สำหรับเรื่องการเชื่อฟังและการสร้างความสัมพันธ์ พี่น้องคริสเตียนส่วนมาก รับไม่ได้ว่าเราต้องสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าก่อนการเชื่อฟังมาทีหลัง เขาบอกว่าต้องเชื่อฟังการเชื่อฟังเป็นที่หนึ่ง แต่สำหรับพระเจ้า พระเจ้าต้องการความสัมพันธ์ พระเจ้าต้องการให้เราบอกรักพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราหลงรักพระเจ้า ถ้าเรารักพระเจ้ามากเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะให้เราเต็มล้นด้วยชีวิตของพระองค์ซึ่งเป็นชีวิตพระเจ้า
....
และเมื่อเราเต็มล้นด้วยชีวิตของพระเจ้าเราก็จะส่องแสงสว่างนั้นออกมาได้ชีวิตของพระเจ้าเปรียบเสมือน น้ำมัน ถ้าหากเราไม่มีน้ำมันในตะเกียงของเรา ที่เป็นวิญญาณ เราจะเชื่อฟังพระเจ้าได้ยังไงใช่มั้ยครับ ถ้าหากชีวิตของเราไม่ได้ผูกพันสนิทอยู่กับพระคริสต์ เราก็จะรับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณไม่ได้การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อความอยู่รอด เพื่อเป็นมัดจำ
....
แต่ถ้าหากเราไม่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ก็คือ การดำเนินชีวิตที่มีชีวิตของพระเจ้า ชีวิตของพระเจ้าที่เต็มล้นอยู่ในเรา เมื่อเราดื่มน้ำเย็นๆ เราจะรู้สึกเย็นภายในชุ่มฉ่ำใช่มั้ย การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เหมือนกัน ถ้าหากเรามีชีวิตของพระเจ้า เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เต็มล้นขึ้นมาเต็มเต็มๆ เข้ามาเราก็จะทำดีได้เชื่อฟังได้แต่ถ้าหากเราไม่เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ จะเชื่อฟังได้ยังไง มันหนักนะ เราต้องฝืนใจอดกลั้น โอ๊ย เชื่อฟังพระเจ้าเชื่อ ฟังพระเจ้า แต่ไม่นานต่อมาก็ระเบิด
....
คือมันเกิดความกดดัน ความกดดันอยู่ที่ไหนการระเบิดก็อยู่ที่นั่น นี่คือหลักการนะ ซึ่งเราจะเห็น ตัวอย่างในวิวรณ์บท ที่ 2 ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 7 พระเยซูต่อว่าคริสตจักร พวกท่านขาดความรักดั้งเดิม ความรักดั้งเดิม ก็คือพี่น้องจะเห็นว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าตอนแรกๆ รักพระเจ้ามากใช่มั้ย อะไรก็ได้รักพระเจ้า แสวงหาพระเจ้าต้องการใกล้ชิดกับพระเจ้าอ่านพระคัมภีร์ บ่อยมากอ่านๆ ทั้งเล่มเลยทุกวันเลย
....
ตอนที่ผมเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ผมทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล เราก็อ่านนะครับอ่านตลอดเลย หมอที่อยู่ที่โรงพยาบาลเขาเป็นคริสเตียน เมื่อเพื่อนที่เป็นพนักงานร่วมกัน เขาบอกว่าเนี่ยคนนี้ไม่ทำงานอ่านแต่พระคัมภีร์ แต่หมอบอกว่าปล่อยเขาอ่าน ไม่เป็นไรปล่อยเถอะ ให้เขาอ่าน ผมก็ขอบพระคุณพระเจ้าไปทำงาน ก็อ่านแต่พระคัมภีร์ไม่สนใจเรื่องการทำงานและปล่อย ให้คนอื่นทำและหมอก็ทำ ในที่สุดไม่มีใครว่าอะไรผม
....
จนผมอ่านมัทธิวจบทั้งเล่ม แต่สาเหตุที่ผมต้องอ่านก็คือ มีสิ่งที่ผลักดันให้ผมอ่านคือ ต้องการอยากรู้แสวงหา คือสนใจใส่ใจ รักพระเจ้าตอนนั้นเป็นตอนที่รักพระเจ้ามากๆ และการดำเนินชีวิตแต่ละวันก็คือ ต้องการที่จะเชื่อฟังพระเจ้า สิ่งนี้นะครับคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ คือความรักดั้งเดิม พระเยซูเตือน คริสจักร ว่าพวกท่านขาดความรักดั้งเดิม จะต้องกลับใจใหม่ต้องกลับมาเอาชนะ สิ่งที่ท่านเป็นอยู่คือ ความรักที่มันแบบเหยือก เย็น ต้องเอาชนะให้ได้
....
และในลูกาบทที่ 10 ข้อที่ 38-42 เป็นเรื่องของนางมารีย์กับนางมารธาใช่มั้ยนางมารธาทำงานแทบตายทำกับข้าวทำอาหารแต่นางมารีย์นั่งฟังพระเยซู เมื่อนางมารธาเห็นว่าน้องสาวไม่ออกมาช่วย ก็ออกมาแล้วบ่นกับพระเยซู แต่พระเยซูตำหนินางมารธา และยกย่องนางมารีย์
....
ถามว่าทำไม สำหรับพระเจ้านะครับ พระเจ้าต้องการ การสนิทก่อน เมื่อเราสนิทกับพระองค์เราฟังพระองค์ เราพูดคุยสนทนากับพระองค์ การเชื่อฟังที่ไม่ต้องบ่นเหมือนนางมารธา ก็จะเกิดขึ้น การเชื่อฟังที่ทำได้ทั้งวัน การเชื่อฟังที่กระตือรือร้น การเชื่อฟังถึงร้อนรน ร้อนใจและทุ่มเททั้งชีวิต ให้พระเจ้าเราทำได้ เพราะอะไรเพราะว่าเมื่อเราฟังพระเจ้าเมื่อเราสนิทในพระคริสต์ ในพระเจ้า เราก็จะได้รับการหล่อเลี้ยง เราก็จะได้รับการเติมเต็มเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อเราเต็มล้นได้มากเท่าไหร่ เราก็มีชีวิตพระเจ้ามากเท่านั้นและเราก็มีฤทธิ์เดชฤทธิ์อำนาจ ที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้และรับใช้พระเจ้าได้ตลอดวันตลอดเวลาเลย
....
และเราจะเห็น เคล็ดลับ กับอีกที่หนึ่งใช่มั้ยคือ ยอห์น บทที่ 15 ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 และข้อที่ 5 เป็นข้อที่ผมเน้นบ่อยมาก คือ ถ้าหากท่านสนิทในเรา ท่านก็จะเกิดผลและเกิดผลมาก เกิดผลอะไรก็ผลของชีวิต ไม่ใช่ผลงานนะครับตอนนี้ ผลงานเนี้ยเป็นอีกเรื่อง แต่ในเรื่องยอห์นบทที่ 15 ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 เป็นเรื่องของชีวิตเพราะว่ากิ่งก้าน ต่อติดกับเถาองุ่น รับชีวิตรับการหล่อเลี้ยง รับเข้ามาเป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตก็คือการเชื่อฟัง การดำเนินชีวิต อดทนนาน มีรักอากาเป้ มีทุกสิ่งที่พระเจ้ามี พระเจ้ามีชีวิตแบบไหน เราก็มีชีวิตแบบนั้น พระเจ้ามีคุณสมบัติแบบไหน เราก็มีคุณสมบัติแบบนั้น เพราะว่าเราติดเราต่อกับเถาองุ่นนั้น
....
ในฟีลิปปีบทที่ 2 ข้อที่ 13 กล่าวว่า พระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจในท่าน พระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจในท่าน ทั้งความปรารถนาและการกระทำ ชีวิตของเรามี 2 ปัญหา คือ
1. ความปรารถนา คือ บางวันเราก็แบบไม่ปรารถนาที่จะอ่านพระคัมภีร์ ไม่อยากอธิษฐาน ไม่อยากไปโบสถ์ คือวันไหนขี้เกียจหน่อย ก็ไม่อ่าน ไม่อธิษฐานและไม่ไปโบสถ์ด้วย แต่ถ้าวันไหนมีการกระตุ้นจากบางคนพี่น้องหรือ ดู YouTube หรือเข้าไป Facebook เห็น พระคัมภีร์บางตอนที่หนุนใจตื่นเต้น ก็รู้สึกว่าโอเค ฉันจะอ่าน ฉันจะอธิษฐานฉันจะไปโบสถ์ นี่คือปัญหาของความปรารถนา บางวันความปรารถนาของเรามันอ่อนแรง คือบางครั้งบางวัน อ่อนแออ่อนแรง บางวันบางครั้งความปรารถนาก็ แรงกล้า เราก็ต้องการที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ใช่มั้ย
แต่บุตรพระเจ้าที่ฉลาด ก็คือสนิทในพระคริสต์ ติดอยู่ในและสนทนากับพระเจ้า สร้างความสัมพันธ์ดีๆกับพระองค์ บอกรักพระองค์จนเราหลงรักพระเจ้า เมื่อไหร่ที่เราติดสนิทแบบนั้นได้ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกเวลา เราจะสามารถเห็นการทำงานของพระวิญญาณ ชัดเจนมากเราจะเห็นชีวิตของเรามันอ่อนแรง ต่อการทำบาป และแข็งแรงมีพลังต่อการเชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่เราเป็นคนทำนะ นี่คือการกระทำกิจของพระเจ้า ที่อยู่ในเรา เรียกว่าพระคริสต์ทำแทนไง ซึ่งอีกครั้งนะครับ ฟีลิปปีบทที่ 2 ข้อที่13 พระเจ้าเป็นคนกระทำกิจในท่าน พระเจ้าเป็นผู้กระทำกิจในท่าน (Christ in you)
ทั้งความปรารถนาและการกระทำ ความปรารถนาก็เป็นความปรารถนาที่พระเจ้าใส่ในจิตใจของเราและการกระทำออกมาเราทำ ทำ ทำ ร้อนรนกระตือรือร้น ต้องการกระทำก็เป็นการทำงานของพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ใช่การทำงานของเรา และนี่แหละคือความหมายที่ผมพูดบ่อยๆ ว่าพระวิญญาณพระคริสต์ทำแทนเรา และถ้าหากเราติดสนิทเราใกล้ชิดพระเจ้า เราสนิทในพระคริสต์เราบอกรักพระองค์ หลงรักพระองค์ สร้างความสัมพันธ์ก่อนอย่าใส่ใจเรื่องการเชื่อฟัง เมื่อเราสร้างความสัมพันธ์เราผูกพันธ์กับพระคริสต์อย่างมากมาย ติดสนิทกับพระองค์ เราจะไม่ต่างไปจากต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำ ที่รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำนั้นและชีวิตของเราจะเกิดการเชื่อฟัง เราจะมีสอง สิ่งที่อยู่ภายในเรา
1. กฎแห่งพระวิญญาณ
2. กฎแห่งชีวิต โรม 8:1-2
กฎแห่งพระวิญญาณ คือ สามารถเอาชนะบาปทุกประเภททุกแบบได้
กฎแห่งชีวิตก็คือ ขยันขันแข็งกระตือรือร้น กระปี้กระเป่า ต้องการที่จะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐานไปโบสถ์ กระทำทุกสิ่งร้อนรนมาก ถ้าหากเรามี 2 สิ่งนี้
แต่สิ่งที่จะทำให้เราได้การเชื่อฟัง ความปรารถนา การดำเนินชีวิตที่สนิทในพระคริสต์ ก็คือการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าให้ดีที่สุดนั่นเองในแต่ละวัน วันนี้เราเผลอวันนี้เราพลาด ชั่วโมงนี้เราเผลอ ชั่วโมงหน้าเอาใหม่ เราแบ่งเวลาเป็นชั่วโมงๆก็ได้
....
สำหรับผม ผมทำอะไรบ้าง ผมจะบอกรักพระเจ้าบอกรักพระเยซูเป็นระยะๆ และเชื่อทุกวันผมเชื่อว่าตัวเก่าผมตายแล้ว เชื่อเท่านั้นและทุกวันเชื่อว่าตัวที่เป็นอยู่ บุคคลที่เป็นอยู่นี้คือตัวใหม่บุคคลผู้ใหม่ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยตัวใหม่และเชื่อว่าทุกวันทุกเวลาทุกนาที ผมที่เป็นตัวใหม่นี้มีพระคริสต์สถิตอยู่ในผมและไม่เคยจากผมไปไหน
....
เมื่อผมทำบาปผมรีบสารภาพทันที และเมื่อทำแบบนี้บ่อยๆ เมื่อทำบาปก็มีสิ่งหนึ่งที่ดึงเราที่นำเรากลับเข้ามาหาพระเจ้าทันที แล้วเราก็สารภาพ การกลัวพระเจ้าสำหรับผมไม่มีอีกแล้ว ผมขอบพระคุณพระเจ้าและผมรู้นะครับว่าพี่น้องที่ดูคลิปและติดตามคลิปมาตลอด และนำบทเรียนไปใช้ ผมรู้ว่าพี่น้องก็ได้รับการปลดปล่อยแล้วใช่ไหม คือเราเลิกกลัวพระเจ้าและผมก็รู้ด้วยว่าพี่น้องมีสันติสุขมากขึ้น ได้รับการปลดปล่อยมากขึ้น พระคำพระเจ้าที่เป็นความจริงทำให้เราเป็นอิสระเป็นไท
....
ผมรู้นะครับว่าพี่น้องมีความสัมพันธ์ผูกพันมากกว่าเดิม มากกว่าเก่าใช่มั้ย อันนี้เป็นสิ่งที่ดีเป็นข่าวดี เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในพี่น้อง ซึ่งพี่น้องรับพระคำที่เป็นความจริงและเป็นชีวิตและเป็นฤทธิ์เดชด้วย ทำให้เรารับการปลดปล่อย ทำให้เราเข้าสู่การพักสงบในพระเจ้าและทำให้เราเข้าสู่สันติสุขในพระคริสต์ และทำให้เราเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มมา
....
สำหรับผม ผมท่องพระคัมภีร์บ่อยมาก และโดยปกติผมจะใช้กาลาเทียบทที่ 2 ข้อ 20 คือผมจะบอกตัวผมเองก่อนนะครับว่า ข้าพเจ้าตายแล้ว เราถูกตรึงแล้วนะกับพระเยซูคริสต์เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตที่เราเป็นอยู่ก็คือพระคริสต์อยู่ในเรา พระคริสต์ทำแทนเราพระคริสต์อยู่เพื่อเราทุกสิ่ง และผมจะบอกพระเจ้านะครับว่าพระบิดาขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ ตายแล้วกับพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์จึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพระองค์ โอ้ ขอบพระคุณพระเยซู ฮาเลลูยา
....
ขอบพระคุณพระองค์ คือเป็นชั่วโมงๆ ผมทำไปแบบนี้ และตื่นนอนตอนเช้าถ้าหากว่าผมยังรู้สึกง่วงนอน ง่วงเหงาซึมเซา ผมก็เริ่มเข้าสู่วิญญาณ เข้าอยู่ในวิญญาณทันที เข้าอยู่ในพระวิญญาณ คือ ด้วยการบอกตัวของผมเอง และบอกพระเจ้านะครับว่า ตอนนี้เราอยู่ในพระวิญญาณนะ เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์เนี่ย อยู่ด้วยความเชื่อเพราะว่าตาเรามองไม่เห็น และทุกสิ่งที่เรากระทำได้อยู่ในโลกของวิญญาณ อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า คือเรานั่งอยู่บนสวรรค์สถานกับพระบิดาในพระคริสต์ เราเชื่อเราก็ได้นั่งจริงๆ เราถูกย้ายไปแล้วจากอาณาจักรของอาดำ เข้าสู่อาณาจักรของพระบุตรเราก็ถูกย้ายจริงๆ
....
แต่ทำยังไงเราถึงจะเข้าไปได้ เข้าไปฝ่ายวิญญาณ ในความเชื่อ 2 โครินธ์บทที่ 5 ข้อที่ 7 กล่าวว่าเราดำเนินชีวิตอยู่โดยความเชื่อไม่ใช่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่ตาเห็น คือตาเรามองเห็นหูเราได้ยิน ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเราได้สัมผัส อันนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง คืออากาศร้อนเราก็บอกว่าร้อน เราเหนื่อยเราก็บอกว่าเหนื่อย เราทำบาปเราก็บอกว่าเราเป็นคนบาปอันนั้นไม่ครับ คือการอยู่ในวิญญาณอยู่ในฝ่ายวิญญาณอยู่ในพระวิญญาณก็คือ เชื่อ เชื่อว่าเราเป็นคนชอบธรรม เชื่อว่าขณะที่เราเหนื่อยเราอ่อนล้าไม่มีพลังเราไม่มีกำลัง เราก็จะบอกว่าพระคริสต์พระเยซูพระเจ้าพระบิดาขอบพระคุณพระองค์ข้าพระองค์มีพลังเพราะว่าอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีความอ่อนแอมีแต่พลังมีแต่ฤทธิ์เดชมีแต่อำนาจมีแต่ชีวิต ชีวิตของพระเจ้าที่มีพลังยิ่งใหญ่สามารถทำให้ข้าพระองค์กระปรี้กระเป่ามีกำลังกระตือรือร้นร้อนรนได้
....
ก็อธิษฐานไป เมื่อผมพูดไปสองสามคำก็ยิ้ม ยิ้มเพื่อพิสูจน์ว่าผมเชื่อจริงๆ เพื่อยืนยันความเชื่อของผมต่อพระเจ้าและต่อตัวเองด้วย และจากนั้นไม่นานไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็จะสัมผัสสันติสุข สัมผัสพลังของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในผม คือเราจะเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในเราทำงานเคลื่อนไหว ทำให้เราจากการ อ่อนล้าง่วงเหงาซึมเซา กลายเป็นกระตือรือร้นได้ทันที
....
การฝึกนี้จะต้องใช้เวลา และอีกอย่างหนึ่งปัญหาก็คือ การท้อแท้ ขอพี่น้องอย่าท้อแท้อย่าท้อถอย อย่าถดถอย ทำต่อไปเรื่อยๆ อย่าท้อแท้ พระเจ้าต้องการดูความเชื่อของเรา พระเจ้าต้องการดูว่าเราจะมั่นใจในความจริง ของพระเจ้าได้มากแค่ไหน และถ้าหากเราอยู่ในความเชื่อนี้ ไม่ถดถอย ไม่ท้อถอยไม่ยกเลิกไม่เลิกฝึก เราก็จะเห็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เราก็จะเข้าสู่ชีวิตที่พักสงบกับพระเจ้าจะมีสันติสุขได้ขนาดที่เราอยู่ในสภาพที่ เหนื่อย เมื่อยล้าหรือไม่มีกำลังอ่อนแรง
....
และอีกอย่าง คำพูดของคนเราจะไม่ถือเด็ดขาด การกระทำของใครเราจะไม่ใส่ใจเด็ดขาด แล้วปัญหาที่โลก ปัญหาของโลกที่เข้ามาสู่ชีวิตของเราในแต่ละวัน เราจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องจัดการกับสิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้ปัญหาเหล่านี้คำพูดของคน ปัญหาที่คนนำมาและปัญหาที่โลกนำเข้ามาสู่ชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เป็นด้านลบ ทุกอย่างภาระนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นภาระของพระเจ้าเรายกให้พระเจ้าเลย เพราะว่าพระเจ้าบอกแล้วไง คือภาระทุกอย่างเป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของเรา การต่อสู้เป็นของพระเจ้าสนามรบเป็นของพระเจ้าไม่ใช่สนามรบของเรานะ