สำหรับเรื่องชีวิตผู้ชนะ หรือพระคำล้ำลึก หรือความจริง สิ่งนี้เป็นการฝ่ายวิญญาณที่มนุษย์.. คือมนุษย์ตกต่ำ มนุษย์มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเขาตกอยู่ในรูปแนวศาสนา มีศาสนาตั้งแต่เกิด มีศาสนาอยู่ในชีวิตประจำชีวิต ไปที่ไหนก็มีศาสนา ศาสนา คำสอนก็คือการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ คำสั่งสอนเพื่อที่จะให้ได้รับพร รับอะไรตามที่เขาปรารถนา
เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ยากมากที่มนุษย์จะมาเข้าใจเรื่องพระคุณ แม้แต่ความรอดที่คริสเตียนไปบอกคนทั่วไปที่นับถือศาสนาอื่นว่า เชื่อพระเยซูแล้วได้รอด เขาก็จะถกเถียง เขาก็จะมีเกิดความคิดที่ขัดแย้ง เราเองสมัยก่อนก็เหมือนกัน ทำไมมันง่ายจัง นี่คือคำถามแรกที่เขาจะถาม มันเป็นไปไม่ได้หรอกมันง่ายมาก คือต้องทำดีต้องทำตามกฎถือศีลอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด การที่จะไปสวรรค์การที่จะรอดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ก็เลยทำให้มนุษย์ที่ตกต่ำรับไม่ได้
ทีนี้พอมาถึงการพูดถึงชีวิตผู้ชนะ เส้นทางของผู้ชนะเป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ คือเราไม่ได้ทำอะไร แต่ให้พระเยซูทำแทน พระเยซูดำเนินชีวิตแทนเรา เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าจะเปิดเผยกับใครพระเจ้ารู้ดีว่ามนุษย์ เปโตร มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น สาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกที่เดินไปกับพระเยซูติดตามพระเยซูไป 3 ปีกว่า ได้ยินถ้อยคำของพระเยซู แต่รับรองเขาจะไม่เข้าใจ
เราเห็นน่ะว่าตั้งแต่กิจการบทที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เราพบว่าสาวกทั้งหลายก็ยังไปนมัสการร่วมกับชาวยิวที่พระวิหาร แล้วก็ไปที่ธรรมศาลา แล้วก็ยังมีความเชื่อที่ปะปนที่ผสมกับพระบัญญัติเดิมอยู่ จนกว่าพระเจ้าค่อยๆ เปิดเผย ยากอบ เปโตร ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่า เราอยู่ร่วมกันกับพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว แล้วก็มีบางสิ่งที่ความเชื่อกับการปฏิบัติมันเริ่มจะขัดแย้ง เขาเริ่มเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เห็นชัดเจน จนมาถึงสมัยของเปาโลที่พระเจ้าใช้เปาโลมาเปิดเผย ทุกคนก็รับ และกลับใจจากการเป็นศาสนาคริสต์
เราขอบคุณพระเจ้าที่เป็นพระคุณของพระองค์ที่เราเคยคิดว่าจะนับถือศาสนาคริสต์ไปจนตลอดชีวิต แล้วก็สันติสุข การปฏิบัติ มันน่าจะมีแค่นี้แระ ขึ้นๆ ลงๆ สุข ทุกข์ ดี บาป
แต่เป็นพระคุณอันล้นเหลือ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ ที่เมื่อเราได้มาพบเส้นทางแห่งความจริง เป็นพระคำแห่งความจริงที่เป็นมาโดยพระวิญญาณแห่งความจริง ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ทำงาน ที่พระองค์นำเราเข้ามาสู่พระคำที่ปลดปล่อยเราจากการมีชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ สุข ทุกข์ ดี บาป เป็นศาสนา มาสู่รูปแนวชีวิต
เข้ามาอยู่ในพระคริสต์อย่างแท้จริง
เข้ามามีสันติสุขอย่างแท้จริง
เข้ามามีชีวิตในพระคริสต์อย่างแท้จริง
เข้ามาเป็นคริสเตียนแท้ ทุกสิ่งเรามาถึงความจริงแก่นแท้ของความจริง
เราสรรเสริญพระเจ้าเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่มากๆ เราผู้ที่ไม่เหมาะสมที่จะได้รับอะไรเลย แต่เนื่องจากว่าเราเปิดใจ เราถ่อมใจ เรายินยอม เรายอมแพ้ พระเจ้าจึงให้โอกาสเรา
เมื่อเปาโล ตอนที่ชื่อเซาโล แล้วก็เดินทางไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปข่มเหงคริสเตียนที่เมืองดามัสกัส เมื่อเซาโลเห็นพระเยซูเป็นแสงสว่างจนทำให้เขาตาบอด ตาบอด
และพอพระเจ้าเมตตาเขาแล้วก็ทำให้เขาหายดีจากอาการตาบอด เล็งถึงความหมายฝ่ายวิญญาณด้วย คือ ตาบอดก็คือไม่เห็นอะไรอีกแล้ว คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ ได้รู้ ไม่ว่าจะเป็นพระบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ต่างๆ คำสอนต่างๆ พระคัมภีร์เดิม คือมันบอดไปมันมืดไป แล้วพระเจ้าประทานความสว่าง ก็คืออานาเนีย อธิษฐานให้เขาหายดีจากอาการตาบอด
เขาเริ่มสิ่งแรก ก็คือ “ให้ข้าพระองค์ทำอะไร” แล้วพระเจ้าก็ให้เขาเรียน เรียน สิ่งสำคัญสิ่งแรกก็คือ การเรียน
คริสเตียนเราพลาดตรงนี้ เราเริ่มจากการเป็นคริสเตียนด้วยการเรียน แต่ไปเรียนในความรู้ที่มาจากความคิดสติปัญญาการแปลของมนุษย์ จึงทำให้เราพลาดและเข้าสู่ระบบรูปแนวศาสนา
แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้านำเปาโลไปสู่ประเทศอาราเบีย แล้วก็สอนเขาเป็นเวลา 3 ปีกว่า โดยพระเยซูนั่งนอนไปมาอยู่กับเขา 3 ปีกว่า แล้วเปาโลก็ได้รับได้เรียน จากนั้นเปาโลก็ถามพระเยซูต่อว่า “ให้ข้าพระองค์ทำอะไร” พระเยซูก็นำพาชีวิตของเขา ในการรับใช้ ในการนมัสการ ในการไปประกาศ ในการมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งในการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง
เพราะฉะนั้นขอบคุณพระเจ้า เรา คำนี้เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับบทเรียนในวันนี้..
“ให้ข้าพระองค์ทำอะไรวันนี้ พรุ่งนี้ให้ข้าพระองค์ทำอะไร พระเยซูมะรืนนี้ให้ข้าพระองค์ทำอะไร”
นี่เป็นสิ่งที่เราควรถามพระวิญญาณ และแน่นอนที่สุดเมื่อเราถามก็จะมีคำตอบที่มาจากพระองค์ว่าจะให้เราทำอะไร เอเมน
...
เอเมนเราขอบคุณพระบิดาสำหรับวันนี้ที่เราได้เรียนรู้แล้วว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระเยซู และพระเยซูเรียกเราทั้งหลายทุกคนเป็นพระกาย และเมื่อไหร่ที่มีคนข่มเหงพระกายของพระองค์ พระเยซูจะตรัสว่า “เจ้าข่มเหงเราทำไม” ก็คือพระเยซูเดือดร้อนด้วย และแน่นอนที่สุด พระเยซูตรัสกับเปาโลก็เหมือนตรัสกับคนที่ข่มเหงทำร้ายทำลายผู้เชื่อทั้งหลาย บอกว่าใครที่กระทำมิดีมิร้ายในสิ่งที่ไม่ดีต่อบุตรพระเจ้า แน่นอนเขาจะอยู่ยาก ก็คือเขาจะต้องได้รับโทษอันสาสม
และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์สอนเราให้เข้าใจเรื่องการเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง ก็คือการเรียนรู้ที่จะรับฟังการนำพาของพระวิญญาณในทุกเรื่องในแต่ละวัน เราเรียนรู้ที่จะถามพระองค์ทุกครั้งว่า “ให้ข้าพระองค์ทำอะไรในวันนี้ ในเวลานี้ ขณะนี้ ไปไหน ทำอะไร” ขอบคุณพระเยซู
และขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์สอนเราเรื่องการเป็นพระบุตรพระเจ้า ซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดา เราเรียกพระบุตรพระเจ้า พระบุตรพระเจ้าทุกครั้งก็คือพระองค์เป็นพระเจ้านั่นเอง เราสรรเสริญพระเจ้าและขอบคุณพระเจ้าที่เราทุกวันนี้สามัคคีธรรมร่วมกัน นมัสการพระองค์ รับใช้พระองค์ ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็คือการอยู่ในการร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์