1. พระบัญญัติเดิมทุกข้อถูกยกระดับให้สูงขึ้นสู่มาตรฐานของพระเจ้า
2. พระบัญญัติ 10 ประการและหลายร้อยข้อถูกเรียกว่าพระบัญญัติใหม่
3. พระบัญญัติเดิมจบหรือถูกยกเลิกแล้ว (ฮบ 7:18)
4. พระเยซูคริสต์เป็นจุดจบของพระบัญญัติ (โรม 10:4)
5. พระบัญญัติเดิมอ่อนแอและไร้ประโยชน์ (ฮบ 7:18)
6. เรา (คริสเตียน) ไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติเดิม แต่อยู่ใต้พระคุณ (โรม 6:14)
...
สำหรับคริสเตียนเราอยู่ใต้พระบัญญัติใหม่เท่านั้น และกฎเกณฑ์กฎหมายทุกข้อ ซึ่งเมื่อก่อนถูกนับอยู่ในพระบัญญัติเดิม แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นพระบัญญัติใหม่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รักษาข้อกฎเกณฑ์กฎหมายต่างๆ ในพระบัญญัติ 10 ประการ แต่เราไม่เรียกว่าพระบัญญัติ 10 ประการอีกต่อไปแล้ว และเราไม่เรียกว่าพระบัญญัติของยิวหรือพระบัญญัติเดิมอีกต่อไป
เพราะว่าพระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้เรา และข้อกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ก็คือพระเยซูยกระดับให้สูงขึ้น จากมาตรฐานของมนุษย์ สู่มาตรฐานของพระเจ้า
...
ถามว่าทำไมคริสเตียนไม่รักษาพระบัญญัติเดิม ใน ฮีบรู 7:18 กล่าวว่า พระบัญญัติเดิมอ่อนแอและไร้ประโยชน์ พระบัญญัติเดิมไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ คือพระบัญญัติเดิมเป็นมาตรฐานของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งพระเยซูยกมาตรฐานขึ้นซึ่งเราเห็นตัวอย่างในมัทธิวบทที่ 6 ข้อที่ 22, 23, 28, 29, 32, 33, 39, 40 และข้อที่ 44 และ 45 ในกาลาเทียบทที่ 3:21 พระบัญญัติไม่อาจให้ชีวิตแก่เราได้ 2 โครินธ์ 3:4-6 ยังกล่าวอีกว่า พระบัญญัติมาเพื่อที่จะประหารเราและลงโทษเรา
กาลาเทีย 3:23 กล่าวว่า เพราะว่าพระบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมชาวยิวไว้ชั่วคราวเท่านั้น
กาลาเทีย 3:24 ยังกล่าวอีกว่า พระบัญญัติถูกยกเลิกเสียแล้ว เมื่อพระเยซูเสด็จมา และอีกข้อหนึ่ง ก็คือ โรม 10:4 พระเยซูคริสต์เป็นจุดจบของพระบัญญัติเดิม เราคริสเตียนทั้งหลายจึงไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติเดิมอีกต่อไป ในโรม 6:14 / โรม 7:4 ยังกล่าวว่า เราได้ตายแล้วจากพระบัญญัติ คือถ้าตายแล้วก็ไม่มีอะไรผูกพัน ไม่มีอะไรต่อกันอีกแล้ว คือตายจากกันไปแล้ว
...
ซึ่งทุกวันนี้คริสเตียนเกิดผลของพระวิญญาณ ก็คือผลของการกระทำ ผลของการสำแดง เกิดความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดี การเชื่อฟังพระเจ้า การอยู่ใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู ซึ่งไม่ใช่เราเป็นผู้ที่เกิดผล แต่พระวิญญาณก็คือพระคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณที่อยู่ภายในเรา พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งแทนเราเพื่อเรา เพราะว่าเราทำไม่ได้ และเราจะเห็นผลของพระวิญญาณนี้อยู่ในกาลาเทีย 5:22-23
สำหรับหลักการ การดำเนินชีวิตของคริสเตียน เรายึดกาลาเทีย 2:20 คือข้าพเจ้าถูกตรึงกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า
...
เมื่อพระเจ้าไถ่เรา เราได้บังเกิดใหม่ เป็นคนใหม่แล้ว การดำเนินชีวิตของเรา เราให้พระคริสต์ใช้อวัยวะ ร่างกาย จิตใจ ทุกส่วนของเราเพื่อปรากฏชีวิตความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ของพระองค์ออกมาผ่านเรา
การที่เราได้พ้นจากพระบัญญัติเดิมหรือตายจากพระบัญญัติ ไม่ได้หมายความว่าเราดำเนินชีวิตตามอำเภอใจของเรา เราคิดจะทำอะไร ทำบาปก็ทำได้ อันนี้ไม่ใช่ครับ
คือชีวิตของคริสเตียนอยู่เหนือกว่าชีวิตของชาวยิวซึ่งปฏิบัติรักษาพระบัญญัติเดิม แต่ถ้าหากเขาคิดก็ไม่ผิดนะครับ แค่คิดก็ไม่ผิด
แต่สำหรับคริสเตียนนะครับ เราเน้นที่ความคิดที่อยู่ภายในใจของเรา แม้แต่ความคิดนะครับก็ยังผิดแล้ว ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สูงมาก เป็นการดำเนินชีวิตที่ความชอบธรรมของเราต้องเหนือกว่าฟาริสีและธรรมอาจารย์
...
สำหรับคริสเตียนเรามีความหวังนะครับ เราทำได้เพราะว่าเมื่อพระเจ้าเปิดตาเรา เรารู้ว่าพระคริสต์อยู่ในเรา โคโลสี 1:27 พระคริสต์อยู่ในเราคือความหวังแห่งสง่าราศี คือพระคริสต์ เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา ทำแทนเราทุกสิ่งทุกอย่าง เราจึงมีสง่าราศี
สง่าราศี ก็คือความชอบธรรม การทำดีที่พระคริสต์ทำผ่านเราแล้ว เมื่อพระคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์นำกฎแห่งพระวิญญาณเข้ามา เพื่อเอาชนะกฎแห่งความบาป ซึ่งตัวบาปนำเข้ามา และพระคริสต์ก็ยังนำกฎแห่งชีวิตเข้ามา เพื่อเอาชนะปลดปล่อยเราจากกฎแห่งความตาย (โรม 8:1-2)
กาลาเทีย 4:19 จนกว่าพระคริสต์จะก่อร่างสร้างตัวขึ้นอยู่ภายในเรา และฟีลิปปี 1:20 พระคริสต์ขยายใหญ่ขึ้นในร่างกายของเรา และอีกข้อ ฟีลิปปี 1:21 สำหรับข้าพเจ้าการมีชีวิตอยู่ก็คือพระคริสต์ (ไม่ใช่ข้าพเจ้า)
เพราะฉะนั้นถ้าเราได้พบข้อลึกลับที่ลึกลับที่สุดของพระเจ้า ก็คือพระคริสต์อยู่ในเรา คือความหวังแห่งสง่าราศี เราจะเห็นว่าเราจะกลายเป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรมได้ เพอร์เฟคได้ เหมือนพระบิดาผู้ทรงเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และเพอร์เฟค ซึ่งปรากฏอยู่ในมัทธิว 5:48
...
ถ้าหากว่าคริสเตียนยังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ เราก็เป็นคนที่ตกจากพระคุณเสียแล้ว (กท 5:4) ตกจากพระคุณไม่ได้หมายความว่าไม่รอด แต่ตกจากการทำแทนของพระเยซู เรายังใช้ตัวเก่า ชีวิตเก่าของเรารักษาพระบัญญัติเดิม เมื่อไหร่ที่เรายื่นมือเข้าไปแตะพระบัญญัติ เมื่อนั้นการทำแทนของพระคริสต์ก็ไม่มี (โรม 7:14) เพราะว่าพระบัญญัติเดิมมีไว้เพื่อให้เนื้อหนังปฏิบัติตาม และมีไว้เพื่อให้ชาวยิวปฏิบัติตาม
และเมื่อคริสเตียนเราได้รับพระบัญญัติใหม่ อยู่ใต้พันธสัญญาใหม่ อยู่ภายใต้การทำแทนของพระเยซูคริสต์ เราจำเป็นที่จะต้องอยู่ในพระวิญญาณ อยู่ใต้พระคุณนะครับ คือยอม คือยอมจำนน ไม่ยอมใช้ชีวิตของอาดัม ชีวิตเนื้อหนังนี้นะครับไปแตะไปรักษาพระบัญญัติเดิม เพราะว่าถ้าหากเราไปแตะต้องพระบัญญัติเดิมเมื่อไหร่ เราก็เอาตัวเราเข้าไปอยู่ใต้พระบัญญัติ 2 โครินธ์ 3:6 / โรม 7:13-20 และเราก็ถูกประหารชีวิต
และอีกข้อกาลาเทีย 3:10 กล่าวว่าถ้าหากเรายังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ เราถูกสาปแช่ง ทุกวันนี้พี่น้องคริสเตียนมากมาย ถูกสาปแช่งโดยไม่รู้ตัว สาเหตุก็เพราะว่าเราไม่รู้แผนการงานบริหารของพระเจ้าในแต่ละยุค ยุคไหนทำยังไง ยุคเดิมต้องรักษาพระบัญญัติด้วยตัวเก่าตัวอาดัม ซึ่งเป็นกฎพระบัญญัติของชาวยิว
แต่ยุคใหม่เราอยู่ใต้พระคุณ อยู่ในพระวิญญาณ อยู่ในฝ่ายวิญญาณ เราเป็นมนุษย์วิญญาณ และเรามีพระคริสต์เป็นผู้ทำแทนเรา มีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต เอาชนะกฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตายในแต่ละวัน
และเราไม่ต้องทำอะไร พระเยซูเป็นคนทำ เราเป็นคนเก็บเกี่ยว และการกระทำของพระเยซูไม่ได้หมายความว่าพระองค์เป็นคนใช้เราหรือพระองค์ต้องทำทุกสิ่ง และเราไม่ต้องทำอะไรเลย ดูเหมือนมันจะง่าย แต่แท้ที่จริงแล้ว คือถ้าจะปล่อยให้เราทำ เราก็ทำไม่ได้นะครับ นี่คือการไถ่ของพระเจ้านะครับ การไถ่ของพระเจ้าแท้ที่จริงแล้วมี 2 แบบ
การไถ่แบบที่ 1. ครึ่งแรกก็คือการที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตายเพื่อไถ่บาปเรา
และ..
การไถ่แบบที่ 2. คือพระเยซูคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณเสด็จกลับมาอยู่กับเราเพื่อที่จะรักษาพระบัญญัติใหม่ ซึ่งยากกว่าเดิมมากมายหลายร้อยเท่า ให้เราเป็นคนที่มีความชอบธรรมเหนือกว่าฟาริสีและธรรมอาจารย์
สำหรับพี่น้องที่ยังสงสัยข้องใจ เรื่องข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเสด็จมาอยู่ในเรา ทำแทนเรา อันนี้เป็นข้อลึกลับนะครับ ผมไม่แปลกใจที่พี่น้องหลายท่านไม่สามารถเข้าใจ หรือเห็นความหมายที่ชัดเจนได้ สาเหตุเพราะว่าพระคัมภีร์ก็กล่าวชัดเจนนะครับ โคโลสี 1:27 กล่าวว่า ข้อลึกลับที่ลึกลับที่สุดของพระเจ้า ก็คือพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนที่จะเห็นความจริงนี้
สำหรับเรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณ ก็คือพระเยซูคริสต์เองนะครับ พระเยซูกล่าวว่าถ้าหากเมล็ดข้าวที่ไม่ตกลงไปในดินและตาย ก็ไม่สามารถที่จะงอกขึ้นและเกิดเป็นลำต้นและมีผล และคำกล่าวที่พระเยซูกล่าวในยอห์นบทที่ 12:24 หมายถึงพระเยซูคริสต์เองที่จะต้องตาย และเมื่อตายแล้ว พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากตาย และเป็นต้นข้าวต้นใหม่ ต้นพระวิญญาณ เป็นชีวิตใหม่ ชีวิตพระวิญญาณ
เป็นมนุษย์คนที่ 2 ซึ่งมาแทนที่เผ่าพันธุ์เดิมของอาดัมที่เสื่อมแล้ว และพระองค์สัญญาว่าเราจะประทานผู้หนึ่งมาอยู่กับท่าน ก็คือพระองค์เองนะครับ พระองค์เองที่เป็นพระวิญญาณ ในยอห์นบทที่ 14:16 กล่าวว่าพระองค์จะมาอยู่กับเราและอยู่กับเราตลอดไป
...
และก่อนที่เราจะได้รับพระวิญญาณ คือพระคริสต์จะต้องได้รับเกียรติจากพระบิดาก่อน ในยอห์น 7:30 พระเยซูตรัสไว้นะครับ คือพระเยซูจะต้องได้รับเกียรติจากพระบิดาก่อน และเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ พระองค์นำพระโลหิตขึ้นไปบนสวรรค์เข้าไปในพระวิหารถวายแด่พระบิดา พระบิดายอมรับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ได้รับเกียรติจากพระบิดา ได้ประทับอยู่ข้างขวาของพระบิดาและพระองค์ได้รับเกียรติ พระองค์จึงมีสิทธิ์แจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ ใน 1 โครินธ์ 15:45-47
พระเยซูเป็นมนุษย์คนที่ 2 ที่สามารถแจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ ภาษาอังกฤษก็คือ life giving spirit / life giving spirit ก็คือ Spirit ที่สามารถ give life คือพระวิญญาณสามารถแจกจ่ายชีวิตให้ผู้เชื่อทุกคนได้ และในยอห์นบทที่ 20:22 พระเยซูตรัสว่าจงรับพระวิญญาณเถิด ซึ่งเป็นตอนที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์และกลับมาหาสาวกของพระองค์แล้ว
พระองค์ทรงระบายวิญญาณไปสู่เขาแต่ละคน และตรัสว่าจงรับพระวิญญาณเถิด ในวิวรณ์ 3:20 พระเยซูตรัสว่า เรายืนเคาะอยู่ที่ประตูและใครเปิดให้เรา เราก็จะเข้าไปอยู่ในเขา ภาษาอังกฤษก็คือ I wll come into him / come into him ก็คือเราจะไปอยู่ในเขา ความหมายก็คือ ไม่ใช่ว่าไปอยู่กับเขาไปอยู่ใกล้ๆเขา แต่อยู่ในเขา ซึ่งวิวรณ์บทที่ 3:20 ถ้าเราจะดูดีๆ พระเยซูตรัสกับคนที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ใช่ตรัสกับคนที่ไม่เชื่อ
และขณะที่พระองค์อยู่ ครอบครองอยู่ในวิญญาณของเราเป็นเจ้าของสร้างบ้านในวิญญาณของเราแล้ว ขั้นตอนต่อมาพระเยซูก็ยืนเคาะอยู่ที่ประตูจิตใจของเรา เมื่อเราเปิดใจรับพระองค์เข้ามาครอบครองจิตใจ พระเยซูก็สามารถที่จะขยายบ้านจากวิญญาณเข้ามาสู่จิตใจของเรา และสร้างบ้านอยู่ภายในจิตใจของเราได้
เมื่อพระองค์สร้างบ้านอยู่ภายในจิตใจได้และครอบครองทุกส่วนได้ ความบาปใหญ่สี่ตัว ก็คือ 1. หยิ่งผยองพองตัว 2. โกรธ 3. รักโลก และ 4. ความใคร่ ก็จะถูกดับนะครับ
และเราก็จะสามารถดำเนินชีวิตที่ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ รักที่ไม่มีเหตุผลได้ และรักชีวิตฝ่ายวิญญาณ จิตใจของเรา เราปักใจที่สวรรค์ เราปักใจที่ราชอาณาจักรสวรรค์ เราปักใจที่พระเจ้าและทุกสิ่งที่เป็นของเป็นสิ่งที่ตามองไม่เห็น แต่เรามีความเชื่อมีความหวัง เราฝากชีวิตไว้กับสิ่งเหล่านี้ซึ่งตาเรามองไม่เห็น
...
ขอพระเจ้าช่วยเรานะครับที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในฝ่ายวิญญาณ อยู่ในพระวิญญาณในแต่ละวัน ซึ่งเป็นชีวิตที่ได้รับสันติสุข ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับน้ำมัน ได้รับพระวิญญาณด้วยการเติมเต็มทุกวันเวลา เพื่อเราจะมีสันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลย และเพื่อเราจะมีชีวิตที่เกิดผลถวายแด่พระเจ้าได้ ซึ่งเป็นผลที่มีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ผลที่ตายแล้ว ที่เราเคยทำในเมื่อก่อน
ผมนะครับ 20 ปีที่ผมพยายามเชื่อฟังพระเจ้า พยายามทำดีด้วยตัวเก่าตัวอาดัม ผมพึ่งมาเข้าใจว่าการดำเนินชีวิตการรับใช้ของผมในเมื่อก่อน เป็นได้แค่ไม้ ฟาง และหญ้าแห้ง และผมรู้ว่าผลงานต่างๆ ที่ผมทำมาก็ดูดีสำหรับพี่น้องผู้เชื่อและคนที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พระเจ้ารับไม่ได้ครับผม
ซึ่งผลของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรของพระองค์ทำแทนเราอยู่ภายในเราเป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้ารับได้