ถาม.
ขอถามเรื่องหลักการแห่งความรอดใน 7 ปีกลียุค หลักการแห่งความรอดในช่วง 7 ปีกลียุค ก็คือเชื่อต้องยำเกรงพระเจ้า ไม่ทิ้งพระเจ้าอดทนอย่างถึงที่สุด ช่วยเหลือพี่น้องคริสเตียนห้ามทิ้งกัน ส่วนเรื่องหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณเชื่อก็รอดเท่านั้น
อยากถามว่ากรณีที่มีการรับครั้งแรก แล้วพวกผู้เชื่อที่ยังไม่รับ คนที่ยังไม่ถูกรับในยุคพระคุณ ถ้าเกิดไปอยู่ในช่วง 7 ปีกลียุค เขาจะต้องใช้หลักการแห่งความรอดของ 7 ปีกลียุคหรือเปล่าคะ แล้วอีกกรณีหนึ่งหรือว่าหลักการแห่งความรอดช่วง 7 ปีกลียุค ใช้เฉพาะผู้เชื่อที่รับเชื่อในช่วง 7 ปีเท่านั้นค่ะ
ตอบ.
สำหรับยุคนี้ยุคพระคุณ ก็คือรอดด้วยการเชื่อเท่านั้น ไม่มีข้อแม้อื่น ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีและไม่ใช่ว่าเชื่อและปฏิบัติ เชื่อและบัพติสมา เชื่อและอะไรทั้งนั้น แต่เชื่อเท่านั้นก็รอด
พอปรากฏว่าเรานะครับที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วมาถึงยุค 7 ปีแห่งความทุกข์ทรมาน และอยู่ในช่วง 3 ปีครึ่งสุดท้ายที่ข่าวประเสริฐเรื่องอมตะเริ่มขึ้น หลักการแห่งความรอดในตอนนี้นะครับก็จะเปลี่ยน คนที่รอดตาย คริสเตียนจะมีบางส่วนเท่านั้นมีไม่มากนะครับมีบางส่วน ที่อาจจะยังมีชีวิตอยู่ที่พระเจ้าไม่ให้ตาย อาจจะมีชีวิตอยู่
เรื่องความรอดหลักการแห่งความรอดก็จะเปลี่ยน และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนั้นก็จะต้องเชื่อและเชื่อฟังและไม่ทิ้งกัน ทุกสิ่งที่พระเจ้ากำหนดก็ต้องทำตาม
อันนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องทำเพื่อความยุติธรรม และเพื่อคริสเตียนเหล่านั้นที่ไม่กลับใจ หยิ่งผยองพองตัว ไม่ยอมรับการเปิดตา ไม่เข้าสู่ชีวิตการเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะฉะนั้นเขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และเมื่อชีวิตของเขาไปถึงจุดนั้นคือเขาไม่สุขงอมไง อย่าลืมนะครับว่าขอบคุณพระเจ้า สำหรับคนที่สุกงอมก็คือได้ไปก่อน ที่หลักการแห่งความรอดในยุค 7 ปีจะเริ่มขึ้น
ผมไม่ทราบว่าจะยกตัวอย่างเรื่องไหนดี ที่พี่น้องจะเห็นตัวอย่างที่ชัดเจน
อาจจะเป็นกฎหมายใหม่ใช่ไหม กฎหมายเรื่องจราจร หรือกฎหมายบ้านเมือง พอมาถึงยุคใหม่กฎหมายก็เปลี่ยน แล้วเราจะอยู่ภายใต้กฎหมายเก่าไม่ได้ คือก็ต้องเปลี่ยนตามนะครับ นี่คือหลักการของโลกและหลักการของพระเจ้านะครับ
...
ถาม.
ถ้าอย่างนี้ คนที่เชื่อแต่ยังไม่ได้ถูกรับ ถ้าเขาอยู่ในช่วง 7 ปีกลียุค กฎหมายนั้นก็คือ หมายถึงว่าเขาต้องยอมรับในหลักการแห่งความรอดของพระองค์
ตอบ.
ถูกต้องแล้วครับ คริสเตียนที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็คือคนที่ไม่สุกงอมนะครับ คือเป็นคริสเตียนศาสนาทั่วๆ ไป และบางคนที่กลับใจใหม่กลายเป็นคริสเตียน ก็ต้องเข้าสู่หลักการแห่งความรอด ก็คือเชื่อและเชื่อฟัง
เท่าที่ผมจำได้ที่บ้านเราที่เมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลายๆ ครั้งใช่ไหม แล้วเราก็จำต้องรักษากฎหมายอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ที่มีให้ปฏิบัติใช่ไหมครับ เราจะบอกว่าไม่นะ ผมยังอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับปีนี้ปีนั้นปีนู้น แต่ฉบับใหม่ไม่รับ อันนี้ก็เป็นไปไม่ได้นะครับ
...
ถาม.
แต่พอดีว่าเหมือนเคยอ่านเจอเหมือนที่อจ. เขียนไว้ว่า ถ้าสมมุติว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในช่วง 7 ปี หมายถึงผู้เชื่อที่ไม่ได้อยู่ในช่วง 7 ปีก็จะไม่เกี่ยว คือความหมายเหมือนกับว่าคนที่เชื่อแล้ว แล้วอยู่ในช่วง 7 ปี แต่ไม่ได้ถูกรับ เขาก็จะไม่เกี่ยวกับกฎหมายใหม่แห่งความรอดใหม่
ตอบ.
เท่าที่ผมจำได้นะครับ ผมน่าจะไม่เคยพูดนะครับว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไร จะอยู่ภายใต้กฎหมายเก่าก็คือเชื่อและรอด รอดด้วยความเชื่อเท่านั้น อันนี้ผมน่าจะไม่เคยพูดนะครับ
เอาแบบนี้ดีกว่าง่ายๆ สั้นๆ คริสเตียนศาสนาถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ไปจนถึงกลียุค และมาถึงการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอมตะ ซึ่งจะต้องเชื่อและเชื่อฟังจึงจะรอด คริสเตียนเหล่านี้ก็ต้องรักษากฎหมายใหม่ ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักการแห่งความรอดใหม่
พี่น้องที่อ่านและฟังคลิปน่าจะเห็นใช่ไหม ผมไม่เคยพูดนะครับว่าคริสเตียนเราตอนนี้อยู่ภายใต้หลักการแห่งความรอดเก่า แล้วพอไปถึงกลียุคจะไม่เกี่ยวอะไร ไม่จริงนะครับ คือเราต้องเกี่ยว เนื่องจากว่าเราใช้ชีวิตอยู่ในตอนนั้นมีชีวิตอยู่ รอดเหลือ ก็คือคริสเตียนที่ไม่เติบโต คริสเตียนที่จะต้องถูกตีสอนในยุคพันปี เพราะฉะนั้นความรอดก็จะต้องยากขึ้น
พระเจ้าไม่บังคับใครให้สุกงอม แต่พระเจ้าต้องการให้ทุกคนสุกงอม เพื่อจะไม่เข้าสู่กลียุค ไม่เข้าสู่มรสุมชีวิต ไม่เข้าสู่ปัญหามากมายที่กำลังมา ถ้าไม่อยากเจอหลักการแห่งความรอดใหม่ก็สุกงอมสิครับ สุกงอม แล้วการสุกงอมนี้ก็ไม่ได้ยากเลย
จริงๆ แล้วถ้าใคร "ใส่ใจ" ขอย้ำอีกครั้งคำนี้ ขอใช้ใหม่ แล้วการสัมมนาผมจะใช้คำนี้บ่อย ก็คือการ "ใส่ใจ" มันอยู่ที่การ "ใส่ใจ"
มีลูกชายสองคน มีพ่อที่เป็นคนดีมากๆ รักลูกมาก พ่อเรียกให้คนหนึ่ง ใช้เขานะครับไปนู่นไปนี่ให้พ่อ ไปทำงานไปช่วยงานไปทำหลายอย่างเขาก็ไป พ่อบอกว่ากี่โมง..กี่โมงนะต้องไป กี่โมง..กี่โมงไปตอนไหน..ไปตอนไหน คือลูกคนแรกเขา "ใส่ใจ" มาก เขา "ใส่ใจ" พอถึงเวลาเขาก็ไป ไม่ไปสาย ไม่ไปช้า เขาไปตรงตามเวลากำหนด แล้วเขาก็ทำทุกสิ่งตามที่พ่อสั่งได้ทั้งหมด เนื่องจากว่าเขา "ใส่ใจ"
แล้วลูกอีกคนหนึ่ง พ่อบอกว่าตื่นนอนตอนนี้นะ แล้วก็ไปกี่โมงนะ ไปกลับ มาทำกี่ชั่วโมง ไปตอนไหน ไปทำอะไรบ้าง ปรากฏว่าเขาก็ฟังเขาก็บอกเออๆ โอเคๆ ไปๆ แต่สุดท้ายพอเขาไปเนี่ย คือไปสาย ไปช้า แล้วทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
ถามว่าทำไมเพราะว่าเขา "ไม่ใส่ใจ"
คนเราทุกสิ่งมันอยู่ที่การ "ใส่ใจ"
แล้วทุกวันนี้เรา "ใส่ใจ" ไหม เรื่องการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เรื่องการสนิทในพระเยซู เรื่องการอ่าน เรื่องการกินพระคำ เรื่องการอธิษฐาน เรื่องการนมัสการ เราใส่ใจกันมากน้อยแค่ไหน เราตอบเราเองนะครับ
เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้ เนื่องจากว่าเรารู้แล้วว่าเราเป็นคนใหม่ เรารู้แล้วหลักการพื้นฐานแห่งการดำเนินชีวิตคริสเตียนเราเข้าใจแล้ว พระวิญญาณแห่งความจริงเปิดตาเรา เราเข้าสู่ความจริงแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องตามมา ก็คือการ "ใส่ใจ"
และใครที่มีปัญหาเรื่อง "ใส่ใจ" อธิษฐานสิครับ
"ขอพระเจ้าให้ข้าพระองค์มีอาการ ใส่ใจ ตลอดเวลา"
พระเจ้าก็จะช่วยเรา อย่าลืมทุกวันนี้เรามีใครเป็นผู้ช่วยเรา พระวิญญาณ แล้วพระวิญญาณองค์นี้รอ รอคำอธิษฐาน รอคำทูลขอของเรา เราต้องการอะไรเราก็ขอพระองค์
สำหรับผมขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์รักษาไว้ให้อยู่ในฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา เนื่องจากว่าผมขอ
"อย่าให้ข้าพระองค์หลุดไป หลงไป ตกขอบไป คือห่างหาย ห่างเหินจากพระองค์ไป ขอพระองค์รักษาข้าพระองค์ไว้"
พระองค์ก็ทำครับ
แล้วเมื่อเราขี้เกียจ ก็ขอพระองค์ให้ข้าพระองค์ขยัน
เมื่อเราไม่ใส่ใจ ก็ขอให้ข้าพระองค์ใส่ใจ
เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์รอและพร้อมที่จะช่วยเรา เพราะว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยของเรา พระผู้ช่วย พระเยซูตรัสและสัญญากับเราในยอห์นบทที่ 14 ว่าพระองค์จะประทานผู้ช่วย เราทุกวันนี้มีผู้ช่วยแล้วนะ เอเมน
อยากสุกงอม ไม่ต้องไปเจอหลักการแห่งความรอดใหม่ ก็คือ "ใส่ใจ" เพื่อเราจะถูกรับขึ้นเมื่อถึงเวลากำหนด