มัทธิวบทที่ 5 กษัตริย์ก่อตั้งรัฐธรรมนูญใหม่ พระบัญญัติใหม่ ซึ่งนำพระบัญญัติเดิมและยกระดับขึ้นจากมาตรฐานของมนุษย์สู่มาตรฐานของพระเจ้า ให้ยากขึ้นให้มนุษย์ทำไม่ได้ และเมื่อมนุษย์ทำไม่ได้ก็จะยอมแพ้ และหันมาพึ่งพระเยซูคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณที่อยู่ในเรา
พระเจ้าจะเปิดตาคนที่ยอมแพ้ เราจะเห็นว่าพี่น้องคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ คือถ้าใครคนไหนยอมแพ้ พระเจ้าก็จะส่งมาพบมานาที่ซ่อนไว้ และรับไว้ เรียนรู้ รับเข้าไป กินเข้าไป ได้รับการเปิดตา ได้รับการปลดปล่อย ได้รับสันติสุข ความสงบสุข เลิกกลัวพระเจ้า
และในที่สุดเมื่อการฝึกฝนนานเข้า ก็จะเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง..
- จิตใจใหม่ ก็จะมา
- การถ่อม ก็จะมาแทนที่การอวดหยิ่งผยองพองตัว
- การรัก มากมากขึ้น อากาเปได้ ก็จะเข้ามาแทนที่ความโกรธและความรักแบบฟิเลโอ รักแบบเห็นแก่ตัว รักแบบมีเหตุผล ซึ่งใครมาทำไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่รัก เราก็จะรักไม่ได้
- และการรักโลกก็จะหายไป เพราะว่าเรารักพระเยซู การรักโลกแห่งฝ่ายวิญญาณ ปักใจในฝ่ายวิญญาณ อยู่ในพระวิญญาณ ก็จะมีมากขึ้น และเข้ามาแทนที่การรักโลกนี้
- และการหลงรักพระเยซูที่เป็นบุคคล ก็จะเข้ามาแทนที่การมีความใคร่ มีตัณหาของร่างกาย
ซึ่งกระบวนการการเปลี่ยนแปลงนี้จะใช้เวลามากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่ที่เราและพระเจ้าด้วย
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกคนเมื่อได้รับมานาที่ซ่อนไว้ แล้วก็มีสันติสุขมีความสงบสุขกับพระเจ้าไม่มากก็น้อยแล้ว
แต่ เมื่อเรายึดมั่นในพระคำพระเจ้า เมื่อเราเข้าใจบทเรียน 001 002 003 และ 004 ซึ่งเป็นบทเรียนที่ผมจัดเตรียมไว้ให้พี่น้องที่ขอกันมา และพี่น้องมากมายก็ได้รับสันติสุขแล้ว เข้าสู่ความสงบสุขในพระเจ้าแล้ว ไม่กลัวพระเจ้าแล้ว เมื่อทำบาปก็สารภาพกลับมาอยู่ในพระคริสต์ ไม่ให้โอกาสมารไม่เปิดโอกาสให้มัน
และจากนั้นไม่นานเราสะสมพระคำมากขึ้น มานาที่ซ่อนไว้ก็จะเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่บำรุงเลี้ยงชีวิตของเราให้เติบโตขึ้นได้ และเราได้รับการชำระด้วยพระคำพระเจ้า จากนั้นไม่นานการชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะตามมา
ในมัทธิวบทที่ 5 เราจะเห็นว่าการก่อตั้งรัฐธรรมนูญใหม่ของพระเยซูคริสต์ ก็คือคุณสมบัติ 9 ประการของประชากรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์
และพระเยซูกล่าวถึงว่า “ท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน คริสเตียน “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือและความสว่าง” ท่านทั้งหลาย บางคนก็มีรสเค็ม บางคนก็ไม่มีรสเค็ม แสดงว่า “ท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน ไม่ใช่ชาวโลก พระเยซูไม่ได้พูดถึงคนที่ไม่เชื่อใช่ไหม
และพระเยซูตรัสอีกว่า “ท่านทั้งหลาย” เป็นความสว่าง ก็คือท่านทั้งหลายก็คือผู้ติดตามพระเยซู ก็คือคริสเตียนนี่เอง และบางคนก็ส่องสว่างได้ บางคนก็เอากระบุงเอาถังครอบตะเกียงไว้ และทำให้ส่องสว่างไม่ได้
ซึ่งคริสเตียนที่ไม่มีรสเค็มและคริสเตียนที่ไม่สามารถส่องสว่างได้ ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปในอาณาจักร แต่จะถูกโยนออกไปข้างนอกที่เกเฮนา เพื่อรับการตีสอน และชาวโลกจะดูถูกเหยียดหยามเขาว่า คริสเตียนอะไรเชื่อพระเจ้ามีพระเยซู แต่ไม่มีปัญญาได้เข้าไปข้างใน
สาเหตุเพราะว่าคริสเตียนไม่ใช่คริสเตียน ครอบครัวคริสเตียนไม่ใช่ครอบครัวคริสเตียน คริสตจักรไม่ใช่คริสตจักรอีกแล้ว ซึ่งทุกวันนี้คริสตจักรตกขอบ คริสเตียนตกขอบ ครอบครัวตกขอบ จึงไปไม่ถึงไหนเลย เราจะเห็นว่าอาการ สุข ทุกข์ ดี บาป ขึ้นลง มันอยู่ในชีวิตของเราไปจนตลอดชีวิต
เพราะฉะนั้นเราขอบพระคุณพระเจ้าที่พี่น้องมากมายหลายท่านมาถึงจุดแห่งการเป็นผู้ชนะ มาถึงพระคำล้ำลึก มาถึงมานาที่ซ่อนไว้
และเราอธิษฐานเผื่อพี่น้อง ที่ไม่เข้าใจและต่อต้านขัดขวางขัดแย้ง คิดว่าเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่เป็นไร “เมื่อถึงเวลาของเขา พระเจ้าก็จะเปิดตา แต่ถ้าหากไม่ถึงเวลาของเขา เราก็ช่วยไม่ได้ เราก็ทำใจ แต่เรารักทุกคน รักพี่น้องเหล่านั้นและอธิษฐานเผื่อเขา เผื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะนำเขามาถึงการเป็นผู้ชนะได้ และมีส่วนครอบครองกับพระองค์ในยุคหน้าและชั่วนิรันดร์”
แล้วในมัทธิวบทที่ 5 บทเดียวกันนี้เอง พระเยซูตรัสถึง “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อที่จะลบล้างพระบัญญัติ เราไม่ได้มาเพื่อที่จะลบล้าง แต่เรามาเพื่อทำให้สำเร็จสมบูรณ์”
ก็คือพระเยซูมาเพื่อรักษาพระบัญญัติให้ครบ และเมื่อพระเยซูรักษาครบแล้ว พระเยซูตายแทนคนที่รักษาไม่ได้ทั้งชาวยิวและคนทั่วโลก และหลังจากนั้นพระเยซูก็ยกระดับขึ้นจากมาตรฐานของมนุษย์สู่มาตรฐานของพระเจ้า คือมนุษย์เนี่ยจะทำไม่ได้ คริสเตียนจะรักษาพระบัญญัติไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
แต่ทุกวันนี้น่าเศร้า ที่พี่น้องคริสเตียนมากมาย กำลังพยายามรักษาพระบัญญัติ และสอนผู้อื่นด้วยให้รักษาพระบัญญัติ แต่ไม่มีใครทำได้ และคริสเตียนเหล่านั้นไม่รู้ว่าถ้าเขาทำได้ 8 ข้อ 9 ข้อ และยังอีกข้อหนึ่งที่ทำไม่ได้ 8-9 ข้อนั้นก็จะเป็นโมฆะ (ยากอบ 2:10)
แต่สำหรับคริสเตียนที่ได้เข้าใจได้รู้แล้วว่า พระเจ้าประทานพระบัญญัติ แต่การรักษาพระบัญญัตินั้นไม่ใช่เราเป็นคนที่รักษา แต่พระคริสต์อยู่ในเรา ก็คือหลังจากที่พระเยซูยกระดับมาตรฐานพระบัญญัติให้สูงขึ้น พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเป็นพระวิญญาณ และพระองค์แจกจ่ายชีวิตของพระองค์เข้ามาอยู่ในผู้เชื่อแต่ละคน แต่ละคน เพื่อรอที่จะทำแทนเรา รอที่จะดำเนินชีวิตแทนเรา
หนังสือกาลาเทีย กาลาเทียบทที่ 5 ข้อที่ 22-23 กล่าวถึงผลของพระวิญญาณ แต่คริสเตียนไม่เข้าใจ เขาก็ยังใช้ผลของชีวิตเก่าของเขาอยู่ และเขาคิดว่าขอพระเจ้าเสริมกำลังให้ทำได้ และสิ่งที่เขาทำนั้นคิดว่าเป็นผลของพระวิญญาณ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ พระเจ้าไม่เคยประทานกำลังไม่เคยเสริมกำลังให้เราทำได้
เพียงแต่ตอนที่เราไปโบสถ์เราได้สัมผัสความรักอากาเป เรากลับมาบ้านเราคิดว่าพระเจ้ากำลังเปลี่ยนฉัน (โอ้ จิตใจใหม่นะเนี่ย ดีเหลือเกิน รู้สึกรักผู้คน รู้สึกอากาเปใครก็ได้) แต่เราทำได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง หรือไม่งั้นก็วันเดียวเท่านั้น หรือพรุ่งนี้ก็หายไป อาการอากาเปก็หายหมดไป และอาการฟิเลโอก็กลับมา
แต่ถ้าหากเราเข้าใจว่าพระคริสต์อยู่ในเรา เราถูกเปิดตาว่าเราตายแล้วสองพันปีก่อนกับพระเยซู และเราฟื้นขึ้นมาจากความตาย การรับบัพติศมาของเรา การรับเชื่อของเรา คือการยอมรับความจริงที่มันเกิดขึ้นแล้ว สองพันปีก่อนกับพระเยซูคริสต์ “เราจะเห็นว่าชีวิตใหม่ของเราจะเริ่มทำงาน พระเจ้าจะเริ่มเคลื่อนไหว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มเกิดผลในชีวิตของเรา”
เราเดินทุกวันด้วย กาลาเทีย 2:20 คือ “ข้าพเจ้าถูกตรึงแล้วกับพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” แต่เรามีพระคริสต์ที่อยู่ในเราดำเนินชีวิตแทนเราเพื่อเรา
และในมัทธิวบทที่ 5 นี้เอง ก็ยังมีพระบัญญัติใหม่ที่พระเยซูกล่าวถึงนะครับ ก็คือการโกรธเข้ามาแทนที่การฆ่าคน การล่วงประเวณีการมองผู้หญิงผู้ชายด้วยใจกำหนัด ก็คือการได้ร่วมประเวณีกับคนคนนั้นแล้ว
ต่อมาเป็นเรื่องการตัดมือ ตัดแขน ควักตา การตัดมือตัดแขนควักตา ก็คือควักใจ ตัดใจ ไม่ใช่ควักจริงๆ “นี่คือความหมายฝ่ายวิญญาณ” (พี่น้องคริสเตียนบางท่าน ผมได้ยินมาตั้งแต่ตอนที่เชื่อใหม่ๆ ก็คือมีพี่น้องบางคนมีคริสเตียนบางคนตัดมือเขาจริงๆ เพราะว่าเขาทำบาปบ่อยมาก)
และพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูข้อต่อมาก็คือการหย่าร้าง การกล่าวคำสาบาน การรักศัตรู การดำเนินชีวิตที่ยอมต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ ก็คือหันแก้มอีกข้างให้เขาตบ เดินไปอีกกิโล แล้วก็ถอดเสื้อคลุม ซึ่งอาการเหล่านี้เราทำเองไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนทำแทนเรา ซึ่งบางคนทำได้แต่เป็นการฝืนใจอย่างมากๆ และเราก็รู้แล้วน่ะว่าการฝืนใจก็เป็นบาปแล้วเป็นสิ่งที่ผิดแล้วต่อน้ำพระทัยพระเจ้า
และในตอนท้ายของมัทธิวบทที่ 5 พระเยซูสั่งให้เราอวยพรศัตรู รักศัตรู และอวยพรคนที่สาปแช่งเรา สุดท้ายพระเยซูสั่งให้เราว่าจงบริสุทธิ์ จงเป็นคนที่เพอร์เฟค เป็นคนที่ดีรอบคอบ เป็นคนที่ดีครบ
สรุป เราจะเห็นว่าในหนังสือมัทธิวบทที่ 5 รัฐธรรมนูญใหม่ของพระเยซู กฎหมายใหม่ของพระเยซู เราทำไม่ได้แน่นอน เพราะว่ายากกว่าพระบัญญัติเดิมอย่างมากมายหลายเท่า
แต่.. เรารู้แล้วว่าหนังสือยอห์นพระเยซูประทานพระผู้หนึ่งที่จะเข้ามาอยู่ในเรา คือพระองค์เองในสภาพของพระวิญญาณ เพื่อทำแทนเรา
หนังสือมัทธิวพระเยซูประทานพระบัญญัติให้เรา แต่หนังสือยอห์นพระเยซูประทานผู้หนึ่งที่จะมาเพื่อรักษาพระบัญญัติแทนเรา
พระบัญญัติ ก็คือเราทำเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย
แต่พระคุณ ก็คือพระเจ้าทำให้เรา แทนเรา เพื่อพระเจ้าเองจะพอพระทัยในชีวิตของเรา ที่การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำดีผ่านเรา
สรุป มัทธิวบทที่ 5 ก็คือหนังสือมัทธิวเป็นข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักร ซึ่งพระเยซูจะนำมาครอบครองในโลกนี้ และเราถ้าหากดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ ปัจจุบันนี้ เราสามารถมีผลของชีวิตใหม่ ความชอบธรรมเหนือกว่าฟาริสีและธรรมจารย์ เป็นเรื่องของการกระทำ ซึ่งความชอบธรรมนี้ไม่ใช่เสื้อที่ดีที่สุดที่เราสวมใส่ซึ่งเป็นชีวิตของพระเยซู อันนั้นเป็นความชอบธรรมต่อพระพักตร์พระบิดา พระเจ้ายอมรับเราว่าเป็นคนชอบธรรมแล้วต่อพระพักตร์พระบิดาเมื่อเราเชื่อ (ความชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า การได้สวมเสื้อที่ดีที่สุด ลก 15:22)
แต่การดำเนินชีวิตของเราจะต้องเหนือกว่าฟาริสีและธรรมจารย์ (ความชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ การได้สวมเสื้อที่เหมาะกับงานเลี้ยงยุคพันปี มธ 22:1-14) คือเราจะต้องมีชีวิตที่สามารถรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูในหนังสือมัทธิวได้ บทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7