ในเอเฟซัสบทที่ 2 ข้อที่ 8-9 ภาษากรีกใช้คำว่า ท่านทั้งหลายได้รอดแล้ว ไม่ใช่กำลังจะรอด หรืออาจจะรอด หรือพยายามทำตัวให้ดีชอบธรรมไม่ทำบาปถึงจะรอด แต่พระคัมภีร์บอกว่าท่านทั้งหลายได้รอดแล้ว ความหมายนี้ลึกซึ้งมาก
แล้วก็ เราจะเห็นว่าเปาโลพูดถึงเรื่องความรอดโดยพระวิญญาณ คือความรอดเป็นของขวัญ (gift) ของขวัญ ก็คือให้เราฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องทำงานไม่ต้องทำอะไรเพื่อแลกกับความรอด ก็คือยื่นมือไปรับเอาสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ ก็คือเราเปิดใจแล้วก็ยินดีรับเอาความรอดที่พระเจ้าประทานให้เราโดยฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเพื่อจะแลก เราขอบพระคุณพระเจ้า
นี่คือความหวังที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เนื่องจากว่าพระเจ้ารับความชอบธรรมของชาวยิวทันทีที่เขาชอบธรรม เขาไม่ทำบาป เขานำแกะไปถวายนำสัตว์ไปถวายเครื่องบูชาไถ่บาป เขาก็กลับมาสู่สถานะของคนชอบธรรม
แต่สำหรับเรา เพียงแค่เราเชื่อ เราต้อนรับพระเยซู เราวางใจในพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แค่เพียงเราเชื่อในพระเยซูเท่านั้น เราก็จะกลายเป็นคนชอบธรรม เท่ากับคนยิวที่เคร่งศาสนาที่รักษาพระบัญญัติได้ครบ แต่เราไม่ได้รักษาอะไรเลย เรารับเอาความรอดซึ่งเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้เราผ่านพระเยซูคริสต์ โดยพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ตายไถ่บาปแทนเรา สรรเสริญพระเยซู
และความสุข ความสุขที่โลกต้องการที่โลกแสวงหา ความสุขที่มนุษย์พยายามทำทุกสิ่ง ใช้เงิน เดินทางไปเที่ยวรอบโลก หรือไปทำอะไรเพื่อให้มันเกิดความสนุกสนาน เกิดให้มีความสุข แต่เราได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมีคุณค่ามากกว่านั้น ก็คือมันเป็นความสุขที่ออกมาจากภายในจากวิญญาณของเราก่อน สู่ใจ แล้วก็กระจายไปสู่ร่างกาย เราจะมีสันติสุขได้ทุกวันทุกเวลานาทีเพียงแค่เราเชื่อว่าเรามีแล้ว เพราะว่าเมื่อเราได้กลายเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าไถ่เรา เรากลายเป็นบุตรพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ อีกก็คือความสุข ซึ่งเป็นความสุขภายในภาษาอังกฤษเรียกว่า (Joyfulness) สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่ภายในของเรา ซึ่งพระเจ้าให้เราเรียกว่าสันติสุขที่ได้มาโดยฟรีๆ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้รับ peace - peace ก็คือความสงบสุข และ Joyfulness ก็คือสันติสุข ได้รับทั้งสองอย่างสรรเสริญพระเยซู
คือมันมีมากมายหลายสิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้าเมื่อเราเชื่อ เราเพียงแต่เชื่อพระเยซู แล้วเรากลายเป็นบุตรพระเจ้า เมื่อเรากลายเป็นบุตรพระเจ้า พระพร สันติสุข มากมายหลายสิ่งพระเจ้าให้เราฟรีๆ ขอเพียง แต่เราเชื่อเอา และยังไม่พอ คือเราอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลาเราจึงจะเห็นผลแห่งสันติสุข เห็นผลแห่งพลังยิ่งใหญ่ เห็นผลของการดูแล ปกป้องปกปักรักษา ช่วยเหลือ นำพาเราในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ในการทำธุรกิจ การงาน ในการทำไร่ไถนา ในการทำทุกสิ่ง ในการดำเนินชีวิต ขอเพียงแต่เรารักษาตำแหน่งของเราให้อยู่ในพระคริสต์ พิกัดของเราอย่าให้ออกจากพระคริสต์ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะกระทำกิจภายในเรา และให้เราเห็นการอัศจรรย์
เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์เสด็จมาเพื่อเป็นพระผู้ช่วยไถ่บาป พระองค์มา คือประทับลา นั่งลา ไม่ได้ขี่ม้า แล้วก็มาในฐานะของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเจ้าพระผู้ไถ่ที่แท้จริง พระองค์ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่มาในฐานะของผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้ชาวยิวผิดหวัง
ชาวยิวหลายคนผิดหวัง แต่คนที่เข้าใจ และแสวงหาความรอดความสุขชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ก็จะรับการเปิดตา และก็ถูกเรียกถูกเลือกเข้ามาสู่การเป็นบุตรของพระเจ้า และในที่สุดผู้ที่เสด็จบนลามานี่แหละ คือผู้ที่โลกใฝ่ฝันโลกแสวงหา เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้รู้จักได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์องค์นี้ สรรเสริญพระเจ้า เอเมน
ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ให้ความเข้าใจกับพวกเราเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูที่มาในฐานะของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้มาตายเพื่อไถ่บาปพวกเรา เป็นพระเจ้าที่มาไถ่วิญญาณก่อน พระองค์ไม่ได้มาเพื่อช่วยชนชาติอิสราเอล และปลดปล่อยพวกเขาออกจากการเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน
และเราขอบพระคุณพระองค์เราทั้งหลายได้กลายเป็นบุตรของพระองค์ทางความเชื่อ เราสรรเสริญพระเยซูที่พระองค์ประทานพระพร บำเหน็จ พลัง ชีวิตที่ครบบริบูรณ์แล้วในเรา เราขอบคุณพระเยซูสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้ และประทานให้เราแล้ว เพียงแค่เราอยู่ในพระคริสต์ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เช้าจนค่ำ อยู่ในการสรรเสริญ ยกย่อง ขอบพระคุณ สนทนา พูดคุย อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน แล้วชีวิตที่มีความหวังเวลาจะย่อให้สั้นลง อากาศร้อนข้างนอกภายนอก แต่ภายในหัวใจของเรามัน ชุ่มชื่น ชุ่มชื้น เย็นฉ่ำ และมีความสงบสุขภายในหัวใจ สรรเสริญพระเจ้าที่ให้สันติสุขนี้เกิดขึ้นกับพวกเรา เอเมน
ถาม.
คำว่า 'โฮซันนา' กับ 'ฮาเลลูยา' นี้ความหมายต่างกันไหมครับ
ตอบ.
คำว่า ฮาเลลูยา ก็คือสรรเสริญ ยกย่อง
แต่คำว่า โฮซันนา ก็คือ save us Lord save mow - save mow ก็คือขอช่วยเดี๋ยวนี้ ถ้าเราจะอ่านทั้งหมดตอนที่ชาวยิว และชาวต่างชาติพูดว่า 'โฮซันนา' ก็คือตอนนี้ชาวยิว และต่างชาติเขาพูดว่า ขอพระองค์ช่วยเราเดี๋ยวนี้เถิด มาช่วยเถิด ต้องการความช่วยเหลือด่วน
เนื่องจากว่าชาวยิวเขารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดของเขานานแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าจะมีพระคริสต์มาไถ่ชนชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน คือเขาไม่ไหวแล้วถูกข่มเหง เขาถูกข่มเหงจากอาณาจักรโรมัน ซึ่งไม่ไหวแล้ว ก็เลยขอความช่วยเหลือ ขอร้องให้พระเจ้าช่วยเขาโดยรีบด่วน 'โฮซันนา' ก็คือช่วยด้วย เป็นคำง่ายๆ นะครับ 'ช่วยด้วย' แต่คำว่า 'ฮาเลลูยา' ก็คือ 'สรรเสริญพระเจ้า'
...
ถาม.
2 เปโตร 3:8 ในวันหนึ่งของพระเจ้าเท่ากับพันวันในโลก หมายความว่าอย่างไรคะ
ตอบ.
คือสำหรับโลกฝ่ายวิญญาณ โลกฝ่ายวิญญาณไม่มีเวลา ไม่มีนาฬิกา เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการสื่อ ต้องการบอกเราผู้เชื่อทั้งหลายให้เข้าใจ ถึงจะช้ามากจะนานมาก แต่สำหรับพระเจ้าก็คือวันเดียว และถึงแม้ว่าจะเป็นพันๆ ปี สำหรับพระเจ้า ก็คือวันเดียว คือกระพริบตาเดียว คือโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาปุ๊บ แล้วอีกไม่นานต่อมาโลกก็จะจบ สำหรับพระเจ้า ก็คือมันไม่มีเวลา ไม่มีกำหนด
อย่าลืมนะครับโลกวิญญาณเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากนาฬิกาจากเวลา เพราะฉะนั้นไม่มีเวลาครับ จะนานเท่าไหร่หรือจะเวลาแค่กระพริบตาเดียวก็ไม่สำคัญสำหรับพระเจ้า คือมันเหมือนเร็วมาก อันนี้มันมีส่วนซึ่งเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของคริสเตียน
เราก็เหมือนกัน ถ้าใครที่อยู่ในฝ่ายวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน อยู่ในพระคริสต์ตั้งแต่เช้าจนค่ำ เช้า สาย บ่าย เย็น เวลาไหนก็แล้วแต่ อยู่ในพระคริสต์ๆๆๆ ฝึกชีวิตดำเนินอยู่ในพระวิญญาณ เราจะเห็นว่าเวลามันวิ่งไปเร็วมาก ทั้งๆ ที่เวลามันก็เท่าเดิม ชั่วโมงของโลกมันก็เท่าเดิมมันก็เป็นชั่วโมงหนึ่ง แต่สำหรับผู้เชื่อมันเหมือน 2-3 นาที 5 นาทีหรือ 10 นาที
เราทำงานเราดูนาฬิกา ทำไมถึงเวลาเที่ยงแล้ว ถึงเวลาไปทานข้าวแล้ว แล้วปุ๊บปั๊บทำงานอีกหน่อยถึงเวลากลับบ้านแล้ว คือทำอะไรก็ตามที่มันดูเหมือนนาน ชาวโลกเห็นว่า โอ้ ทำไมถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ถึงเที่ยงเลย ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยง เมื่อไหร่จะเลิกงาน นี่คือปัญหาของมนุษย์ของคนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่เป็นคริสเตียนฝ่ายศาสนา แต่สำหรับเรามนุษย์วิญญาณเวลามันเร็วมาก ใครที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างเอเมนไหมครับ ทำอะไรก็ราบรื่นแล้วเวลาเดินไปเร็วมาก
เราจะเห็นว่าแม้แต่คริสเตียนเองก็ยังบ่นใช่ไหม เมื่อไหร่พระเยซูจะมา เมื่อไหร่พระเยซูจะมา แล้วตอนนี้มันน่าจะหกพันปีผ่านไปแล้วใช่ไหม ตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าสร้างโลก แต่สำหรับพระเจ้าเวลามันแค่นิดเดียว เพราะฉะนั้นอีกกี่พันปีก็ตามสำหรับพระเจ้าก็คือแป๊บเดียว แล้วเดี๋ยวพระเจ้าก็มา แล้วคนที่เป็นมนุษย์วิญญาณก็จะเข้าใจ เข้าใจหัวใจของพระเจ้า และเข้าใจเรื่องกาลเวลา
...
ถาม.
สมมุติว่ามนุษย์ไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ทำบาปในยุคนั้น หมายถึงว่าเราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระเจ้าตลอดไปแล้วก็ไม่มีกลางวันกลางคืนด้วยหรือเปล่าค่ะ ตั้งแต่วันที่อาดัมกับเอวาถ้าเขาไม่เชื่องู ไม่ได้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือเชื่อฟังพระเจ้า ก็จะไม่มีบาปเกิดขึ้นใช่ไหมคะ ก็จะไม่มีความตายเกิดขึ้นใช่ไหมคะ เราก็จะอยู่ทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับว่ามันไม่มีกลางคืนหรือเปล่าคะ
ตอบ.
ต้องมีกลางคืนครับ อย่าลืมนะครับที่พระเจ้าบอกว่ามีกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาหนึ่งวัน
...
ถาม.
แต่กลางคืนของพระเจ้าตั้งแต่สมัยอาดัมกับเอวาอยู่ในสวนเอเดน คือกลางคืนของพระเจ้า แต่ว่ามันไม่ใช่การเดินอยู่ในความมืดใช่ไหมคะ
ตอบ.
สำหรับพระคัมภีร์ที่เอ่ยถึงคำว่า เดินในความมืด ก็คือเดินในการบาปเดินในเนื้อหนัง
ส่วนเวลากลางวันกลางคืนในสวนเอเดนตอนที่อาดัมเอวายังไม่ได้ทำบาป ก็คือมีตอนที่เวลาที่ฟ้ามืดตะวันตกดินแล้วก็มีกลางคืนครับ "แต่ไม่ได้หมายความว่าเดินในกลางคืนเหมือนในพระคัมภีร์ใหม่ที่เอ่ยถึง" เดินในกลางคืนฝ่ายเนื้อหนังฝ่ายร่างกาย ก็คือมีกลางวันและกลางคืน มีตอนที่เวลามืด
แต่เดินในเวลากลางคืนของฝ่ายวิญญาณ ก็คือเดินในความบาป เดินในเนื้อหนัง เดินในชีวิตเก่าตัวเก่าอาดัม