ขอบพระคุณพระเยซูในความรัก ความเมตตา และขอบพระคุณที่พระองค์เป็นพระคุณ และเป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ก็คือเป็นผู้กระทำทุกสิ่งเพื่อไถ่เรา และช่วยเราให้หลุดพ้นจากการเป็นหนี้บาป การทำบาปการใช้ชีวิตอยู่ในความบาป ทุกสิ่งที่เป็นเนื้อหนังที่อยู่ในอาดัม พระองค์ทรงปลดปล่อยให้เราได้เป็นอิสระ และเข้าสู่พระเจ้า มีส่วนในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เต็มล้นด้วยสันติสุข และเต็มด้วยพระคุณ ก็คือการรับการเปิดเผย รับการเปิดตา รักษาตาให้หายบอด เพื่อเข้าสู่รูปแนวชีวิต ถ้าหากไม่มีการกระทำ ไม่มีพระคุณของพระเยซูเราก็จะไม่มาถึงจุดนี้ได้ สรรเสริญพระเยซูขอบพระคุณพระองค์
และขอบคุณพี่ชายที่พระองค์นำพวกเราที่เป็นน้องๆ นมัสการพระบิดาในวันนี้ ขอพระองค์ได้รับเกียรติ ขอสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน
จากประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนของผู้เชื่อส่วนมากเมื่อเราต้อนรับพระเยซู ก็จะคิดว่านี่คือศาสนาใหม่ของฉัน และพอได้อ่านหนังสือมัทธิวและไปโบสถ์ พี่น้องที่โบสถ์และผู้นำก็สอนว่าต้องเลิกทำบาป เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย เพื่อให้สมกับการมาเป็นคริสเตียน เพื่อได้รับพระพร และเพื่อให้ได้รอดจากนรกบึงไฟ
เราจึงเริ่มพยายามเปลี่ยนแปลงการกระทำทั้งหลาย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวใช่ไหม ผู้นำก็บอกว่าเรียนรู้ไปเรื่อยๆ มานมัสการพระเจ้าบ่อยๆ อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ อีกไม่นานพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงและเสริมกำลังเราให้เลิกทำบาปได้ พอหลายปีผ่านไปกลับเป็นว่าเรายิ่งทำบาปมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้น ก็คือเราซ่อนเร้นความบาปชั่วเอาไว้ และสร้างตัวละครหนึ่งขึ้นมาเพื่อหลอกเราเอง และหลอกพี่น้องที่โบสถ์ ว่าเราเป็นคริสเตียนที่ดี เข้มแข็งรักพระเจ้า โอ้...มีความสุขมาก ยิ้มต่อหน้าทุกคน พวกเราเคยเป็นใช่ไหม
นี่คือประสบการณ์ชีวิตของคริสเตียนส่วนมากที่เคยมีศาสนาเดิม และต่อมาก็ต้อนรับพระเยซู ก็จะเจอในลักษณะนี้ หลายคนพอมีประสบการณ์มากพอจึงเข้าใจเล็กน้อยเรื่องพระเจ้าไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องความรักความผูกพัน เราจะเห็นหลายคนสอนตอนนี้ในยูทูปในคริสตจักรของเขา พระเจ้าต้องการความผูกพันความสัมพันธ์ ไม่ใช่เรื่องการรักษาพระบัญญัติ ไม่ใช่เรื่องศาสนาคริสต์ อะไรทั้งหลาย แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าผูกพันคืออะไร แบบไหน บอกรักอย่างไร ต้องทำตัวอย่างไร การดำเนินชีวิตคริสเตียนในรูปแนวชีวิตมันคืออะไรกันแน่
เพราะฉะนั้นขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ตรัสผ่านเปาโลให้เขียนหนังสือจดหมายฝากมากมายหลายฉบับ และหนึ่งในนั้นก็คือกาลาเทีย ที่เรามาถึงในวันนี้หนังสือกาลาเทีย มีหลายสิ่งที่พระวิญญาณตรัสผ่านเปาโลให้เขียนขึ้นเพื่อเปิดตาเราเรื่องความแตกต่าง ระหว่างพระเยซูกับศาสนา พระเยซูไม่ใช่ศาสนา พระเยซูแตกต่างจากศาสนา พระเยซูไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับศาสนา
เมื่อพระวิญญาณเปิดเผย เราก็พบว่ารูปแนวชีวิต คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการมากที่สุด ไม่ใช่รูปแนวศาสนาที่ศาสนาคริสต์กระทำอยู่ในแต่ละวันกันทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องกับพระเจ้า เรื่องกับพี่น้อง กับคนในครอบครัว และคนที่ไม่เชื่อ การมองบวกไม่ค่อยจะมี การเน้นที่ความผูกพันความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะมี เรื่องความรักไม่ค่อยจะเห็น แต่สิ่งที่เราเห็นมากมายในศาสนาเดิมในคริสตจักรเดิมที่เราเคยอยู่ และพี่น้องที่มองเรา เห็นไหมครับว่าเมื่อไหร่ที่เราพบกัน เมื่อไหร่ที่เราคุยกัน เมื่อไหร่ที่เรามาร่วมกัน การมองถูกมองผิดจะมาก่อนความรักความผูกพันความเมตตา
เราจะเห็นนะว่าเมื่อเจอพี่น้อง เมื่อสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้อง เมื่อไปโบสถ์เขาจะมองมาที่ว่า.. คุณกำลังแต่งตัวผิดไหม คุณกำลังทำตัวผิดไหม คุณไปทำอะไรมาที่ผิดไหม ผิดถูกจะต้องมาก่อน
แต่ถ้าหากเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ของพระเยซู เป็นพระกายของพระเยซู เป็นน้องๆ ของพระเยซูมาร่วมกัน ก็คือน้องฉันมาแล้ว พี่ฉันมาแล้ว ป้าฉันมาแล้ว น้าฉันมาแล้ว พ่อแม่มาแล้ว ความรัก มองไปที่บวก มองบวก มองเอาความรักเป็นใหญ่ เอาความรักเป็นหลัก ความผูกพันความสัมพันธ์ นี่คือหัวใจของพระเจ้า นี่คือน้ำพระทัยของพระองค์ที่ต้องการให้ผู้เชื่อที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ชั่วคราวมีกัน ก็คืออยู่ในรูปแนวชีวิต
และขอบพระคุณพระเจ้าหนังสือกาลาเทียเป็นสิ่งที่เปิดเผย และให้คริสเตียนได้เข้าใจว่าพระเยซูไม่ใช่ศาสนา พระเยซูไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรกับประเพณี วัฒนธรรมต่างๆ มากมายที่อยู่ในโลกนี้ที่มนุษย์ทำกันอยู่ ตั้งแต่สมัยสาวกในหนังสือกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้เชื่อถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายที่เชื่อไม่เหมือนกัน และขัดแย้งถกเถียง เรื่องเชื่อเท่านั้นก็รอด และเชื่อเท่านั้นไม่พอยังต้องเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติถวายสิบลดรับบัพติศมาจึงจะรอด ต่างฝ่ายก็อ้างพระคัมภีร์หลายข้อเพื่อสนับสนุนความเชื่อของตน
แต่เนื่องจากความไม่เข้าใจ ไม่ได้ถูกเปิดตา แต่ใช้สติปัญญาของมนุษย์เพื่อแปลความหมาย ตีความพระคัมภีร์ จึงนำข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นมาเพื่อสนับสนุนความเชื่อของตน สมัยแรกเราจะเห็นว่าสาวกทั้งหลายของพระเยซูและเปโตรด้วย ก็ยังลังเลและไม่เข้าใจเรื่องหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าพระคุณแท้ที่จริงคืออะไร บวกกับการที่เคยอยู่ในศาสนายิวมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเข้าใจคำว่าพระคุณพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์
เมื่อเปาโลกลับใจ ท่านก็ประกาศข่าวประเสริฐ ทำให้ผู้เชื่อ มีผู้เชื่อมากมายทั่วแผ่นดิน และคริสเตียนในแคว้นกาลาเทียก็ต้อนรับพระเยซู เนื่องมาจากการเดินทางมาประกาศของเปาโล แต่ไม่นานต่อมาคริสเตียนชาวยิวที่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และข่าวประเสริฐเรื่องพระคุณของพระเจ้า คือเชื่อเท่านั้นก็รอด พวกเขาจึงเดินทางไปทั่วทุกแคว้นเพื่อสั่งสอนเพื่อประกาศ เขาตื่นเต้น เขาก็เหมือนพวกเราที่เคยเป็นศาสนาคริสต์มาก่อน พอต้อนรับพระเยซูเป็นคริสเตียนก็ดีใจก็ตื่นเต้นรีบไปบอกคนเรื่องพระเยซู และบอกเขานะว่า พอเชื่อพระเยซู ยังไม่พอนะ ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องทำนู่นนี่นั่น ต้องประกาศ ต้องรับใช้ ต้องรับบัพติศมา ต้องถวายสิบลด คือมีต้องตามมา ไม่ใช่เชื่อเท่านั้นก็จะรอด
และเมื่อเปาโลทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นเปาโลจึงเขียนจดหมายไปถึงแคว้นกาลาเทีย และหลายๆ แคว้น หลายๆ คริสตจักร เพื่อตำหนิ และเตือนไม่ให้พวกเขาเชื่อคำสอนของคริสเตียนชาวยิว และคำสอนของคริสเตียนชาวยิวนี้ที่เปาโลเรียกว่าข่าวประเสริฐอื่น เราเห็นนะมีหลายคนอ้างว่าข่าวประเสริฐอื่น ก็คือพวกเทียมเท็จ ก็คือพยานพะยะโฮวาห์บ้าง หรือมอม่อนบ้าง หรืออะไรบ้าง หลายคนที่พูดถึงพระเยซูในลักษณะที่ไม่ใช่ในพระคัมภีร์
แต่จริงๆ แล้วคำว่า ข่าวประเสริฐอื่น different gospel / other gospel ก็คือคำสอนของยิวที่สอนว่า เชื่อเท่านั้นไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเชื่อฟังจึงจะรอด ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นครึ่งต่อครึ่งในโลกนี้ ครึ่งต่อครึ่งในท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายที่เชื่อว่า เชื่อเท่านั้นไม่พอยังต้องรักษาพระบัญญัติ สรุปก็คือพวกเขาเข้าสู่ข่าวประเสริฐอื่น รับข่าวประเสริฐอื่นโดยไม่รู้ตัว น่าสงสารพี่น้องเหล่านั้น และพี่น้องอีกส่วนหนึ่งครึ่งหนึ่งที่เชื่อว่า เชื่อเท่านั้นก็รอด แต่เขาก็ยังอยู่ในรูปแนวศาสนาอยู่ดี ยังไม่มาถึงการเปิดเผย การเปิดตา การรักษาตาให้หายบอดเรื่องรูปแนวชีวิตคืออะไร
และขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าต้องการให้เราเข้าสู่รูปแนวชีวิต เป็นลักษณะครอบครัว เน้นความรักเป็นใหญ่ และเน้นที่การใช้ตาไปมองทุกคน มองเราเอง มองพระเจ้า มองทุกสิ่ง มองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มองคริสเตียนด้วยกัน มองคนบาปทั้งหลายที่ทำไม่ดีกับเรา มองบวก
อีกครั้งการใช้ชีวิตอยู่ในรูปแนวชีวิต ก็คือเน้นที่ความผูกพัน ความสัมพันธ์ การสนิทกับพระเจ้า บอกรักพระเจ้า และเน้นที่การมองบวกกับพี่น้อง เราจะไม่มองใครและปุ๊บขึ้นมาเป็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาในความคิดของเรา อ๋อ..คนนี้ผิด อ๋อ..คนนี้ถูก อ๋อ..คนนี้ไม่ดี อ๋อ..คนนี้ดี อ๋อ..คนนี้เคยทำอะไร ไปทำอะไรมา คนนี้มีประวัติอะไรมาบ้าง ก็ไปขุดคุ้ย สมองของเราก็จะไปค้นหา ก็จะไป search ในชีวิตของเขา เพราะฉะนั้นนี่คือรูปแนวศาสนา
แต่เราจะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ เรายังมองบวก เราจะคิดถึงความรัก ความผูกพัน ความเมตตาที่มีต่อเขา พระคุณซ่อนเร้นความผิดบาปของทุกคน พระบัญญัติมาเพื่อเปิดเผยความผิดบาปของทุกคน แต่ขอบพระคุณพระเจ้าทุกวันนี้เราอยู่ใต้พระคุณของพระเยซู เอเมน
ขอบพระคุณพระเจ้าที่หนังสือกาลาเทียเปิดเผย พระบัญญัติประหารชีวิต แต่พระคุณให้ชีวิต พระบัญญัติมาเพื่อลงโทษเรา แต่พระคุณมาเพื่อช่วยเหลือเรา ขอบพระคุณพระเยซู
พวกเรารักพระองค์มากที่พระองค์เป็นพระคุณ และคำว่า พระคุณ ก็คือตัวตนของพระเยซูนี่เองที่ลงมา และกระทำกระทำๆๆๆๆ คำว่า พระคุณ ก็คือการกระทำเพื่อช่วยใครบางคน ตั้งแต่แรกเริ่มแรกจนถึงสุดท้าย โดยที่คนๆ นั้นไม่มีปัญญาที่จะทำด้วยตนเองด้วยตัวของเขาเอง และต้องพึ่งพระคุณนี้ และขอบพระคุณพระเจ้าพระเยซูมาในลักษณะของพระคุณเพื่อไถ่เรา และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูเป็นทั้งพระคุณ และพระคุณซ้อนพระคุณ
พระคุณ ก็คือพระเยซูตายเพื่อไถ่บาปของเรา เพื่อจ่ายหนี้บาปของเรา
พระคุณซ้อนพระคุณ ก็คือพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเป็นวิญญาณที่เข้ามาอยู่ในเราเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา เพื่อขยายอาณาเขตเข้ามาสู่จิต และร่างกาย เพื่อต่อมาพระเยซูจะใช้ชีวิตดำเนินชีวิตแทนเรา
พระคุณพระเยซูตายแทนเรา พระคุณซ้อนพระคุณพระเยซูอยู่แทนเรา สรรเสริญพระเจ้า เอเมน
และขอบคุณพระเจ้าที่ดลใจพี่น้องให้เลือกหนังสือกาลาเทีย เพื่อเราจะเข้าถึงการเปิดเผยที่ลึกมากขึ้น และเห็นความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิตในรูปแนวศาสนา และรูปแนวชีวิต ว่าแตกต่างกันยังไง เพื่อการฝึกเดินของเราจะเข้าถึงผู้ชนะตามกำหนดเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้
และเมื่อเรารับมานารับการเปิดเผย เรายังมองพี่น้อง มองผู้นำ มองคริสตจักร มองพระกาย มองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คนข้างบ้าน มองคนในครอบครัว มองลบหรือมองบวก ถ้ามองบวกเรามาถึงรูปแนวชีวิตแล้ว และทุกวันนี้การกระทำทั้งหลายเราเอาไว้เป็นรอง เรื่องการผูกพันสร้างความสัมพันธ์ บอกรักพระเยซู สนิทในพระเยซู พูดคุยกับพระเยซูในแต่ละวันเป็นเรื่องหลัก เรามาถึงรูปแนวชีวิตแล้ว
อย่าลืมนะขอย้ำว่า ถ้าหากเรามาถึงการเน้น ความผูกพัน ความรัก การบอกรัก สนิทในพระเยซูมากกว่าการกระทำกระทำๆๆ ทำๆๆๆ อันนั้นเอาไว้เป็นเรื่องรอง ให้พระเจ้าเป็นคนทำ เราไม่ต้องทำ เราสนิท
และเรื่องที่สอง ก็คือการมอง การมองบวก คิดบวก มองด้วยความรัก ความผูกพัน ความเมตตากับพี่น้อง กับคนที่ไม่เชื่อ และคนที่เชื่อ และคนในครอบครัวเรา ขอแสดงความยินดีด้วยเรามาถึงจุดที่สำเร็จแล้ว
ถาม.
คำว่า พระบัญญัติเปิดเผยความบาปเรา แต่พระคุณปกปิดความบาปเรา พระบัญญัติเปิดเผยความบาปเรา เปิดเผยแบบไหนครับ เอเมนครับ
ตอบ.
สำหรับเรื่องนี้นะครับชาวยิวเข้าใจดี และคริสตจักรศาสนา ศาสนาคริสต์เข้าใจดี สมัยที่ชาวยิวมีใครคนใดคนหนึ่งทำบาป เขาจะนำมาอยู่ที่สาธารณะให้อยู่ท่ามกลางคนมากมายแล้วประกาศนะครับว่าคนนี้ทำอะไรมา คนนี้ต้องลงโทษเอาหินขว้างหรือทำยังไงกับเขา แล้วเขาก็ได้รับความอับอาย
และมาถึงยุคคริสตจักร หรือศาสนาคริสต์ ถ้าหากใครทำผิด เราเคยเห็นกันไหมหลายคนถูกเรียกขึ้นมาต่อหน้าพี่น้อง แล้วบอกว่า พวกเรายอมรับผิด คือเขาให้เราสารภาพความผิดบาปทั้งหลายที่ทำ ขอยอมรับความผิด ขอยอมรับผิดขอประกาศต่อพี่น้อง และสารภาพต่อพระเจ้า ต่อไปจะไม่ทำอีก ประมาณนี้นะครับ
อันนี้เราจะเห็นหลายๆ คริสตจักรทำกันอยู่ หรือถ้าไม่ทำแบบนี้เขาก็จะทำลับหลัง ก็คือไปบอกพี่น้องแต่ละคน คนนี้ทำไม่ดีนะ คนนี้ไปทำอะไรมา คนนี้เป็นแบบนี้แบบนั้น คือมันจะมีการซุบซิบนินทา ทำให้เราเสื่อมเสียทำให้เราอับอาย เนื่องจากว่าเขาไม่ได้รักษาพระบัญญัติ
สรุป ก็คือเรียกว่าพระบัญญัติฆ่าชีวิต ประหารชีวิต และถ้าหากใครนะครับที่ไม่รักษาพระบัญญัติก็จะถูกประหารชีวิตจริงๆ ก็คือพระเจ้าจะลงโทษแน่นอน ทุกวันนี้นะครับพระเจ้าไม่ได้บอกให้เรา พระเจ้าไม่ได้สั่งให้เราให้รักษาพระบัญญัติ ใครเป็นคนรักษาทุกวันนี้ "พระเยซู" พระคริสต์ในเราเป็นคนรักษาพระบัญญัติแทนเรา เราไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องพระบัญญัติ ถ้าใครคิดจะรักษาพระบัญญัติ แน่นอนครับก็จะถูกสาปแช่ง ในหนังสือกาลาเทียบทที่ 3:10 ใครที่แตะต้องพระบัญญัติหรือคิดจะรักษาพระบัญญัติ คิดจะเชื่อฟังพระเจ้า เพื่อพระเจ้าพอพระทัย คนนั้นนะครับถูกสาปแช่งแล้ว
ส่วนพระคุณ พระคุณมาเพื่อปกปิดความผิดบาปของเรา พระเยซูอยู่ในเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกนำมาเพื่อผู้ใหญ่ หรือผู้นำศาสนายิวต้องการทดลองพระเยซู และเขาถามพระเยซูว่าจะทำยังไงกับผู้หญิงคนนี้ เขามีโทษถึงตายนะ แล้วเราต้องเอาหินขว้างเขาให้ตาย แล้วพระเยซูทำยังไงครับ พระเยซูเขียนอะไรบางอย่าง จนทำให้ผู้นำทั้งหลายช็อก แล้วก็เดินหนีไปทีละคนทีละคน ไม่มีใครกล้าที่จะเอาหินขว้างผู้หญิงคนนั้น แล้วพระเยซูบอกว่าเราก็ไม่เอาเรื่องเจ้า (ยน 8:1-11)
การไม่เอาเรื่องนะครับ คือการไม่เปิดโปง ไม่เปิดเผย ไม่ประหารชีวิต ไม่ฆ่าชีวิต แต่ให้ชีวิตและปิดบังความผิดบาป พระองค์ไม่ได้ไปประกาศใช่ไหมว่า (ดูสิสาวกสิบสองคน มัทธิว มาระโก ลูกา มานี่หน่อย เนี่ยผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ดีนะ แล้วก็เดินทางต่อไป ไปอีกหมู่บ้านหนึ่งก็บอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่เจอตอนนั้นเลวมาก ไม่ดีเป็นผู้หญิงโสเภณี) มีไหมครับพระเยซูเคยไหมที่จะพูดคำหนึ่ง แต่พระองค์ปกปิดพระองค์ไม่เคยเปิดเผยพระองค์เก็บทุกสิ่งเอาไว้
เพราะฉะนั้นขอบคุณพระเจ้ามีผู้นำบางคน และขอบคุณพระเจ้าสำหรับผมที่ถ้าหากมีใครมาบอกเรื่องอะไร ผมจะเก็บ เก็บจน.. คือเป็นคนที่เก็บได้ เพราะว่าขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้ผมเข้าใจว่า พระคุณก็คือการที่จะไม่ขายหน้าใคร ไม่ทำให้ใครอับอายขายหน้า ไม่ต้องประจานใคร หรือพูดในสิ่งที่เป็นด้านลบของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเยซูเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกเรา เอเมน
ถาม.
คือเมื่อก่อนที่ยังไม่ได้รับมานา ก็ยอมรับว่านิสัยก็คือเป็นคนชอบช่วยเหลือคนและจิตใจดี พอมาพบมานาก็เหมือนพระเจ้าเอา กิเลส ตัณหา ทุกอย่างออกมาหมดอ่ะค่ะ ทั้งความโกรธ ความหยิ่ง ตัณหาของเนื้อหนัง แล้วก็ตัณหาของร่างกาย ทำไมพระเจ้าจึงเอาออกมาทั้งหมดค่ะ เพื่อที่จะชำระเราหรือว่ายังไงค่ะ
ตอบ.
คือจริงๆ แล้วนะครับคริสเตียนเราก็อยู่ดีๆ ของเราใช่ไหม จริงๆ แล้วคือการทำบาปของพวกเราทั้งหลายความโกรธก็พอจะมีบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงเท่ากับตอนที่มาถึงการรับการเปิดตาหรือรับมานา ถามว่าทำไม?
พระเจ้าต้องการที่จะให้เราเห็นว่า เราเป็นยังไง เราโหดร้ายแค่ไหน เราน่ากลัวแค่ไหน จริงๆ แล้วก้นบึ้งของหัวใจ จิตใต้สำนึก จิตเราจริงๆ มันเสื่อมมากขนาดไหน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงให้โอกาสที่สิ่งเหล่านี้ให้สิ่งเหล่านี้ออกมา แล้วให้เราเห็น และเพื่อเรายอมรับความจริงว่า เออ ฉันจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีเหมือนที่เราคิดนะ พระเจ้าต้องการที่จะให้เรายอมรับความบกพร่อง ความอ่อนแอ ความเสื่อมทราม ความตกต่ำของจิตของเรา พระเจ้าจึงให้เราเห็นสิ่งนี้ครับ
และหลังจากนั้นเมื่อเรายอมแพ้ ยอมจำนน surrender all ยอมจำนนทั้งหมดต่อพระเจ้า บอกว่า "ใช่ข้าพระองค์ตอนนี้ไม่มีอะไรดีเลย" เราเห็นนะครับว่าเปาโลเป็นแบบอย่างเขาเปิดเผยว่าจริงๆ แล้วข้าพระเจ้าเป็นคนรู้พระบัญญัติทุกข้อ ข้าพเจ้าเป็นคนที่เคร่งมากกว่าใคร ข้าพเจ้าเป็นคนที่รักษาพระบัญญัติทั้งวันทั้งคืน แต่สุดท้ายในตัวข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีเลย ขอให้เข้าใจคำนี้นะครับ ที่เปาโลพูด "ไม่มีอะไรดีเลย" ซึ่งกิเลสแน่นอน ตัณหา โลภ โกรธ หลง ทุกสิ่ง ไม่มีอะไรดีเลยในเปาโล
แต่เปาโลซ่อนเอาไว้ เนื่องจากว่าเกรงกลัวพระเจ้าต้องรักษาพระบัญญัติให้ได้ เนื่องจากว่าเพื่อต้องการรับพระพร และรับความรอดเหมือนฟาริสีทั่วไป และเหมือนคริสตจักรคริสเตียนมากมายทั่วไปทุกวันนี้ คือเขาพยายามเชื่อฟังพระเจ้า กดดัน ฝืนใจ บังคับตน ซึ่งไม่ได้ออกมาจากธรรมชาติที่แท้จริงของเขา แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการให้เรารู้ เมื่อเรารับการเปิดตามาถึงความรู้ที่ล้ำลึกนี้ คือให้เรายอมรับว่าจริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีเลย โอ้โห..ดูสิความโกรธมันน่ากลัวขนาดไหน เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นขนาดนี้นะ แต่ทำไมต้องเจอแบบนี้ต้องเป็นแบบนี้
พระเจ้าเปิดโปงให้เราได้เห็นเปิดโปงต่อหน้าเราเอง ไม่ใช่ต่อหน้าผู้อื่น หรือบางครั้งคนอื่นก็จะเห็น คือคนในครอบครัวเรา นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า แน่นอนครับเมื่อมาถึงมานาที่ซ่อนไว้เมื่อไหร่ เราจะถูกเปิดในส่วนนี้ออกมา เพื่อให้เรายอมรับว่าเราอ่อนแอ และในเราไม่มีอะไรดีเลย และเพื่ออะไร? ต่อมาเพื่อเราจะพึ่งพระเจ้า เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าในตัวข้าพเจ้าไม่มีอะไรดีเลย แต่ขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์นำกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตเข้ามาเพื่อปลดปล่อยให้ข้าพระองค์เป็นอิสระในโรมบทที่ 8:1-3 เอเมน
สำหรับหนังสือกาลาเทียพระเจ้าต้องการที่จะสอนเรา นำเรา ให้มาสู่การใช้ชีวิตที่อยู่ในรูปแนวชีวิต มากกว่ารูปแนวศาสนา ให้เรามองไปที่การสร้างความผูกพัน ความรัก บอกรัก สนิทในพระเยซูเป็นที่หนึ่ง ส่วนเรื่องการกระทำ การรับใช้ การประกาศข่าวประเสริฐให้เป็นรองให้เป็นที่สอง และการรับใช้ การประกาศ การกระทำเหล่านั้น ไม่ใช่เราเป็นคนทำ แต่พระวิญญาณแต่พระคริสต์ในเราเป็นคนผลักเราให้ไปทำ โดยที่ให้เรามีเต็มด้วยสันติสุข และมีเต็มด้วยพลังที่มาจากพระเจ้าซึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ขอบพระคุณพระเจ้าที่ในวันนี้เราผู้เชื่อทุกคนมีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต เพื่อให้เราเดินทาง เพื่อให้เราอดทน เพื่อให้เราอดทนนาน เพื่อให้เรารัก ยกโทษ อภัย อากาเป กระทำคุณให้ ทำทุกสิ่งได้โดยที่ไม่บ่นไม่เบื่อไม่ท้อ และมีความสุขในการกระทำเหล่านั้น เอเมนขอบคุณพระเยซู
และเอเมนขอบคุณพระเยซูที่เตือนพวกเรา โดยที่ให้พวกเราเน้นที่พระคริสต์ ไม่ใช่เน้นที่ศาสนาคริสต์ และเน้นที่พระคริสต์ ไม่ใช่เน้นที่พระบัญญัติ และมองบวก ไม่ใช่มองลบ มองที่ความรัก ความเมตตา ไม่ใช่มองที่ความผิดความถูกของมนุษย์ที่เราเห็น
และขอบคุณพระเจ้ามีบางคนถามว่า ถ้าหากเรามองบวกเราอยู่ในฝ่ายวิญญาณ แล้วพี่น้องที่ทำผิดเราจะทำยังไงไม่เตือนเขาเหรอ
เราเตือนครับ ในพระคัมภีร์ก็บอกชัดเจน (กจ 13:15 / โรม 12:8 / 15:14 / คส 3:16 / 1 ธส 2:3 / 2 ธส 3:15 / ทต 1:9 / ฮบ 3:13) ว่าถ้าหากพี่น้องทำผิด เราพูดคุยกับเขา ถ้าคุยได้ ถ้าเป็นคนที่ใกล้ชิดรู้จักคุ้นเคยกับเขา เราไปคุยกับเขาและหนุนใจเขา และถ้าหากเขาไม่ฟัง หรือเราไม่มีหน้าที่ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่มีอะไรกับเขา คือเห็นเขาในคริสตจักร แล้วไม่สนิทกัน เราก็ไปบอกผู้ปกครองบอกผู้นำในคริสตจักร ให้อธิษฐานเผื่อเขา และหาช่องทางที่จะคุยกับเขา เราเตือนครับ
การที่จะเห็นความผิดของใครบางคน ไม่ใช่ว่าการมองลบนะครับ คือการที่จะนำเขาออกมาจากเนื้อหนัง กลับเข้าสู่พระคริสต์ และแก้ไขส่วนที่ผิดพลาด ให้เขาเข้ามาอยู่ในอาการปกติของชีวิตคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เอเมน
ถาม.
ขอขยายความตรงนี้นิดนึง ที่บอกว่าอยู่ภายใต้พระบัญญัติ กับการดำเนินชีวิตในรูปแนวแบบศาสนา เหมือนกันหรือต่างกันยังไงครับ
ตอบ.
สำหรับการดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้รูปแนวศาสนา คือไม่ว่าจะเป็นชาวยิวที่อยู่ใต้พระบัญญัติ หรือชาวพุทธ มุสลิม อิสลาม ฮินดู อะไรก็แล้วแต่เขาอยู่ในรูปแนวศาสนา ก็คือเขาจะเน้นที่การทำ ทำๆๆๆ ทั้งวัน เน้นที่การทำดี เน้นที่การทำบุญ เน้นที่การไม่ทำในสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นความบาป เพื่อให้ได้รอดไปสวรรค์ตามความเชื่อของเขา หรือได้รับการอวยพรจากพระของเขา นี่เรียกว่ารูปแนวศาสนา และเขาเองไม่เคยมีความผูกพันไม่เคยมีการบอกรักไม่เคยสนิทกับพระของเขา เขาไม่เคยนะครับ ซึ่งอันนี้เราทราบกันดี จากครอบครัวเราพ่อแม่ที่เขายังไม่ใช่คริสเตียน ก็คือแค่ไปกราบไหว้ ไปขอหวย ไปขอการอวยพร ไปขอให้ครอบครัวร่ำรวยรุ่งเรือง แล้วเขาก็จะถวายอะไรก็แล้วแต่ หรือพยายามไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเพื่อนบ้าน เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นี่ครับคือรูปแนวศาสนา
ส่วนการอยู่ใต้พระบัญญัติ ก็คือสำหรับชาวยิวหรือคริสเตียนศาสนา ที่ทุกวันนี้เราเห็นกันอยู่ ก็คือเน้นที่การทำ เน้นที่การมองคนอื่นที่ผิดที่ถูก แล้วก็ตัดสินด้วยการถูกผิด เดินไปมาใช้ชีวิตแต่ละวัน ก็คือด้วยการถูกผิด อะไรผิดเราไม่ทำพยายามไม่ทำ อะไรถูกเราก็จะทำพยายามทำให้ได้ นี่คือการใช้ชีวิตเรียกว่าอยู่ใต้พระบัญญัติ
ถาม.
แต่ก่อนที่อยู่สมัยเป็นคริสเตียนศาสนา คือเขาก็จะมีกฎเกณฑ์ในคริสตจักรนะว่าต้องทำนู่นต้องปฏิบัติตัวอย่างโน้นอย่างนี้ ก็คืออันนี้เรียกว่าเป็นแนวศาสนา หรือภายใต้พระบัญญัติครับ
ตอบ.
สำหรับตรงนี้นะครับเรียกว่ากฎ กฎก็คืออยู่ใต้พระบัญญัติครับผม พระบัญญัติเรียกว่ากฎนะครับ จริงๆ แล้วภาษาไทยภาษาลาวหลายๆ ภาษาใช้คำว่า พระบัญญัติ อาจจะไม่ชัดเจน แต่ภาษาอังกฤษชัดเจนมาก ภาษาอังกฤษและภาษากรีกชัดเจนมาก ก็คือ Law - Law ก็คือเรียกว่ากฎ กฎอะไรก็แล้วแต่นะครับที่มนุษย์ตั้งขึ้น พระเจ้าตั้งขึ้น หรือใครสร้างขึ้นมานะครับเรียกว่า กฎ เพื่อบังคับให้คนที่อยู่ในกลุ่มนั้นกระทำตาม รักษาให้ได้
สำหรับเราที่เป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ ขอบคุณพระเจ้านะครับไม่ใช่ว่าเราอยู่ภายใต้ไม่มีกฎเลยนะครับ คือทุกวันนี้ขอบคุณพระเยซูเราอยู่ภายใต้กฎแห่งพระวิญญาณ เอเมน
กฎแห่งพระวิญญาณ กฎพระวิญญาณคืออะไร กฎฝ่ายวิญญาณคืออะไร
คือการที่จะ.. สมมุตินะครับว่าถ้าหากคริสตจักรศาสนาบอกว่า คือผู้นำจะบอกเลยจะออกกฎเลยว่า ตี 5 ตี 4 ตี 3 ทุกๆ วันเสาร์ต้องมาร่วมกัน เพื่ออดอาหาร เพื่อเฝ้าเดี่ยวที่คริสตจักร หรือที่บ้านก็ได้ แล้วสมาชิกโบสถ์ก็ต้องทำตาม อันนี้เรียกว่า กฎ หรือ อยู่ใต้พระบัญญัติ
ส่วนเราถามว่าเราต้องการที่จะเฝ้าเดี่ยวได้ไหม ขอบคุณพระเยซูดีมากๆ ครับ ได้ ตี 3 ก็ได้ ตี 4 ก็ได้ เวลาไหนก็ได้ และเรานะครับชวน ชวนพี่น้อง คือไม่ได้ออกกฎ ไม่ได้วางกฎ ไม่ได้ตั้งกฎ แต่เราชวนพี่น้องบอกว่า.. พี่น้องผมอยากจะชวนพี่น้องเรามาอดอาหารหรืออธิษฐานทุกวันเสาร์กันไหมตอนตี 5 .. ถ้าพี่น้องบอกว่า ขอโทษนะครับผมไม่สะดวก ก็เอเมนผมก็เอเมนด้วย แล้วทุกอย่างก็แล้วไป
แต่ถ้าพี่น้องบอกว่า เอเมนครับผมอยากร่วมด้วย คือเขาอยากร่วมด้วย ก็ขอบคุณพระเยซู อันนี้เรียกว่ากฎแห่งพระวิญญาณ ทุกวันเสาร์เราจะมาร่วมกันและตี 5 เราจะตื่นนอน แล้วก็อธิษฐานร่วมกัน เรียกว่ากฎแห่งพระวิญญาณ คือความพอใจ ความเต็มใจ และทำในสิ่งที่เราไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจ และทำได้สบายๆ ทำแล้วมีความสุขมากๆ ไม่เหนื่อย ไม่ท้อ มีพลังที่มาจากกฎแห่งพระวิญญาณ กฎแห่งชีวิตครอบคลุมเราอยู่
และถ้าหากว่าผมชวนพี่น้อง บอกว่าทุกๆ วันจันทร์ หรือวันอังคาร เรามาอ่านพระคัมภีร์กันไหม เริ่มจากมัทธิว พี่น้องก็บอกว่าเอเมนผมอยากร่วมด้วยอ่านด้วยกัน เราก็มาอ่านด้วยกัน แต่อันนี้ไม่เรียกว่ากฎ ไม่ใช่กฎ
แล้วทีนี้นะครับพอขยายกว้างออกมา คือผมนะครับหรือพี่น้องไปที่คริสตจักร หรือชวนพวกเราในกลุ่มบอกว่า ตอนนี้ 2 คนผมกับพี่น้องเราอธิษฐานเฝ้าเดี่ยวตอนตี 5 นะ มีพี่น้องท่านไหนสนใจอยากจะร่วมด้วยไหม ถ้าร่วมก็เอเมน ถ้าไม่ร่วมก็เอเมน พี่น้องหลายคนนะครับก็บอกว่ายุ่งอยู่ ทำธุระ คือตื่นนอนไม่ได้ นอนดึกต้องทำงาน ก็เอเมนนะครับ
และสำหรับพี่น้องที่บอกว่าโอเค อยากมาร่วมด้วย เอเมนสรรเสริญพระเยซูแล้วก็ยิ้มนะครับ ก็ร่วมกันนะครับ แล้วทุกๆ วันเสาร์เราก็ตื่นนอนตี 5 แล้วก็เฝ้าเดี่ยว ก็ขอบคุณพระเยซูอันนี้ไม่เรียกว่า กฎ ครับ แต่เป็นกฎของพระวิญญาณ ถ้าหากใครอยากจะหยุด ยกเลิก พี่น้องบอกว่าพอแล้วนะครับเดือนหนึ่งผ่านไป ตอนนี้มีธุระที่จะต้องทำตื่นนอนตอนเช้ายังไม่ได้ไม่สะดวก ก็ยกเลิกไปนะครับ ก็เอเมน
คือมีบางคริสตจักรเขาก็ใช้วิธีนี้นะครับบางคริสตจักร ก็เป็นการใช้วิธีที่ดี แต่ปรากฏว่าอีกไม่นานต่อมา ก็จะมีการบังคับ หรือมีการพูดในลักษณะที่แบบ คือควรจะมานะ ต้องมานะ ถ้าไม่มาเนี่ยก็จะไม่ทันเพื่อน ก็จะไม่ทันเพื่อน โตไม่เท่าเพื่อน อะไรประมาณนี้ อันนี้เราจะไม่ใช้วิธีนี้หรือไม่พูดในลักษณะแบบนี้ ซึ่งมันคล้ายๆ กับออกจะเป็นกฎมากกว่าใช่ไหม
คือใครเต็มใจก็มา ใครไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร ก็เอเมน แต่เราบอกถึงเหตุผลนะครับว่า ขอบคุณพระเจ้านะการได้มาร่วมกันการตื่นนอนตอนตี 5 เฝ้าเดี่ยว ก็คือเป็นเวลาที่พระเจ้าพูดคุยกับเราสัมผัสเราได้มากกว่าในช่วงตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน แล้วพี่น้องบอกว่าโอเคเอเมนอยากร่วมด้วยอยากได้รับสิ่งนี้ ก็มาร่วมกัน ยกเลิกเมื่อไหร่ก็ยกเลิกเมื่อนั้น ไม่มีปัญหาครับ
ขอบพระคุณพระบิดาที่พระองค์รับการนมัสการยกย่อง สรรเสริญ ขอบพระคุณ บอกรักของพวกเราทั้งหลาย ขอบพระคุณพระบิดาที่พระองค์รักเรา และรับเครื่องถวายบูชาสำหรับวันนี้ พวกเรานำหัวใจบริสุทธิ์ หัวใจที่เต็มด้วยความรัก มาถวายแด่พระองค์
ขอบพระคุณพระเยซูที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา ที่ยอมรับการนมัสการในครั้งนี้ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระบิดา ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สักการะบูชา ขอให้อาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ และขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ พระเยซูพวกเรารักพระองค์ เอเมน
อ่านเพิ่มเติมเรื่อง: ทุกสิ่งที่สร้างแล้วก็สร้างเลย เราสารภาพเรากลับใจมาสร้างต่อพระเจ้าก็นับ