนชาติอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิม เปาโลไม่เพียงแต่ประกาศด้วยคำพูดการเขียน แต่ท่านประกาศด้วยชีวิตที่สำแดงพระบุตรของท่าน (กท 1:16)
** "พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์" ในที่นี้ คือพระคัมภีร์ของพวกยิว หรือพระคัมภีร์เดิมของคริสเตียน (The Old Testament) นั่นเอง
1:3 เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้บังเกิดในเชื้อสายของดาวิดฝ่ายเนื้อหนัง
1:4 แต่ฝ่ายพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นบ่งไว้ด้วยฤทธานุภาพ คือโดยการเป็นขึ้นมาจากความตายว่า เป็นพระบุตรของพระเจ้า
** "เกี่ยวกับพระบุตร" "พระบุตร" คือบุคคลที่สำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของพระคัมภีร์ พระบุตร (พระเยซูคริสต์) คือผู้ที่ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติและสง่าราศีจากพระบิดาแล้ว พระบุตรเป็นผู้กระทำให้แผนการงานบริหารของพระเจ้าสำเร็จ ขณะที่ในอาดัมทุกอย่างถูกทำให้ล้มเหลว แต่ในพระคริสต์ (ในพระบุตร) ทุกอย่างได้รับการช่วยกู้ ให้ทุกสิ่งได้รับการก่อสร้างขึ้นใหม่
** พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (จอมเจ้านาย the Lord)
** ก่อนสรรพสิ่งถูกสร้างไม่มีคำว่าพระบิดา พระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสามพระภาคไม่มีนามชื่อ ไม่มีใครเป็นบิดาหรือเป็นบุตรของใคร ทรงเป็นอยู่เท่าเทียมกัน
** พระเจ้าพระบุตร หรือพระบุตรของพระเจ้า พระคัมภีร์ใช้คำนี้เพื่อสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระเจ้าหนึ่งในสามพระภาคจะรับหน้าที่เป็นพระผู้ไถ่ พระบุตรไม่ใช่บุตรของพระบิดา พระบุตรก็ไม่ใช่บุตรของพระเจ้า เมื่อพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ คำว่า "พระบุตร" จึงสำเร็จแล้ว
** "เป็นพระบุตรของพระเจ้า" พระเจ้ามาบังเกิดเป็นพระเยซูผ่านเชื้อสายมนุษย์ ผ่านดาวิด ผ่านการตายและเป็นขึ้นมาจากตาย พระองค์กลายเป็นบุตรหัวปี เป็นผลแรก เป็นมนุษย์วิญญาณหรือมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ พระองค์มาตามสัญญาที่ประทานกับชาติยิวจึงต้องผ่านดาวิด
1:5 โดยทางพระองค์นั้นพวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครสาวก ให้ชนชาติต่างๆเชื่อฟังต่อความเชื่อเพื่อพระนามของพระองค์
** "พระคุณ" คือการกระทำของพระเจ้าทั้งหมดเพื่อไถ่เราผู้ไม่มีค่าและความสามารถที่จะช่วยตนเองให้รอด พระคุณคือพระคริสต์
** "เชื่อฟังต่อความเชื่อ" คือการต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดโดยการเชื่อวางใจในการตายเพื่อไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าไม่เพียงแต่เสด็จมาเพื่อไถ่ชนชาติยิวเท่านั้น แต่มาเพื่อคนต่างชาติด้วย
1:6 รวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นของพระเยซูคริสต์ด้วย
** เราผู้เชื่อทั้งหลาย ได้กลายเป็นบุตรและประชากรของพระเจ้าไม่ใช่เพราะการกระทำดีหรือรักษาพระบัญญัติ แต่โดยการทรงเรียกของพระเจ้าก่อนที่จะสร้างโลก (อ่านเพิ่มเติมหัวข้อ การทรงเลือก (The selection) (โรม 9:1 - 11:36))
** "เป็นของ" ก่อนเชื่อเราเป็นของซาตาน หลังเชื่อเราเป็นของพระคริสต์
1:7 เรียน บรรดาท่านที่อยู่ในกรุงโรม ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรักและทรงเรียกให้เป็นวิสุทธิชน ขอพระคุณและสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์เจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด
** "วิสุทธิชน" ภาษาอังกฤษ คือ "Saint" แปลว่า ผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม ไม่มีที่ตำหนิเลย ซึ่งได้รับจากเสื้อตัวที่หนึ่ง (สำหรับพระเจ้า)
** "ขอพระคุณและสันติสุข…จงดำรงอยู่กับพวกท่าน" ความหมายก็คือขอให้การทำงานของพระเจ้าและสันติสุขของพระเจ้ากระทำกิจในพวกเขา เพราะเขาไม่รู้ว่าเขามีพระคุณและสันติสุขแล้ว
** "พระคุณ (Grace)" คือความรักความดีความเมตตาของพระเจ้าที่ประทานให้แก่มนุษย์โดยไม่คิดค่าอะไรเลย
** "พระคุณ" ทุกวันนี้ คือพระคริสต์นั่นเองที่ทำงานเพื่อช่วยให้เราได้รับความรอดอย่างครบบริบูรณ์
1:8 ประการแรก ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เหตุด้วยท่านทั้งหลาย เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลก
** ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในกรุงโรมเป็นคริสเตียนศาสนา ไม่รู้ว่าเขาตาย ถูกฝังและเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว เขาไม่รู้ว่าการเดินด้วยวิญญาณคืออะไร แต่เขาก็ยืนหยัดในความเชื่อเหมือนคริสเตียนศาสนาในสมัยนี้
** คำว่า "ทั่วโลก" คือกรุงโรมเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมัน ถนนทุกสายจะมาจบที่โรม เป็นเพราะเหตุนี้จึงมีผู้คนจากทั่วทิศเดินทางผ่านไปมาและรู้จักเรื่องราวของชาวโรมัน คริสเตียนจากที่อื่นจึงรู้เรื่องราวของผู้เชื่อในกรุงโรมเช่นกัน
1:9 เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ในวิญญาณของข้าพเจ้าในข่าวประเสริฐแห่งพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าเอ่ยถึงท่านทั้งหลายเสมอไม่ว่างเว้น
** คริสเตียนไม่เพียงแต่ดำเนินชีวิต เดินในวิญญาณทุกก้าวเท่านั้น แต่ยังรับใช้ในวิญญาณด้วยเช่นกัน
1:10 ข้าพเจ้าทูลขอว่า ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าแล้วให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมท่านทั้งหลาย โดยอย่างหนึ่งอย่างใดในที่สุดนี้
** เปาโลยังไม่เคยเดินทางไปเยี่ยมพี่น้องผู้เชื่อที่โรม และขณะที่ท่านเขียนจดหมายฉบับนี้ท่านอยู่ในเมืองโครินธ์ ไม่นานต่อมาเปาโลถูกจับที่กรุงเยรูซาเล็มและส่งไปยังกรุงโรม และท่านถูกปล่อยให้เป็นอิสระและประกาศเรื่องอาณาจักรและเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่นั่น (กจ 28:16-31)
1:11 เพราะข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายวิญญาณมาให้แก่ท่านบ้าง เพื่อเสริมกำลังท่านทั้งหลาย
** "เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายวิญญาณมาให้แก่ท่าน" คือการใช้ของประทานแห่งสติปัญญาและแห่งความรอบรู้ฝ่ายวิญญาณเพื่อเปิดตาใจผู้เชื่อในกรุงโรมให้ได้เข้าใจเรื่อง ข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน การพิพากษา การชำระสองแบบ การร่วมตายและเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ การทรงเลือก ชีวิตสุกงอมสู่สง่าราศี (อีกหลายเรื่องในหนังสือโรม) เนื่องจากว่าพวกเขายังไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้
1:12 คือเพื่อข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจะได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย
** เมื่อได้รับการเปิดตาสู่อาหารแข็ง ทุกคนก็หนุนใจกันและกันได้ เปาโลก็จะได้รับการเสริมสร้างจากพวกเขาด้วยเช่นกัน การเสริมสร้างกันและกันในลักษณะนี้มีแต่ในคริสตจักรที่พบมานาที่ซ่อนใว้ หรืออาหารแข็งเท่านั้น
** มานาที่ซ่อนไว้ ใน วิวรณ์ 2:17 คือพระคำที่ไม่มีเชื้อยีสต์ และข้อล้ำลึกทั้งหลายที่ซ่อนเอาไว้จากผู้เชื่อที่ไม่ถ่อมใจ มานานี้มีไว้ให้ผู้เชื่อที่จะเป็นรัฐบาลชุดเดียวของพระเยซูคริสต์เท่านั้น
1:13 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เช่นเดียวกับในหมู่ชนชาติอื่นๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่)
** "เก็บเกี่ยวผล" ในที่นี้ คือผลของความเชื่อ ผลของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ หรือผลที่ได้มาจากการดำเนินชีวิตเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และจบลงด้วยความเชื่อ (ข้อที่ 17)
1:14 ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและพวกบาบาเรียน (ทุกชาติที่ไม่ใช่กรีก) ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนเขลาด้วย
** ชาวกรีก ถือว่าเป็นพวกมีการศึกษามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ พวกเขาจะดูถูกชาติอื่นทั่วโลกและถือว่าต่ำกว่าพวกตน ทุกชาติในโลกนี้คือ พวกบาบาเรียน สำหรับชาวกรีกคือชาวต่างชาติที่ไม่ใช่กรีก คือพวกที่ไม่ฉลาดไม่มีสติปัญญาและความรอบรู้
1:15 ฉะนั้นข้าพเจ้าก็เต็มใจพร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย
1:16 ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกกรีกด้วย
** เปาโลไม่ละอายเนื่องจากว่าท่านมีของประทานในการประกาศ ไม่ใช่ไม่ละอายด้วยตัวเก่าที่เอาแต่พูดแบบไม่ดูกาลเทศะ
** ฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถปลดปล่อยผู้ฟังจากอำนาจของมารซาตานที่ผูกมัดปิดหูบังตาเขาไว้ เพื่อนำคนมาหาพระเจ้าเพื่อให้มาถึงความรอด
** ความชอบธรรมแสดงออก โดยการเชื่อเอาของผู้เชื่อ ไม่ใช่โดยการกระทำดีของตัวเก่าในอาดัม แต่โดยการกระทำดีของพระคริสต์ในเราที่ได้มาจากการเชื่อเอาของเรา พระเจ้านับการกระทำนี้ว่า ชอบธรรมและมีบำเหน็จให้เรา
** โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ และ ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’ คือหลักการการดำเนินชีวิตคริสเตียน เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดที่ผู้เชื่อมากมายไม่รู้ คือเราไม่ดำเนินชีวิต รับใช้ นมัสการ อธิษฐาน กระทำทุกสิ่งตามอารมณ์ความรู้สึกและสิ่งที่ตามองเห็น แต่เราเชื่อเอา เราเชื่อในพระคำพระเจ้าที่เป็นความจริงที่พระองค์กระทำแล้วในพระคริสต์ ซึ่งพระองค์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ชีวิตใหม่ของเรา ฐานะของเรา ตำแหน่งใหม่ของเรา พระพร สันติสุข ความหวังของเรา และความจริงของเรา อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาดัมหรือสิ่งที่ตามองเห็นอีกต่อไปแล้ว (2 คร 5:7) เริ่มต้นก็ด้วยความเชื่อก็คือเมื่อเราเชื่อ เราได้รับการยกโทษบาปเพราะเราเชื่อเอา เราได้บังเกิดใหม่ก็ด้วยความเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณก็ด้วยความเชื่อ เราได้อยู่ในพระคริสต์ นั่งในสวรรคสถานกับพระบิดา ได้รับสันติสุข และกลายเป็นคนชอบธรรมและสุดท้ายได้กลายเป็นผู้ชนะ ทุกสิ่งก็ด้วยความเชื่อทั้งนั้น ประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ก็จะเกิดขึ้นในชีวิตเรา
การพิพากษาของพระเจ้า (โรม 1:18-3:20)
โรม บทที่ 1 ข้อที่ 18 - 32 เปาโลกล่าวถึงความตกต่ำของมนุษย์ที่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล
คนที่ได้รับความสว่างแล้วได้หันกลับไปสู่ความมืด
1:18 เพราะว่า พระพิโรธของพระเจ้าทรงสำแดงจากสวรรค์ต่อความอธรรมและความไม่ชอบธรรมทั้งมวลของมนุษย์ ที่เอาความไม่ชอบธรรมนั้นขัดขวางความจริง
** เนื่องจากมนุษย์รักชอบในการอธรรม จึงไม่ต้องการยอมรับความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า มนุษย์จึงไม่แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
จักรวาลที่ถูกเนรมิตสร้างพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่
1:19 เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว
1:20 ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย
** มนุษย์สามารถค้นหาพระเจ้าผ่านธรรมชาติหรือสิ่งที่พระองค์สร้างได้ แต่มนุษย์ไม่ยอมทำ
1:21 เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป
** คือมนุษย์ในยุคบาปที่รู้เห็นว่ามีพระเจ้า แต่พวกเขาใช้ชีวิตที่ไม่เดินไปกับพระเจ้า
ความเข้าใจได้กลับกลายเป็นมืดไป ทางของพระเจ้าได้เสียไป
1:22 เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป
1:23 และเขาได้เอาสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะ มาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตายหรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน
** มนุษย์ในสมัยนั้นสร้างรูปปั้นของสัตว์มากมายหลายชนิดเพื่อกราบไหว้และเรียกว่าพระของพวกเขา
พระเจ้าทรงมอบมนุษย์ไว้กับบาป การนับถือรูปเคารพ รักร่วมเพศ และความเลวทราม
1:24 เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติอุลามกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขากระทำสิ่งซึ่งน่าอัปยศทางกายต่อกัน
1:25 เขาได้เปลี่ยนความจริงของพระเจ้าให้เป็นความเท็จ และได้นมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้สมจะได้รับความสรรเสริญเป็นนิตย์ เอเมน
1:26 เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีราคะตัณหาอันน่าอัปยศ แม้แต่พวกผู้หญิงของเขาก็เปลี่ยนจากการสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป
1:27 ฝ่ายผู้ชายก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา
** การรักร่วมเพศมีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยปฐมกาล
1:28 และเพราะเขาไม่เห็นชอบที่จะรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงปล่อยให้เขามีใจเลวทรามและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม
1:29 พวกเขาเต็มไปด้วยสรรพการอธรรม การล่วงประเวณี ความชั่วร้าย ความโลภ ความมุ่งร้าย เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา การฆาตกรรม การวิวาท การล่อลวง การคิดร้าย พูดนินทา
1:30 ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย จองหอง อวดตัว ริทำชั่วอย่างใหม่ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา
1:31 อปัญญา ไม่รักษาคำสัญญา ไม่มีความรักกัน ไม่ยอมคืนดีกัน ปราศจากความเมตตา
1:32 แม้เขาจะรู้การพิพากษาของพระเจ้าที่ว่าคนทั้งปวงที่ประพฤติเช่นนั้นสมควรจะตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย