ถาม.
เอเมนค่ะ อาจารย์ในกรณีที่ว่าเราไปอยู่ในกลุ่มที่เป็นศาสนาอื่น แล้วเสร็จแล้ว เขาจะมองเราว่า มันเป็นหมู่บ้านค่ะทางหมู่บ้าน ก็เราไม่ได้ไปร่วมกับเขา เขาจะมองบางคนเขาก็จะมองเหมือนดูถูกเรา ว่าเราไม่ไปร่วม ไม่ให้ความสำคัญกับเขา แล้วก็เราก็จะถูกตำหนิ ถูกพี่น้องตำหนิค่ะ แล้วก็แม้กระทั่งคนในครอบครัว พยายามบอกเขาแล้วนะคะว่าไม่ได้ไปร่วม บอกเขาแล้ว แต่ว่าในกรณีที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปอีก เพราะในครอบครัวเราเหลือแต่ท่าน แล้วท่านมักจะมาแบบเราต้องทำนู่นน่ะทำนี่น่ะ เราต้องเอาเงินมาทำนู่นทำนี่น่ะ แต่ว่าตัวเราเองไม่ได้ทำ แต่สามีไม่ได้เชื่อ สามีกับเอาส่วนที่ เงินน่ะ เหมือนกับในการช่วยในงานนั้นๆ แล้วก็ไปลงชื่อของตัวเราเองลงไปอย่างนี้ค่ะ มันผิดไหมค่ะ
จะถามทั้ง 2 เรื่องเลย เดี๋ยวให้อาจารย์ตอบทีเดียวว่า ในกลุ่มพี่น้องคริสเตียนศาสนา เขาจะมองดูเราอีกแบบหนึ่ง เขาจะว่าเราไม่ไปร่วมกับเขา เขาจะตัดเราออกจากกลุ่มเขาไลน์กลุ่มเขา แต่เราก็ดีกับเขาทักทายเขา ไม่ได้คุยเรื่องอื่น ไม่ได้คุยสิ่งไหนไม่ชอบก็จะไม่เอ่ย ไม่ได้เอ่ยเรื่องคริสตจักรเที่ยงแท้เพราะคิดทำแทน แต่ในบางครั้งถ้าเขาพูดมา เราก็จะให้คำนึงตอบไปเท่านั้นนะคะอาจารย์ แบบนี้เราผิดไหมคะอาจารย์
ตอบ.
คำตอบที่บอกว่าถูกหรือผิด เดี๋ยวผมจะตอบทีหลังนะครับ ขอเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องนึงสั้นๆ นะครับ
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง กำลังจะเดินทางออกจากบ้าน แล้วหมู่บ้านที่เข้าอยู่เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่มากๆ ใหญ่มากๆเลยนะครับ ปรากฏว่าสามีภรรยาก็คือเดินไปกับม้าตัวหนึ่ง แล้วพอเดินไปออกจากบ้านปุ๊บ ข้างบ้านก็ถามว่า อ้าว แล้วทำไมไม่ขี่ม้า ม้ามันมีไว้ให้ขี่ สามีภรรยาได้ยินปุ๊บก็บอกว่าโอเค อ่ะ งั้นขี่ก็ขี่ สามีก็เห็นว่าภรรยาเนี่ยเป็นผู้หญิง แล้วก็อ่อนแอ ก็เลยให้ขี่ แล้วสามีก็จูงม้าต่อไป
พอไปได้อีกระยะนึง บ้านอีกประมาณสัก 4-5 หลัง คนที่เป็นเจ้าของบ้านก็มองแล้วก็ถามว่า อ้าว เดินทำไม ทำไมไม่ขึ้นขี่กับภรรยา ม้า 2 คนขี่ได้น่ะ มันก็ไม่หนักเท่าไหร่หรอก แล้วสามีก็เลยขึ้นม้ากับภรรยา ก็ขี่ม้าไป พอไปอีกระยะนึงก็มีคนทักนะครับบอกว่า เอ้า ไปทรมานสัตว์ทำไม 2 คนมันหนัก ทำไมไม่ให้คนเดียวขี่ แล้วปรากฏว่าสามีก็ลงจากม้าแล้วก็ให้ภรรยาขี่ต่อ มันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ ไปเรื่อยๆ จนออกจากหมู่บ้านไป
คือเราน่าจะพบคำตอบแล้วใช่ไหม ทำไมเราต้องแคร์คำพูดของคนอื่น ถ้าไม่ใช่เป็นเสียงของพระเจ้า เราฟังเสียงคนเดียวเท่านั้น ก็คือเสียงพระเจ้า เสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่แคร์คำพูดใครเราไม่สนใจคำพูดใคร เราไม่ได้อยู่เพราะคำพูดของใครที่จะพูดให้เราขึ้น เราก็ขึ้น ให้เราลงจากม้า เราก็ลง ให้เราไม่ขี่ม้า เราก็ไม่ขี่ แต่อยู่ที่พระเยซูนะครับคำพูดของพระเยซูเท่านั้นที่สั่งเราบัญชาเรา
อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ เราเห็นใช่ไหมว่าเปโตรเห็นพระเยซูเดินมาบนน้ำ เดินบนน้ำมาหาสาวกที่เรือ แล้วปรากฏว่าเปโตรบอกว่า ข้าพระองค์อยากจะเดินไปหาพระองค์ ขอเดินด้วยหน่อย อยากเดินบนน้ำ มันน่าตื่นเต้นมาก พระเยซูก็บอกว่าเดินมาเลย มาสิ แล้วเปโตรก็เดินมาหาพระเยซู แล้วปรากฏว่ามีคลื่นใช่ไหม มีคลื่นซัดไปมา เปโตรก็มองซ้ายมองขวาแล้วก็เกิดความกลัว สุดท้ายเปโตรก็จมลงไปในน้ำ
เมื่อเราฟังคำพูดของใคร อยู่ด้วยอยู่ได้ด้วยคำพูดของคน สุดท้ายเราก็จะจมน้ำเหมือนเปโตร และสุดท้ายเราก็จะไม่มีความสุขเหมือนสามีภรรยาที่เดินทางไปกับม้าตัวนั้น
คำพูดของพระเยซูบอกว่ามาสิ ก็คือมาหาเรา เราก็เดินไปที่พระเยซู แล้วโฟกัสจ้องมองไปที่พระเยซู ไม่ต้องจ้องมองคำพูด ไม่ต้องฟังเสียงของใคร เพราะว่าเราจะเอาใจคนเป็นร้อยไม่ได้ แต่เราเอาใจคนเดียวเท่านั้นได้ คือพระเยซู
มันไม่มีวันไม่มีทางนะครับที่จะเอาใจคนเป็นร้อยๆ แต่เรามีหน้าที่ทำสิ่งเดียวในชีวิตนี้ ก็คือ เอาใจพระเยซูคนเดียว แล้วพระเยซูจะทำให้คนเป็นร้อยๆ ถูกใจเรา แล้วเราก็ถูกใจเขาได้