- พระเจ้าเรียกผู้เชื่อออกมา เพื่ออยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ให้อยู่คนเดียว เราคือส่วนหนึ่งของพระกาย เราต้องการคริสตจักร และคริสตจักรก็ต้องการเรา เพื่อการเสริมสร้างพระกาย
ถ้าสมมติว่า เรารับพระคำล้ำลึก มานาที่ซ่อนไว้คนเดียวในเมืองของเรา ไม่มีใครรับมานา เราจะทำยังไง เราจะอยู่ต่อในคริสตจักรที่เราเคยอยู่ไหม ถ้าอยู่ได้ก็อยู่ แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ออกมา แต่การอยู่หรือการออกมา เราจะอยู่หรืออยากอยู่มากมายแค่ไหน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เร้าใจให้ออกมา เราก็ต้องออกมาอยู่ดี ขอให้เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ ขอให้พระเจ้าเป็นคนนำเรานะครับ
ถ้าถามผมว่า “อาจารย์ ตอนนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ออกมาได้ไหม” ผมก็บอกว่า “ออกมาเลย” แต่ถ้าถามว่า “ขออยู่ต่อได้ไหม เพื่อเห็นแก่พี่น้องหลายคน อยากจะช่วยเค้า” ก็อยู่ต่อ ก็ไม่เป็นไรครับ คุณเป็นคุณเองคุณก็ทุกข์คุณเอง คือถ้ามันถึงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ เราก็จะออกมาอยู่ดีครับ แต่ถ้าอยู่ต่อได้ก็อยู่ครับ
แล้วถ้าหากว่า คริสตจักรเราไม่มีมานาที่ซ่อนอยู่ และเราไม่อยากอยู่กับพี่น้องเหล่านั้น เราก็นมัสการพระเจ้าคนเดียวไปก่อน แล้วก็ขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในเมืองของเราที่เราอยู่ ขอให้มีพี่น้องที่รับมานาได้ติดต่อกัน และได้รู้จักกัน แม้แต่สองคนที่อยู่ร่วมกันก็กลายเป็นคริสตจักรแล้วนะครับ ก็สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า และนมัสการพระเจ้าร่วมกัน
อยู่ในคริสตจักรที่ถูกต้อง แต่มีน้อยคน ก็ดีกว่าอยู่ในคริสตจักรที่ผิด แต่มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด เอเมนนะครับ
- เราเป็นอวัยวะ หรือพระกายของพระเยซู อย่าคิดว่าเป็นสมาชิกคริตจักร เราจะอยู่ที่ไหน หรือย้ายไปร่วมกับพี่น้องที่ใด เราย่อมทำได้อย่างมีอิสรภาพ โดยไม่ต้องขออนุญาตจากผู้นำคริสตจักร
ผมได้ยินพี่น้องบางคนบอกว่า “ผมมาจากคริสตจักรมานา” ขอโทษนะครับ พวกเราไม่ใช่คริสตจักรมานา พวกเรา คือคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ที่รับมานา อย่าไปบอกคนอื่นนะครับว่า “พวกเราเป็นคริสตจักรมานา” “อยู่ภายใต้การนำของอาจารย์เจ” ไม่นะครับ
เราเป็นคริสตจักรของพระเยซู ที่รับมานาที่ซ่อนไว้ (พระคำล้ำลึก) และอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเยซูคริสต์ เราจะติดตามพระเยซูแต่ผู้เดียว สำหรับอาจารย์เจ เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่ใช้อาจารย์เจมาเปิดตาเรา
-----
ถาม:
แล้วที่บอกว่า ให้เชื่อผู้นำล่ะคะ
ตอบ:
จำได้ไหมครับ เปโตรพูดยังไง “สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะเชื่อฟังท่าน หรือจะเชื่อฟังพระเจ้า”
แล้วถ้าเราออกจากคริสตจักรหนึ่ง แล้วเค้าบอกว่า “ห้ามออกเด็ดขาด ถ้าคุณออกคุณฉีกพระกาย ถ้าคุณออกพระเจ้าจะสาปแช่งคุณ” เราถามกลับนะครับ “คริสตจักรคุณสอนถูกไหม” “ให้สันติสุขทุกเวลาแก่ฉันได้ไหม” “ให้ฉันเข้าอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลงไหม”
ถ้าเค้าตอบว่า “คุณไม่มีสันติสุขทุกเวลา เพราะว่าคุณไม่สนิทในพระเยซู” “คุณไม่รับใช้พระเยซู” “คุณไม่ตื่นแต่เช้า อธิษฐาน เฝ้าเดี่ยว” “คุณทำไม่ได้ คุณไม่ทำ” และถ้าเราบอกว่า “หนูก็ทำนะคะ หนูก็เฝ้าเดี่ยวทุกวันเลย ตื่นแต่เช้านะคะ” เขาก็จะบอกว่า “คุณยังทำไม่พอ” นี่คือคำแก้ตัวของเค้าใช่ไหมครับ “คุณยังทำไม่พอ ต้องทำอีกเยอะแยะมากมาย มากับผม มาทำกับผม” แต่ที่จริงแล้ว อาจารย์ก็ไม่ทำเหมือนกันนะครับ อาจารย์ก็ได้แต่สอนๆๆ แต่ที่จริงแล้วอาจารย์ก็ไม่ทำ เชื่อผมเถอะ
ผมเคยเป็นอาจารย์ศาสนามาก่อน เคยเป็นศิษยาภิบาลในสมัยคริสเตียนศาสนา ผมสอนให้คนถวายสิบลด แต่ผมไม่พอใจถวาย แต่ถวายเพราะฝืนใจ เพราะผมมีหน้าที่เป็นศิษยาภิบาล ถ้าผมไม่ถวายสิบลด พี่น้องก็จะว่าผม ก็เลยถวายแบบจำใจ
ผมสอนพี่น้องให้รักกันและกัน แต่ผมไม่รักนะ ผมเกลียดบางคนในคริสตจักร
ผมสอนให้พี่น้องรักกันในครอบครัว สามีภรรยาต้องยอมกัน ต้องอดทน ต้องอภัย ต้องไม่ถือสาคำพูดกันและกัน แต่ผมเถียงกับภรรยาทุกวัน ต่อยกันทุกวันเลย แต่พอมาถึงคริสตจักร ภรรยาผมบอกว่า “เงียบๆๆ เอาไว้ไปเถียงกันที่บ้าน เข้าคริสตจักรยิ้มก่อน ยิ้มๆ” แสดงละครครับ ตีสองหน้า แต่พอออกมาจากคริสตจักรปุ๊บ เข้ามาในรถก็นวดใหญ่เลย มันปวดกรามนะครับยิ้มสองชั่วโมง ถ้าเราไม่ยิ้มบ่อยๆ
เรามาคริสตจักรเรายิ้ม เพราะว่าต้องให้คนอื่นเห็นว่าเราเข้มแข็ง เรารักพระเจ้า เราก็เลยยิ้ม ไปไหนก็ยิ้ม
“สวัสดีครับ” “จงเข้มแข็งนะ” “รักพระเจ้ามากๆ” “เราต้องช่วยกันสร้างคริสตจักรนี้ให้ยิ่งใหญ่” “เอเมนนะ” เราพูดได้ดีมาก แล้วก็ยิ้มด้วย ไปไหนก็ยิ้ม เข้าห้องน้ำก็ยิ้ม แต่พอไม่เห็นมีใครก็นวดหน้า พวกเราเคยเป็นไหมครับ นี่คือการหน้าซื่อใจคดของคริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้
คริสเตียนมากมายทั่วโลกหน้าซื่อใจคดนะครับ เป็นคนโกหก และไม่ได้อยู่ในความจริง
ถ้ามีคนมาบอกว่า “ผมมาจากแบ๊บติสต์ แล้วคุณล่ะมาจากไหน” เราจะตอบเค้ายังไงครับ “ผมมาจากคริสตจักรของพระเยซู และคริสตจักรของผมก็ คือคริสตจักรของคุณนั่นแหละ เราเป็นคริสตจักรเดียวกัน เป็นพระกายเดียวกัน เอเมนไหม” แล้วถ้าเค้าบอกว่า “เอเมนได้ยังไง ผมมาจากแบ๊บติสต์นะ” เราก็บอกเค้าไปนะครับ “เอเมน ยังไงก็ได้ครับ” เราไม่เถียงเค้าครับ
-----
ถาม:
ถ้าเค้าถามว่า “ศิษยาภิบาลของคุณคือใคร”
ตอบ:
ศิษยาภิบาลของเรา คือพระเยซูครับ
ศิษยาภิบาลสำหรับคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ ไม่เหมือนศิษยาภิบาลที่เราเห็นกันทุกวันนี้ มีตำแหน่งศิษยาภิบาลครับ แต่เราต้องมาเปลี่ยนความคิดใหม่ ต้องแปลให้ถูกนะครับ
“ศ.บ.” หรือ “ศิษยาภิบาล” ภาษากรีกคือผู้เลี้ยงแกะ (Shepherd)
ผู้เลี้ยงแกะเป็นคนยากจน ไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร รองเท้าไม่มีใส่ แต่เดินเท้าเปล่า และมีไม้เท้าเอาไว้ดึงแกะขึ้นมาจากเหว หรือที่ที่มันจะตกลงไป แล้วก็มีถุงหนังสำหรับใส่เหล้าองุ่น เมื่อเดินทางไปแล้วหิวก็ดื่ม นี่คือผู้เลี้ยงแกะในสมัยนั้น
พระเยซูบอกว่า “ถ้าอยากติดตามเรา อยากรับใช้เรา ต้องเป็นผู้เลี้ยงแกะ” พระเยซูบอกเปโตรว่า “Shepherd My Sheep” “จงเป็นผู้เลี้ยงแกะ จงเลี้ยงแกะเรา” แต่ทุกวันนี้ศิษยาภิบาลไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ แต่เป็นนายแกะ แล้วก็เป็นพระเอก
ถามว่าทำไมผมพูดคนเดียว อยากเด่น อยากดัง หรืออยากดีรึยังไง
ตอนนี้ก็ต้องอดทนฟังผมไปก่อน เพราะว่าผมมีของประทานคนเดียว แล้วก็พระเจ้าใช้ผมให้เปิดเผยมานาที่ซ่อนใว้ คนเดียว แต่ต่อไปในอนาคต ผมเชื่อนะครับว่า พระเจ้าจะใช้พี่น้องอีกหลายๆ คน ให้สามารถแบ่งปันพระวจนะในลักษณะของมานาที่ซ่อนไว้ได้ แล้วคนฟังฟังปุ๊บจะติดพรวิญญาณในเรา ขอพี่น้องอธิษฐาน แล้วก็ถามพระเจ้าว่า พระเจ้าให้เราไหมในของประทานนี้ แล้วก็ช่วยกันนะครับ
- อย่าให้โอกาสพี่น้องที่ไม่รู้นำกฎเกณฑ์ รูปแบบศาสนา หรือเนื้อหนังตัวเก่าเข้ามา เพื่อการมีประสบการณ์ในพระคุณมากขึ้นๆ
- พระเจ้าอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเจ้าในวิญญาณ ในพระวิญญาณ และในพระคริสต์ ไม่ใช่ในฝ่ายเนื้อหนัง หรือในอาดัม
- เรามาถวายชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เพื่อพระบิดาจะใช้ เรามองทุกอย่างใหม่หมด ดีหมด สันติสุข ชื่นชมยินดี พลังอำนาจ และความรัก เพราะว่าคริสตจักรได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูแล้ว
- เราจะไม่จ้องมองพี่น้องในฝ่ายเนื้อหนัง แต่มองที่ฝ่ายวิญญาณ ด้วยการเชื่อเอาว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม และเป็นผู้ชนะแล้วในพระคริสต์
- การกระทำทุกสิ่งต่อกัน อยู่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อ ความหวัง และความรักเป็นหลัก
ในคริสตจักรศาสนา และส่วนมากจะเป็นคริสตจักรเพนเทคอสต์ที่ผมเคยอยู่ หรือคริสตจักรไฟ ผมสังเกตเห็น ไม่ว่าคริสตจักรไหนก็มีหมด เวลาเราเข้ามาในคริสตจักร เราจะเห็นบางคน อาจจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ เค้าจะจ้องมอง เค้าบอกว่าเค้ามีของประทานสังเกตวิญญาณ ใครก็ตามที่เข้าในคริสตจักร เค้าก็จะจ้องมอง จ้องตาเราเลยครับ เคยเห็นไหมครับ เค้าคิดว่าเค้ามีของประทานสังเกตวิญญาณ แต่แท้ที่จริงแล้วเค้าไม่มี เค้าไม่ใช่ เพราะว่าเค้าสังเกตวิญญาณ แล้วสิ่งที่เค้าพูดมันไม่ถูก มันผิด เราก็เลยรู้
ที่รัฐนิวยอร์ค ผมไปเยี่ยมคริสตจักรที่เป็นทีมงาน ที่รับมานาที่ซ่อนไว้ แต่เค้าอยู่ในกลุ่มไฟ พี่น้องที่รับมานาตอนแรกๆ ที่อเมริกา ส่วนมากเป็นกลุ่มไฟ แล้วพี่น้องคนนี้มองผมแบบแปลกๆ แล้วเค้าก็พูดว่า “ใช่แล้ว คนนี้ใช่ มีพระวิญญาณ” แต่ไม่ใช่นะครับ มันไม่ถูก เพราะใครก็พระวิญญาณทั้งนั้นใช่ไหมครับ
พี่น้องกลุ่มไฟเค้าจะมีอาการที่แปลกๆ และทำอะไรหลายอย่างที่แปลกๆ ที่ไม่มีในพระคัมภีร์
การสังเกตวิญญาณ เป็นของประทานที่เราสังเกตรู้ว่า ใครที่พูดมาจากพระเจ้า คำพูดไหนที่เป็นคำพูดที่ถูกต้อง ที่แปลถูก ไม่ใช่จ้องมอง หรือว่าเห็นเทวดา เห็นพระเยซูปรากฏ ได้ยินเสียงของพระเยซู หรือเห็นอะไรแปลกๆ ที่คนอื่นเค้าไม่เห็น มีคริสเตียนหลายคนที่เป็นแบบนี้นะครับ
คริสตจักรของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการให้เราโชว์อำนาจ ฤทธิ์เดช หรือของประทานอะไรทั้งหลาย (แต่คริสตจักรของพระเจ้า เป็นที่ที่เราโชว์ชีวิตของพระคริสต์ คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการมากที่สุด) ไม่ใช่โชว์ความรู้ โชว์ฤทธิ์เดช หรือโชว์พระพร
บางคนขึ้นไปเป็นพยาน “โอ้ ขอบพระคุณพระเจ้า วันนี้ได้รถใหม่” “ขอบพระคุณพระเจ้า ตอนนี้ได้บ้านหลังใหม่” “ขอบพระคุณพระเจ้า ตอนนี้ได้ๆๆ…” แล้วพี่น้องที่ไม่ได้ล่ะครับ พี่น้องหลายคนก็น้อยใจ มีแต่คนโชว์นู่นโชว์นี่ แต่พระเจ้าต้องการให้เราโชว์พระเยซู ขอให้เปลี่ยนความคิดนะครับ คือโชว์พระเยซู
- พระเจ้าทรงใช้ชีวิตของผู้เชื่อ เพื่อสำแดงสภาพนิสัยของพระองค์ผ่านเราท่ามกลางพวกเรา
- เราอยู่ในฤทธิ์อำนาจแห่งการเป็นขึ้นของพระเยซูคริสต์ พระคริสต์เป็นชีวิต และเป็นทุกสิ่งเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต
คำว่า “พระเยซูคริสต์” และ “พระคริสต์เยซู” แตกต่างกันยังไง
ในพระคัมภีร์มีสองคำที่ไม่เหมือนกัน แต่คริสเตียนหลายคน หรือพระคัมภีร์ภาษาไทยแปลว่า พระเยซูคริสต์ๆๆ ทั้งหมด แต่เรากลับไปดูภาษากรีก บางที่ก็คือพระเยซูคริสต์ และบางที่ก็คือพระคริสต์เยซู เราต้องเข้าใจ
พระเยซูคริสต์ ก็คือพระเยซูที่เป็นมนุษย์ ที่เดินไปมาอยู่บนโลกนี้เป็นเวลาสามสิบสามปีกว่า แต่พระคริสต์เยซู คือผู้ที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และกำลังทำงานอยู่ในเรา อยู่ท่ามกลางเราทั้งหลายทุกวันนี้
- พระคริสต์เป็นกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต ที่ช่วยให้เราเอาชนะบาปได้ และทำให้จิตใจร้อนรนกระตือรือร้นอยู่เสมอ
- พระคริสต์เป็นอาหารแห่งชีวิต ผ่านพระคำ การอธิษฐาน และการหายใจ
- พระคริสต์เป็นน้ำแห่งชีวิต หรือสันติสุข
- พระคริสต์เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการในชีวิต
เมื่อเราอยู่ร่วมกัน หรือมาอยู่รวมกัน ก็คือกินพระคริสต์ ดื่มพระคริสต์ ให้พระคริสต์เป็นทุกสิ่ง และเป็นศูนย์กลาง
“โอ้พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์เป็นน้ำแห่งชีวิตของพวกเรา ขอบพระคุณพระเยซู ที่พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตของพวกเรา ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์เป็นพระสติปัญญาของพวกเรา ขอบพระคุณพระเยซู ที่พระองค์เป็นพระพรของพวกเรา ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์เป็นศีรษะของคริสตจักร และของพระกาย”
เราขอบพระคุณพระองค์ เรารับพระองค์ พระเยซูคือคำตอบ พระเยซูคือทุกสิ่ง และคืออะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด คือพระเยซูทั้งหมดครับ
เราอยู่ร่วมกัน เรากินดื่มพระเยซู เรารับพระเยซูเข้ามา หลังจากนั้นเราก็เอาพระเยซูออกไปข้างนอก สำแดงพระองค์ต่อโลกให้โลกเห็นได้
เพราะฉะนั้น คริสตจักรมีความสำคัญมากต่อชีวิตของเรา
เมื่อเราอยู่ร่วมกัน อย่าเอาความทุกข์โศกมา แต่เอาความชื่นชมยินดีมา เพราะว่าเช้าวันอาทิตย์ คือวันที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ สาวกทั้งหลายมาร่วมกันชื่นชมยินดี และฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู
คริสเตียนมากมายทุกวันนี้ เวลาเข้ามาในคริสตจักร เค้าเอาอะไรเข้ามาด้วยเป็นส่วนมาก…เค้าเอาปัญหาเข้ามาด้วย มีแต่คนมีปัญหาๆๆ แล้วก็จดๆๆๆ แล้วก็อธิษฐานๆๆ ไม่ครับผม
เรามาคริสตจักร เรามาฉลองการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู เรื่องอธิษฐานเผื่อเอาไว้วันหลัง และเอาไว้ที่อื่น
คำว่า “นมัสการ” คือยกย่อง หรือสรรเสริญ
ในเวลาที่เรามาคริสตจักร เช้าวันอาทิตย์สองสามชั่วโมง เรามาเพื่อเป้าหมายเดียว คือเพื่อนมัสการ นมัสการแปลว่ายกย่องสรรเสริญ นมัสการไม่ได้แปลว่าอธิษฐานเผื่อใคร อธิษฐานเผื่อพี่น้องเอาไว้เวลาอื่นครับ แต่ตอนนี้จดจ่อ หรือให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางก่อน มายกย่อง สรรเสริญ และขอบพระคุณ แต่ไม่ต้องยกย่องแผ่นดินสวรรค์ หรือมาพูดถึงเรื่องประกาศข่าวประเสริฐ
ที่คริสตจักร เวลาเรานมัสการสรรเสริญพระเจ้า เพลงบางเพลงไม่ได้สรรเสริญพระเจ้า และไม่ได้ยกย่องพระเยซู แต่พูดถึงเรื่องแผ่นดินสวรรค์ การประกาศ หรือการกลับใจใหม่ ไม่ครับ สรรเสริญก็คือสรรเสริญ เพลงที่เราร้อง ขอให้เอาเพลงเฉพาะที่เกี่ยวกับการยกย่อง การสรรเสริญ และบอกรักพระเยซู นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ
สมมติว่า คนที่รักกันสองคน ชายหญิง หรือคู่บ่าวสาวนะครับ ผู้ชายพูดว่า “ผมร้องเพลงเป็นนะ คุณอยากฟังผมร้องไหม” ผู้หญิงก็บอกว่า “อยากฟังค่ะ” ผู้ชายก็ร้องเพลงบัวลอย แล้วผู้หญิงจะซึ้งไหมครับ
ผู้ชายอยากให้ผู้หญิงซาบซึ้ง ก็ต้องร้องเพลงโรแมนติก ไม่ใช่ร้องเพลงคาราบาว คริสเตียนอยากร้องเพลงให้ซาบซึ้งกับพระบิดา เราก็ยกย่อง สรรเสริญ ขอบพระคุณ หรือบอกรัก ไม่ใช่พูดถึงเรื่องสวรรค์ หรือว่าจงกลับใจเสียใหม่
คนอื่นไม่เกี่ยว เราไม่ยกย่องใคร และไม่พูดถึงอะไรทั้งนั้น แต่พูดถึงเฉพาะยกย่อง สรรเสริญ ขอบพระคุณ และบอกรักพระบิดา
เอเมน ขอบพระคุณพระเจ้า
การนมัสการก็คือนมัสการ เราจดจ่อที่การยกย่องสรรเสริญพระบิดา เราเอาใจเดียวหรือใจบริสุทธิ์เข้ามาหาพระเจ้า
คำว่า Worship ภาษากรีก คือนมัสการ ยกย่อง สรรเสริญ
คนยิวเมื่อก้าวขาเข้ามาในพระวิหาร เค้าไม่คิดถึงใคร เค้าจะยกมือ และพูดว่า “โอ้ ยาเวห์” เป็นภาษาฮีบรู แล้วก็พูดไปเรื่อยๆ ยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ไม่พูดและไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ยกย่องสรรเสริญ และร้องเพลงบทเพลงสดุดี
(1) ความรักจากพระบิดา
(2) พระคุณของพระเยซูคริสต์ และ
(3) การสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
สำหรับพระเจ้า หน้าที่ของพระองค์ คือรักพวกเรา และรักคริสตจักรของพระองค์ หน้าที่ของพระเยซูคริสต์ คือนำพระคุณของพระองค์มาสู่โลก และมาสู่คริสตจักร และทุกวันนี้ หน้าที่สุดท้าย คือการสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวท่ามกลางคริสตจักรของพระองค์ ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาพวกเราทั้งหลาย ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์หล่อเลี้ยงพวกเราให้เติบโตขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานมากในคริสตจักรของพระองค์ในแต่ละแห่ง เพื่อนำพระคุณของพระเยซูคริสต์ให้เกิดผล หรือสำเร็จในคริสตจักรของพระองค์
มีสามสิ่งที่คริสตจักรมี คือ ความรักของพระบิดา พระคุณของพระเยซูคริสต์ และการสามัคคีธรรมของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเราพบมานา เรามีความเชื่อเดียว และความเข้าใจแบบเดียวกัน เราจึงไม่มีปัญหาเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ หรือในพระวิญญาณ แต่เนื่องจากพี่น้องมานามาจากคริสตจักรศาสนา เราจึงคุ้นเคยกับการหยิ่งพองตัว และไม่ชอบฟังพี่น้องหรือผู้นำตักเตือนว่ากล่าว การเน้นเรื่องต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ และการเห็นแก่พระคริสต์อยู่เป็นประจำ เพื่อหนุนใจพี่น้อง ที่จะยอมฟังผู้อื่นตักเตือนว่ากล่าว
ถ้าสมมติว่า เราพบคริสตจักรที่มีพี่น้องที่รับมานาแล้ว และเราร่วมอยู่กับพี่น้องที่นี่ ถ้าหากพี่น้องเป็นผู้นำ หรือมีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่สูงกว่าเรา ถ้าเค้าตักเตือนอะไรเรา เราก็ยอมและฟังครับ เราเชื่อฟังคริสตจักร เอเมนมั๊ยครับ
ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์ ก็จะบอกว่า “จะโง่ไปขอโทษทำไม เราไม่ได้ทำผิด” การขอโทษทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิด และเค้าต่อสู้เรา อยากให้เราแพ้ แต่เรารู้ว่าเราถูก และเราขอโทษเค้า แบบนี้ดีมั๊ยครับ คือเราแสดงอาการต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ได้ความรัก ได้ความอบอุ่น และได้มิตรภาพระหว่างเรากับเค้า
การต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ มีความหมายที่กว้างมากครับ พี่น้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำ เดี๋ยวเราก็จะรู้เองครับ เราฝึกไปเรื่อยๆ พระเจ้าจะทำงานในชีวิตของเรา และเราจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่าต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบมากกว่านี้ครับ
ทุกวันนี้คริสตจักรที่รับมานา พี่น้องหลายคนรับมานาแล้ว แล้วก็บอกว่า “ข้าพระองค์ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ” แต่พอถึงเวลา และเจอปัญหา ต่ำก็ไม่มี ถ่อมก็ไม่มา และเสียเปรียบก็ไม่เห็นใช่ไหมครับ แต่อย่างน้อยนะครับ เราเห็นความจริง เรารับการเปิดตา และเราเอามาฝึก อีกไม่นานครับ เราก็จะต่ำได้ ถ่อมได้ และเสียเปรียบได้
พระคริสต์เป็นคนก่อพระกาย ไม่ใช่พระกายก่อตัวขึ้นเองได้ คำสอนของบางกลุ่ม คือพระกายก่อตัวแต่ละส่วน ไม่ใช่งานหรือหน้าที่ของพระเยซู
มีผู้นำบางคนบอกว่า “คริสตจักรเป็นของอาจารย์นู่น นี่ นั่น…” อาจารย์เจ อาจารย์บังอร หรืออาจารย์อะไรก็แล้วแต่ แต่แท้ที่จริง คริสตจักรเป็นของพระเยซู พระเยซูเป็นสร้างครับ ไม่ใช่โบสถ์นี้ โบสถ์นั้น เป็นของอาจารย์คนนั้นคนนี้สร้าง อย่าไปเชื่อคำสอนที่เค้าบอกว่า “เป็นโบสถ์อาจารย์…ๆๆ” แต่เป็นโบสถ์ของพระเยซูครับ พระเยซูเป็นคนก่อตั้งคริสตจักร
ถ้าเรารู้ความจริงข้อนี้ เราก็จะไม่ห่วง ไม่กระวนกระวาย และไม่กังวล ใครจะอยู่ ใครจะไป หรือใครจะเป็นยังไง เราก็เอเมน เราสบายใจครับ
การช่วยเหลือจะมีมากหรือน้อยอยู่ที่กำลังทรัพย์ และขนาดของความเชื่อของคริสตจักร เรานำทุกเรื่องมาเสนอที่ประชุมเพื่ออธิษฐานเผื่อ และลงมือช่วยเท่าที่จะช่วยได้ แต่ถ้าหากไม่พร้อมที่จะช่วย ก็อธิษฐานเผื่อไปก่อน
ตัวอย่างการตัดสินใจของคริสตจักร:
พี่น้องคนหนึ่งมีเรื่องเดือดร้อน และมาหาพี่น้องอีกคนหนึ่ง
-----
พี่เดียร์:
“ตอนนี้มีเรื่องเดือดร้อน ขอความช่วยเหลือหน่อยค่ะ ขอยืมเงินหน่อยได้ไหมคะ หรือยืมคริสตจักรก็ได้ ต้องการเงินหนึ่งหมื่นบาท”
น้องอาร์ม:
“เดี๋ยวก่อนนะครับ เราจะไปคุยกับคริสตจักร แต่ก่อนอื่น เราอธิษฐานร่วมกันก่อนดีไหม”
พี่น้องก็อธิษฐานเผื่อปัญหาที่เค้ามีอยู่ และจากนั้นพี่น้องอาร์มก็ไปที่คริสตจักร ไปหาคณะผู้ดูแลคริสตจักร
-----
น้องอาร์ม:
“พี่เจ พี่บาส งานเข้าแล้วครับ ตอนนี้พี่น้องเดียร์กำลังเดือดร้อน”
พี่เจ:
“ครั้งที่แล้วเราก็ช่วยเค้าไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
-----
น้องอาร์ม:
“อ๋อ พี่เจครับ เค้ายังเดือดร้อนอยู่ เราจะทำยังไงดีครับ”
พี่เจ:
“งั้นก็… เรามาอธิษฐานเผื่อเค้า ว่าพระเจ้าจะให้เราทำยังไง เอเมนไหมครับ”
แล้วพี่น้องทั้งสามคนก็อธิษฐาน แต่ยังไม่ตัดสินใจ และยังไม่ไปบอกเค้า หรือพี่อาร์มอาจจะไปบอกเค้าว่า ให้รออีกซักนิด เรารอพระเจ้าตอบเราอยู่ นี่คือการตัดสินใจของคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ หรือคริสตจักรที่รับมานา
-----
น้องอาร์ม:
“พี่เดียร์ครับ รออีกซักหน่อยนะครับ ตอนนี้พวกเรากำลังรอคำตอบจากหัวหน้าของเราอยู่”
พี่เดียร์:
“น้องอาร์มคะ พี่รีบมากนะ เดือดร้อน ขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคำตอบ”
-----
น้องอาร์ม:
“ขอโทษครับพี่เดียร์ เราเร่งพระเจ้าไม่ได้ แต่ผมจะคุยกับพี่น้อง และอธิษฐานให้พระเจ้ากระทำกิจของพระองค์”
พี่เดียร์:
“งั้นก็โอเคค่ะ”
แล้วพี่น้องก็แยกย้ายกันไปทำงาน และไม่คิดอะไร แต่ก็อธิษฐานเผื่อพี่น้อง
-----
พี่เจ:
“โอ้ น้องบาส ผมเห็นว่าครั้งที่แล้วเราก็ช่วยเค้า แต่ไม่เป็นไร เราก็ยังพอมีทุนอยู่ในคริสตจักรพวกเราที่ยังไม่ได้ใช้ เรายังมีพอจ่ายค่าน้ำค่าไฟ และที่เหลือเราน่าจะช่วยเค้าได้นะ เค้าต้องการหนึ่งหมื่น แต่เราจะช่วยเค้าห้าพัน โอเคไหมครับ”
ขณะที่คุยกัน ในใจของพี่เจก็เร่าร้อนอยู่ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์นำอยู่ และน้องบาสก็ต้องมีพระวิญญาณตอบสนองเหมือนกัน ไม่ใช่น้องบาสไม่รู้สึกอะไร แต่พอพี่เจบอกและเค้าก็รับ แต่น้องบาสก็ต้องรู้สึกสัมผัสพระวิญญาณด้วย
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงาน ถ้าหากเรารอคอยคำตอบจากพระองค์ แต่คริสเตียนมากมายทุกวันนี้ประชุมเสร็จแล้วก็ให้เลย ไม่มีพระเยซูตัดสินใจ อันนี้ไม่ใช่คริสตจักรฝ่ายวิญญาณ
คริสตจักรฝ่ายวิญญาณ คือสองคนเร่าร้อน รับการเร่าร้อนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ตัดสินใจร่วมกันว่า จะให้ยืมห้าพัน และอธิษฐานขอบคุณพระเยซู
“พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ที่เป็นคำตอบ ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับห้าพันนี้ให้พี่น้องเดียร์”
-----
น้องอาร์ม:
“พี่เดียร์ครับ คำตอบมาแล้ว เราอาจจะไม่หนึ่งหมื่นนะครับ แต่ห้าพันโอเคไหมครับ”
พี่เดียร์:
“อ๋อ ห้าพันก็โอเคค่ะ เมื่อวานนี้มีคนให้มาแล้วห้าพัน เป็นหนึ่งหมื่นพอดี”
นี่คือการอัศจรรย์ นี่คือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเป็นลักษณะนี้ครับ
-----
ถาม:
และถ้าอธิษฐาน แล้วไม่รู้สึกอะไรล่ะคะ
ตอบ:
ก็รอไปก่อนครับ
-----
น้องอาร์ม:
“พี่เดียร์ครับ จะใช้คืนเมื่อไหร่ครับ”
พี่เดียร์:
“ปีหน้าค่ะ”
-----
น้องอาร์ม:
“ปีหน้า อืม เดี๋ยวเราดูก่อนนะครับ ถ้าคริสตจักรเรามีเงินใช้จ่ายเราก็จะไม่ทวงจากคุณ แต่ถ้าคริสตจักรเราขัดสนเราก็จะมาทวงนะครับ”
เราคุยหรือตกลงกับเค้า ไม่ใช่ยืมแล้วยืมเลย หรือลืมไปเลย เราก็เป็นลักษณะของธุรกิจเหมือนกัน แต่เราไม่เอาดอกเบี้ย เราคุยกับพี่น้องว่าเป็นเงินในคริสตจักร พี่น้องนำมาถวายเพื่อการงานของพระเจ้า ถ้าเรายืม เมื่อถึงเวลาเราก็เอามาคืน
พี่เดียร์:
“ขอบคุณมาก ขอบคุณมากพระเจ้ามากๆ ที่ผ่อนผันและช่วยเหลือ”
-----
นี่คือหนึ่งตัวอย่างของการตัดสินใจของคริสตจักร เราเห็นว่าดีไหมครับ อธิษฐานขอพระเจ้า ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา เพราะว่าที่ผ่านมาคริสตจักรตัดสินใจเอง ไม่มีพระเยซูคริสต์เป็นประมุข ผู้นำเป็นประมุขเอง เป็นคนตัดสินใจเอง
1 คร 1:30 พระเยซูเป็นพระสติปัญญาของเรา พระองค์เป็นคนคิดแทนเรา ตัดสินใจแทนเรา ขอให้เราฝึกในการดำเนินชีวิตแบบนี้ ทั้งในชีวิตประจำวัน ครอบครัว และชีวิตคริสตจักรด้วย เอเมน
ผมรู้นะครับว่ามันยาก ขั้นแรกในตอนเริ่มต้นมันจะยากมาก เราจะแยกไม่ออกว่า พระวิญญาณนำหรือพระวิญญาณไม่นำ แต่ยังไงก็ตามครับ เราฝึกไปเรื่อยๆ
คริสตจักรในอเมริกา ใช้เวลาหลายปีกว่าจะประสบความสำเร็จ ใช้เวลาเป็นปีๆ นะครับ ยากมาก พี่น้องจะเห็นปรากฏการณ์หลายอย่างปรากฏขึ้น จนพี่น้องต้องฮาเลลูยาห์ แต่ถ้าเราคุ้นเคยเราชินแล้ว เราจะขอบคุณพระเจ้า เราจะเห็นการทำงานของพระวิญญาณบ่อยมาก ผมจะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งให้พี่น้องฟัง
ในตอนกลางคืนของวันอังคาร เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องและคริสตจักร และเผื่อปัญหาต่างๆ เราตั้งเวลานี้เพื่อการสามัคคีธรรมอธิษฐานเผื่อโดยเฉพาะ คืนวันอังคารชั่วโมงหนึ่งหรือสองชั่วโมง
ผมเดินเข้าไปร่วมกับพี่น้อง แล้วก็นั่งลง เราไม่ได้เปิดแอร์ พัดลม หรือเปิดอะไร และห้องก็ปิดหมด มีบางอย่างผ่านผมไป ผมก็ถามตัวเองว่าอะไร เป็นพระวิญญาณ ซาตาน หรือเป็นอะไร แล้วต่อมารอบที่สอง บางอย่างก็ผ่านผมไปอีกแบบค่อยๆ ผมก็สะกิดคนที่อยู่ข้างๆ แล้วก็ถามว่า “สัมผัสอะไรมั๊ย” เค้าก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจ” เค้ารู้ว่าเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่
บางครั้งเราสัมผัสพระวิญญาณ หรือไม่สัมผัสพระวิญญาณ แต่เรามีความเชื่ออยู่แล้วว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางพวกเรา เอเมนไหมครับ
อย่าใช้อารมณ์ ความรู้สึก หรือสายตาเป็นเครื่องวัด หรือเป็นเครื่องตัดสินในชีวิตของเรา พระวิญญาณจะเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว แต่พระวิญญาณก็อยู่กับเราแล้ว ถ้าหากเราเชื่อแบบนี้ และฝึกชีวิตแบบนี้ สามัคคีธรรมและสรรเสริญยกย่องพระบิดาให้มันถูกมากที่สุด เราจะเห็นการเคลื่อนไหว และการทำงานของพระวิญญาณได้มากมาย
เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือคนยากจนขัดสนเรามีนะครับ เราควรจะทำ พี่น้องที่ถวาย เค้าก็ถวายด้วยใจรักพระเจ้า แต่พอถึงเวลาที่เค้าเดือดร้อน เราอย่าลืมเค้านะ
คริสตจักรทุกวันนี้ลืมคนที่ถวาย เวลาเค้าเดือดร้อนก็ไม่ให้ คริสตจักรเราเป็นไหม มีหลายคริสตจักรเป็นนะ คือเวลาถวายง่ายมาก เงินเข้าง่ายๆ แต่เงินออกยากๆ