การดำเนินชีวิตในพระคริสต์เพื่อรับสุขทุกวันเวลานาที และเพื่อรับพระวิญญาณรับน้ำมันเพื่อที่จะเติมให้เต็มในชีวิตของเราเพื่อการทำงานของพระเจ้า จะทำได้กับชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง
พี่น้องคริสเตียนส่วนมากไม่เข้าใจ คำว่า walk in the spirit หรือ เดินในพระวิญญาณ หรือว่า walk in the spirit ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Live in the spirit and walk in the spirit และ Live by the spirit and walk by the spirit
สองคำนี้จะเป็นคำที่มีความหมายคล้ายๆ กัน คือ "ดำเนินชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ" ก็คือการใช้ชีวิตอยู่ในพระวิญญาณในโลกของพระวิญญาณ ในฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์ในพระเจ้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า หรือในราชอาณาจักรสวรรค์ขณะที่เราร่างกายเรานี้ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่ความเชื่อของเราการดำเนินชีวิตของเรา เราจดจ่อที่อีกเบื้องจดจ่อที่อีกฝ่ายหนึ่ง คือ มิติ หนึ่งฝ่ายหนึ่ง โลกหนึ่งอาณาจักรหนึ่งซึ่งตาเรามองไม่เห็น (แต่เข้าไปได้ สัมผัสได้) อยู่ในนั้นได้มีประสบการณ์กับทุกสิ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าน้ำแห่งชีวิตพระวิญญาณบริสุทธิ์ น้ำมัน ชีวิต ได้รับการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยทางความเชื่อ คือ "เชื่อเอา"
ฟังดูแล้วเหมือนกับการหลอกตัวเองอยู่ใช่ไหม คือเราไม่เห็นเราไม่ได้สัมผัส แต่เราเชื่อว่าขณะนี้เราอยู่ในนั้น เราสัมผัสสิ่งนั้นเราได้รับสิ่งนั้น แต่เมื่อเราเชื่อมากขึ้น เรามีความเชื่อ พระวิญญาณก็ทำงานสำหรับพระเจ้า หลักการของพระเจ้า (ก็คือเชื่อก่อนจึงจะได้เห็น แต่สำหรับหลักการของมนุษย์เราก็คือ ขอให้เห็นก่อนจึงจะเชื่อใช่ไหม)
มนุษย์เราดำเนินชีวิตอยู่โดยการได้เห็นได้ยินได้สัมผัสจึงจะเชื่อ
แต่หลักการของพระเจ้าไม่เหมือนมนุษย์ คือถ้าอยากเห็นอะไรอยากสัมผัสอะไรอยากมีประสบการณ์อะไรในฝ่ายอีกฝ่ายในฝ่ายวิญญาณต้องเชื่อก่อน
อีกครั้งต้องเชื่อก่อนจึงจะได้เห็น ไม่เหมือนเราเห็นก่อนจึงจะเชื่อ
เพราะฉะนั้น การได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากพระคริสต์ที่อยู่ในเรา คือการเชื่อ แล้วน้ำแห่งชีวิตเราจะไม่ขาด เราจะไม่กระหายอีกเลย คือสันติสุขแล้วก็ชีวิตของพระวิญญาณที่กระจ่ายเข้ามาสู่จิตใจของเรา จากพระวิญญาณ มีมากขึ้นแล้วเราจะมีพลังความกระตือรือร้นร้อนรนในการรับใช้พระเจ้า ในการอยู่เพื่อพระเจ้า และเรามีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต
ที่จะนำเราให้ชนะความบาปได้ ใน 2 คร 5:7 พระวิญญาณบริสุทธิ์ตัดผ่านอาจารย์เปาโลว่า จงเดินด้วยความเชื่อ ไม่ใช่เดินด้วยตาเห็น คือ (live by faith not by sight) (เดินด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยตาเห็น) ความหมายก็คือการดำเนินชีวิตที่เราไม่อาศัยสิ่งที่ตาเห็นอยู่หรือหูได้ยิน หรือการสัมผัสของร่างกาย หรือความรู้สึกแต่เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือเชื่อในสิ่งที่ตายังไม่เห็น สิ่งเหล่านี้คือการดำเนิน ด้วยความเชื่อ
1 คร 1:30 บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้วนะ เราอยู่ในโลกพระวิญญาณแล้วเราอยู่ในพระวิญญาณแล้ว 1 คร 1:30 กล่าวว่า (โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญา ความชอบธรรม การแยกตั้งไว้ และการไถ่โทษ สำหรับเราทั้งหลาย) เพราะว่าพระเจ้า พระเจ้าเป็นคนทำเราจึงอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าเอาเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้วตอนนี้
โรม 6:3-6 กล่าวว่า เมื่อเรารับบัพติศมา ก็ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในการตายของพระเยซูคริสต์ แล้วก็ข้อที่ 4 กล่าวว่า เราฟื้นขึ้นมาจากตายร่วมกับพระเยซูและเรามีชีวิตใหม่ได้ คือทั้งทั้งที่ตาไม่เห็น ตายได้ยังไงเราก็นั่งอยู่ที่นี่ เราก็เพิ่งเกิดมาไม่นานนี้ใช่ไหมแล้วทำไม 2,000 ปีก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเราตายด้วยกับพระองค์ ถามว่า.. เป็นไปได้ยังไง ?
คำตอบ.. "เชื่อ" เชื่อเพราะเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน 2,000 พันปีก่อน พระเจ้านับเราพระเยซูนับเรารวบรวมมนุษย์ทั้งหมดเข้าไปตายกับพระเยซู แล้วการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออีกประการหนึ่ง ก็คือ โรม 5:1 ที่กล่าวว่าเราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วเราเป็นคนชอบธรรมแล้วเราเป็นคนบริสุทธิ์แล้วได้รับการชำระแล้ว คือ Justified สิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน คือการเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า คือการได้รับการ Justified หรือการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระโลหิต
ซึ่งเมื่อก่อนชาวยิวถ้าอยากเป็นคนชอบธรรม ถ้าอยากได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ก็คือการดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังรักษาพระบัญญัติให้ครบ แต่คริสเตียนอยู่ในหลักการใหม่ หลักการของพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ก็คือเรากลายเป็นคนชอบทำได้โดยทางความเชื่อ เมื่อเราเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ชำระเราโดยพระโลหิตแล้ว เราก็กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย (โรม 5:1 เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา) เราก็กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว 2 คร 5:17 ยืนยันอีกว่า เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
นี่คือสภาพใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา พระเจ้าชำระเราโดยพระโลหิต เรากลายเป็นคนชอบธรรมเป็นคนใหม่ แล้วสำหรับพระเจ้า ในลูกาบทที่ 15 ข้อ 22 พระเยซูคริสต์เป็นเสื้อที่ดีที่สุดเพื่อปกปิดเราจากพระบิดาเมื่อพระบิดามองเราจะไม่เห็นเรา แต่เห็นพระเยซูคริสต์ 1 โครินธ์ บทที่ 1 ข้อ 30 ยังกล่าวอีกใช่ไหมว่าพระคริสต์เป็นความชอบธรรมของเรา พระคริสต์บุคคลตัวตนของพระคริสต์เองที่เสด็จมาอยู่ในเราในสภาพของพระวิญญาณและปกปิดเราเป็นความชอบธรรมของเราทุกครั้งที่พระบิดามองเราก็เห็นพระคริสต์และเห็นว่าเราเนี่ยเป็นคนชอบธรรมแล้ว
ในพระคัมภีร์อีกข้อคือ เอเฟซัส บทที่ 2 ข้อที่ 6 กล่าวว่า (และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์) ปัจจุบันนี้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระบิดาในพระคริสต์ เป็นไปได้ยังไงขนาดนี้เราอยู่ในโลกใช่ไหม แต่โดยทางความเชื่อโดยฝ่ายวิญญาณและในพระคริสต์ไม่ใช่ในอาดัม ปัจจุบันนี้ เรายืนอยู่ที่นี่เรากำลังนั่งดูที่บ้าน เรากำลังนั่งฟังอยู่และเรากำลังทำอะไรอยู่สักอย่างหนึ่งแต่โดยทางความเชื่อ พี่น้องทำอะไรอยู่ก็ช่าง ไม่สำคัญแต่สำหรับพระเจ้า สำหรับพระเจ้าเราตอนนี้อยู่ในสวรรค์นั่งอยู่กับพระบิดาแล้วนะ
โดยทางความเชื่อเราตอนนี้ขณะนี้นั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระบิดา ในพระคริสต์ในพระคริสต์ ไม่ใช่ด้วยตัวเราเองแต่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ที่ไหนเราก็อยู่ที่นั่นวิญญาณไม่มีขีดจำกัดเราอยู่ที่นี่ขณะนี้ และในขณะเดียวกันเราก็อยู่ในสวรรค์สถานกับพระบิดา เรานั่งอยู่กับพระองค์ในพระคริสต์ถึงแม้ว่าขณะนี้เราจะอยู่ในโลกนี้ใช่ไหมโลกนี้เป็นอาณาจักรของอาดัม
แต่โดยความเชื่อ ด้วยความเชื่อเราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อทั้งทั้งที่ตาไม่เห็น โคโลสี บทที่ 1 ข้อ 13 (พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในอาณาจักรแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์) กล่าวว่าเราถูกย้ายจากอาณาจักรของอาดัม ซึ่งเป็นอาณาจักรที่ซาตานครอบครองปกครองแล้ว
ปัจจุบันนี้เราถูกย้ายแล้วเราถูกย้ายไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรของพระคริสต์หรืออาณาจักรของพระเจ้าซึ่งตาไม่เห็นนะตอนนี้เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ เราอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าเราอยู่ในฝ่ายวิญญาณเราอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ตามองไม่เห็น แต่เมื่อเราเชื่อ เราได้สัมผัสเราได้ประสบการณ์กับชีวิตสันติสุข พระวิญญาณบริสุทธิ์อำนาจฤทธิ์เดช ทุกสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณที่เป็นพระพรที่พระเจ้าประทานให้เราแล้ว และการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ โดยความเชื่อ โดยความเชื่อ เราเชื่อว่าเราตายทุกวันและเราเป็นคนใหม่ทุกวัน
ลก 9:23 / 1 คร 15:31 คือการตายทุกวันโดยทางความเชื่อ เราตายต่อตัวเก่าทุกวัน และเรามีชีวิตในตัวใหม่ทุกวัน ดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ในพระวิญญาณ และการดำเนินชีวิตโดยทางความเชื่ออีกอันหนึ่ง ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตใหม่นี้ให้เราแล้ว แล้วก็เราได้รับจิตใจใหม่แล้ว วิญญาณใหม่ ทุกสิ่งใหม่หมดแล้ว
เมื่อเราเชื่อมากเท่าไหร่และเราดำเนินชีวิตเรานับทุกวันทุกเวลาทุกนาทีว่าเราถือว่าเราชีวิตนี้เป็นชีวิตใหม่แล้ว พระเจ้าให้จิตใจใหม่แล้ว ให้วิญญาณใหม่แล้วให้ทุกสิ่งใหม่หมดแล้ว เราดำเนินชีวิตด้วยตัวใหม่นี้ ด้วยบุคคลที่ใหม่นี้ เราจะเห็นจิตใจใหม่ธรรมชาติใหม่การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ให้เราเกิดผลแห่งพระวิญญาณใน กท 5:22-23 เราจะเห็นว่าพระคัมภีร์เอเสเคียล บทที่ 36:26-27 (เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และจะให้ใจเนื้อแก่เจ้า และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเจ้าจะรักษาคำตัดสินของเราและกระทำตาม)
กล่าวถึงสัญญาที่พระเจ้าสัญญาจะให้จิตใจใหม่แก่เรา วิญญาณใหม่แก่เราเราและคำตอบอยู่ที่ ยอห์นบทที่ 20:22 (ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด") พระเยซูตรัสว่าจงรับพระวิญญาณเถิด คือการแบ่งวิญญาณแจกวิญญาณของพระองค์ หรือชีวิตของพระองค์เป็นบุคคลไปสู่สาวก และจากนั้นเขาก็ได้บังเกิดใหม่ และกิจการ บทที่ 2 มีผู้เชื่อมากมายหลายคนที่ได้บังเกิดใหม่มีทางเดียวเท่านั้นที่จะดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เราไม่ต้องพยายามทำดีเชื่อฟังพระเจ้าเพื่อให้ได้กลายเป็นคนใหม่แต่การเป็นคนใหม่เป็นคนชอบธรรม
คือ เราเป็นโดยทางความเชื่อ สำหรับชีวิตคริสเตียนไม่มีอะไรอีกแล้วที่เราจะต้องทำพระเจ้าทำให้หมดแล้วพระเจ้ากระทำตั้งแต่เริ่มจนถึงสุดท้ายในชีวิตของเรา สิ่งที่เราควรทำ ก็คือเชื่อก่อน และเราจะเชื่อได้เราก็ต้องแสวงหาขุดค้นเสาะหาความจริง ก่อนว่าเราเป็นอะไรพระเจ้าทำอะไรกับชีวิตของเรา พระเจ้าสร้างเราใหม่แล้วให้เราบังเกิดใหม่มีชีวิตใหม่ มีพระคัมภีร์หลายตอนที่ยืนยันเรื่องเกี่ยวกับการได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า
เมื่อกี้เราพูดถึง เอเสเคียล บทที่ 36:26-27 ที่เป็นสัญญาของพระเจ้าที่จะให้จิตใจใหม่ ชีวิตใหม่วิญญาณใหม่แก่เรา และยอห์นบทที่ 20:22 พระเยซูระบายลมปราณระบายวิญญาณ แบ่งให้สาวกทั้งหลาย และยอห์นบทที่ 14:16 พระเยซูตรัสว่าเราจะประทานผู้หนึ่งอยู่กับท่านและจะอยู่กับท่านตลอดไป ภาษาอังกฤษก็คือ (Forever) แล้วคำว่า (Forever) หรือตลอดไปนี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเราจะไม่ออกไปจากเราไม่พลากจากเราไปไหนเด็ดขาดตั้งแต่นั้นมา
กท 2:20 กล่าวว่า (ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า)
การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อหรือโดยทางความเชื่อ ขณะที่พี่น้องมากมายขอกันเหลือเกินขอพระพรขอสันติสุขของพระวิญญาณแต่แท้ที่จริงพระเจ้าอวยพรเราแล้วเราได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณครบทุกประการใน เอเฟซัส 1:3 (จงถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงโปรดประทานพระพรฝ่ายวิญญาณแก่เราทุกๆ ประการในสวรรคสถานโดยพระคริสต์)
กล่าวว่าพระเจ้าทรงประทานพระพรฝ่ายวิญญาณให้แก่เราแล้วทุกประการ พระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า (Blessed) ก็คือ มี ed มีตัว e และตัว d อยู่ข้างหลังของ Bless ความหมายก็คือ เป็นอดีตกาล เป็นความหมายเดียวกับภาษากรีก ที่กล่าวถึงว่าพระเจ้าอวยพรเราแล้ว เราจะขอทำไมถ้าพระเจ้าให้แล้วใช่ไหม แต่พี่น้องคริสเตียนส่วนมากยังไม่เข้าใจ คิดว่าไม่มีก็เลยขอและไม่รู้วิธีการรับสันติสุขจากพระเจ้าและรับพระวิญญาณจากพระเจ้าให้เต็มล้นทุกวันทุกเวลาได้
การรับสันติสุขการได้ประสบการณ์ได้เข้าสู่สันติสุขหรือการเติบโตในชีวิตใหม่ฝ่ายวิญญาณพระวิญญาณเคลื่อนไหวทำงานมากขึ้นทุกวันก็คือการเชื่อ เชื่อว่าได้รับเชื่อว่ามีอยู่เชื่อว่าพระเจ้าประทานให้แล้ว จากนั้นเราก็ขอบพระคุณขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ชีวิตคริสเตียนอยู่เพื่อขอบพระคุณ และสรรเสริญและยกย่องพระเจ้าเมื่อเราขอบพระคุณมากเท่าไรขณะที่เราอธิษฐานอยู่ เราขอบพระคุณ เรายกย่องเราเชื่อว่าน้ำแห่งชีวิตสันติสุขจะพุ่งกระจายจากวิญญาณมาสู่จิตใจของเรา (เชื่อว่ารับพระวิญญาณและสันติสุขเข้ามา)
ทำให้จิตใจที่เหี่ยวแห้ง แห้งแล้ง หิวกระหาย จิตใจไม่เป็นสุข วนกระวายทุกสิ่ง จะถูกดับหมดเพราะเหตุพระเจ้านำสันติสุขที่มาจากวิญญาณ เข้าสู่จิตใจของเรา ส่วนเรื่องการเติบโตชีวิตใหม่ น้ำมันพระวิญญาณเข้ามาเต็มล้นในเราทุกวันทุกเวลาได้ เนื่องจากการสามัคคีธรรมสนิทในพระคริสต์ พระคริสต์สนิทในเราพูดคุยสนทนากัน ชีวิตที่เปลี่ยนแท้ที่จริงเราควรจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวิญญาณหรือจากพระคริสต์ทุกวันทุกเวลาทุกนาที ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งอธิษฐาน 3 - 4 ครั้ง ลุกขึ้นจากการอธิษฐาน การอ่าน เราก็ไปทำสิ่งอื่นไปทำอะไรก็ได้ตามใจ
มันเป็นความเข้าใจที่ผิดการดำเนินชีวิตที่แท้จริงของคริสเตียนต้องสนิทอยู่กับพระคริสต์ทุกวันทุกเวลานาที เราจะแบ่งออกเป็นชั่วโมงได้ ถ้าลืมชั่วโมงนี้เริ่มต้นใหม่และการดำเนินชีวิตในฝ่ายวิญญาณอยู่ในพระคริสต์ในพระวิญญาณ คือเราเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว (1 คร 6:19-20) ด้วยพระโลหิตพระเจ้าจ่ายราคาแพงมากสำหรับชีวิตของเรา คือแลกด้วยพระโลหิต เพราะฉะนั้นพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตของเราแล้วและทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีเป็นของพระเจ้าหมดแล้ว พี่น้องส่วนมากมักจะเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้าต้องการ 10% ของเราใช่ไหม เรามักจะพูดถึงสิบลดบ่อยๆ (ยิวจ่ายสิบลด-คริสเตียนจ่ายร้อยลด) คืออิสราเอลเป็นประชากรของพระเจ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่เขาไม่ได้เป็นบุตรที่แท้จริงบุตรฝ่ายวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ โดยที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาบันดาลให้ชีวิตของเขาเกิดใหม่ เพราะฉะนั้นอิสราเอลเป็นประชากรของพระเจ้า แต่ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของพระเจ้า เพราะว่าไม่เคยบังเกิดใหม่เขาจ่ายให้พระเจ้าสิบลด 10% ของทุกสิ่งที่มี
"แต่สำหรับคริสเตียนเราได้บังเกิดใหม่พระเจ้าซื้อเรา ซื้อเราแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์แล้ว เราไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรจากพระเจ้า เราตื่นตาขึ้นมาเราบอกว่าชีวิตของข้าเป็นของพระเจ้าแล้ว มือนี้เป็นของพระเจ้าแล้ว ตาเป็นของพระเจ้าปากจมูกทุกสิ่งหูเป็นของพระเจ้าหมดเเล้ว เราถวายชีวิตนี้ให้พระคริสต์ที่อยู่ในเราดำเนินชีวิตแทนเราและเพื่อสำแดงพระองค์ออกมาให้โลกเห็น พระเจ้าได้รับเกียรติ เราได้รับพระพร เราได้รับรางวัล"
และการดำเนินชีวิตโดยทางความเชื่อ อีกประการที่บอกจากพูดถึง ก็คือ กท 6:14 ที่กล่าวว่า (แต่พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าอวดตัวนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก) เราก็รู้ดีนะว่าพี่น้องคริสเตียนส่วนมากในทุกวันนี้ เราไม่ค่อยใส่ใจในพระคำพระเจ้า และการดำเนินชีวิตของเราห่างไกลจากพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์มาก
และความจริงเหล่านี้การดำเนินชีวิตโดยวิญญาณในวิญญาณ ในพระวิญญาณในพระคริสต์ คือการเชื่อ เชื่อในสิ่งเหล่านี้คือเราอยู่ในพระคริสต์แล้วในโลกวิญญาณแล้ว ในอาณาจักรพระเจ้าแล้ว เรานั่งบนสวรรค์ใกล้พระบิดาในพระคริสต์แล้ว และเราเป็นคนใหม่แล้ว พระเจ้าซื้อเราแล้วเราถูกย้ายจากอาณาจักรของอาดัมซึ่งเป็นอาณาจักรของซาตานที่ครอบครองอยู่ ย้ายเราไปอยู่ที่อาณาจักรของพระคริสต์ที่พระบุตร เรากลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว
ทุกวันนี้เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เมื่อเราทำบาปเรียกว่าคนชอบธรรมทำบาป สำหรับคนที่ไม่เชื่อเขาทำดีมากเท่าไหร่ สำหรับพระเจ้าคือคนบาปทำดี แต่สำหรับเราคือคนดีไปทำบาปคนชอบธรรมทำบาป การดำเนินชีวิตของเราเราทำบาปทำชั่วอะไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนสภาพการณ์สถานการณ์ของเราที่เป็นคนชอบธรรมได้ สำหรับมนุษย์เรามักจะคิดในแง่นี้ใช่ไหม คือถ้าคนดีไปทำชั่วก็กลายเป็นคนชั่วใช่ไหม แต่สำหรับพระเจ้าคนดีคนชอบธรรมคนบริสุทธิ์เป็นบุตรพระเจ้าแล้ว ถ้าเราไปทำบาปก็เรียกว่าคนดีทำบาป ไม่ได้เปลี่ยนเราให้กลับกลายไปเป็นคนบาปอีกต่อไป
ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะดำเนินชีวิตในความเชื่อโดยความเชื่อ เราจดจ่อในฝ่ายวิญญาณในพระวิญญาณ ในฝ่ายที่ตามองไม่เห็น เมื่อเราจดจ่อใส่ใจในฝ่ายนั้นมากเท่าไหร่ เราก็จะได้สัมผัสและมีประสบการณ์ได้รับฤทธิ์เดช เห็นอำนาจพลังงานการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เห็นแม่น้ำแห่งชีวิตเห็นชีวิตที่กระตือรือร้น เราไม่อ่อนล้าในการทำดี และเราจะดำเนินชีวิตในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอ การสนิทกับพระเจ้าในลักษณะนี้จะช่วยให้เราได้มีโอกาสเติบโตเข้าสู่การเป็นผู้ชนะได้