- มธ บทที่ 13 เป็นเรื่องราวย่อ โดยเริ่มตั้งแต่กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรออกเดินทางไปหว่านชีวิตของพระองค์เอง และผู้ที่รับก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ดังกล่าวเพื่อพร้อมที่จะเติบโตและเกิดผลแห่งชีวิตแห่งราชอาณาจักรนี้
- บทที่ 13 จบลงที่ การพิพากษาครั้งสุดท้าย เพราะการปฏิเสธของชาวยิวที่เป็นลูกแห่งอาณาจักร
มัทธิวบทที่ 13 แบ่งออกเป็นแปดส่วนด้วยกัน เช่น:
1. ดินสี่ประเภท (ข้อ 1-23)
2. ผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง และผู้เชื่อที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ (ข้อ 24-30)
3. มารเข้ายึดและครอบครองคริสตจักร (ราชอาณาจักรสวรรค์) (ข้อ 31-32)
4. มารนำเอาคำสอน หรือการแปลที่ผิดความหมายของพระวจนะคำ เพื่อไม่ให้ผู้เชื่อเติบโตสู่พระลักษณะของพระคริสต์ (ข้อ 33-35)
5. พระเจ้ามองเห็นคุณค่าของมนุษย์ เพื่อทำให้เขาเป็นวิหารหรือที่สถิตอยู่ของพระองค์ชั่วนิรันดร์ (ข้อ 44)
6. พระเจ้าในแง่ของนักลงทุนที่ได้กำไรในวันสุดท้าย (ข้อ 45-46)
7. ผู้ที่เชื่อคือปลาที่เลือกไว้ และผู้ที่ไม่เชื่อคือปลาที่ไม่ต้องการ และต้องโยนลงทะเลในวันสุดท้าย (ข้อ 47-52)
8. ลูกแห่งอาณาจักรจะปฏิเสธกษัตริย์เพราะว่าการเสด็จมาของพระเยซูไม่เหมือนที่เขาคาดคิดคือเป็นคนธรรมดาเกินไป (ข้อ 53-58)
13:1 ในวันนั้นพระเยซูก็เสด็จจากเรือนไปประทับที่ชายทะเลสาบ
13:2 มีคนพากันมาหาพระองค์มากนัก พระองค์จึงเสด็จลงไปประทับในเรือ และบรรดาคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง
** "ออกจากเรือน" คือทิ้งชนชาติอิสราเอล เพราะว่าพระวิหารที่เป็นเรือนของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางชนชาตินี้
** "ไปประทับที่ชายทะเล" คือยกราชอาณาจักรให้คนต่างชาติ (ที่เป็นทะเล สำหรับพระเจ้า แผ่นดินคือชาติอิสราเอล)
- เมื่อก่อน ชาติอิสราเอล คือเรือนของพระเจ้า
- พระเจ้ามองต่างชาติเหมือนทะเล
- เพราะว่าแผ่นดิน คือที่ที่พระเจ้าเลือกทำงานเท่านั้น
- พระเจ้าไม่เคยสร้างมนุษย์ทะเล
- แต่เมื่อ มีชนชาติเดียวที่ติดตามพระเจ้า พระเจ้าจึงเรียกพวกเขาว่า เรือนของพระเจ้า
- ส่วนมากพระเจ้าเรียกวิหารว่าเรือน ทั้งเรียกชาติอิสราเอล ว่าเรือนเพราะวิหารอยู่ท่ามกลางเขา
13:3 แล้วพระองค์ก็ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมาว่า "ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
** ตรัสกับเขาหลายประการเป็นคำอุปมา
- เพื่อกีดกันป้องกัน ฟาริสีและยิวที่หยิ่งและมาจับผิด เมื่อพระเยซูพูดเล่าอะไร ถ้าไม่มาขอการเปิดเผยทีหลังด้วยถ่อมใจเปิดใจก็จะไม่รู้เรื่อง
** ผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช
- ผู้หว่านพืช คือกษัตริย์ที่ออกไปหว่านชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเมล็ดแห่งราชอาณาจักรกษัตริย์มีชีวิตนิรันดร์ ลูกแห่งราชอาณาจักรทุกคนต้องมีชีวิตนี้ จึงจะได้เข้าในราชอาณาจักร
- เริ่มหว่านพืชตั้งแต่เมื่อไหร่ วันที่พระองค์ออกจากบ้านและชนะการทดลอง ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเดินทางไปหว่านในฐานะของกษัตริย์ และกษัตริย์ต้องไปหาคนมาเข้าราชอาณาจักรเอง
13:4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย
** "และเมื่อเขาหว่าน" วันที่พระองค์ออกจากบ้าน และชนะการทดลอง
** "เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง" คือประกาศเรื่องราชอาณาจักรกับ ยิว ฟาริสี และใครก็ตามที่ฟังแล้วรับไม่ได้ เพราะเขาแสวงหาเรื่องสวรรค์นรกอยู่ เขาไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจราชอาณาจักร
** "ดินตามทาง" คือจิตใจที่ถูกสอนถูกเหยียบย่ำให้แน่นแก่นจนรับเรื่องอาณาจักรไม่ได้แล้ว
** "คนเดินไปมาแต่ละครั้งบนดินนั้น" คือคนที่สอนแต่ละคนเรื่องสวรรค์นรก
** ทุกวันนี้คริสเตียนที่เป็นดินตามทางมีเยอะมาก 90-95 % เพราะเขาปักใจ ถูกเสี้ยมสอนมาอย่างดี เรื่องสวรรค์นรก ถ้าเราพูดเรื่องราชอาณาจักร ก็หาว่าเป็นพวกเทียมเท็จ (เราพูดในแง่การศึกษา)
** มธ 13:1-4 คือเรื่องราวเกี่ยวกับราชอาณาจักร แต่ผู้เชื่อส่วนมากตีความหมายแปลว่า คนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ แต่รับไม่ได้ และไม่ได้รอด อันนี้ไม่ถูก
** "แล้วนกก็มากินเสีย" "นก" ในที่นี้ คือมารซาตาน
** เมื่อยิว ฟาริสี และ คริสเตียนศาสนารับไม่ได้ฟังไม่รู้เรื่อง มารก็จะหาวิธี หรือใช้คนมาพูดบอกสอนเขาว่าระวังนะเขาสอนผิด สุดท้ายเขาก็ทิ้งไป
13:5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก
** ที่ที่มีหิน มีเนื้อดินน้อย
- "หิน" คือจิตใจที่รักบาปมาก
- "ดินน้อย" คือจิตใจที่แสวงหา ร้อนรน หิวกระหายมีไม่มากเท่าไหร่
- เมื่อเขารับเรื่องราชอาณาจักรและเรียนรู้ แต่ด้วยใจที่รักบาปนั้นชักนำเขาให้เลิกเรียน และเลิกแสวงหาอาณาจักรต่อไป เขาจึงหมดโอกาส
13:6 แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผา เพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป
** "แดดจัดแดดก็แผดเผา" หมายถึง พระเจ้าสร้างเรา เพื่อให้เข้าสู่ปัญหามากมายตลอดชีวิต
** ต้นไม้พืชผักต้องการแสงแดดเพื่อการเติบโต และเกิดผลฉันใด ลูกแห่งราชอาณาจักรย่อมต้องการแสงแดด (ปัญหา) ฉันนั้นเพื่อการเติบโต และเกิดผลมากมาย
** "ราก" คือความเชื่อที่ถูกแล้ว คือได้พบราชอาณาจักรสวรรค์นี้แล้ว
- อีกอย่าง พระเจ้าไม่ได้สร้างเราเป็นเรือที่จอดทิ้งไว้ที่ริมฝั่งเพื่ออวดความสวยงาม แต่สร้างเราเพื่อให้ออกทะเลไปเผชิญกับคลื่นและพายุ
- พี่น้องผู้เชื่อส่วนมากเข้าใจผิด คิดว่าเชื่อพระเจ้าแล้วชีวิตจะสบาย มีพระพรมากมายรออยู่ เพียงแต่เราเชื่อฟัง สุดท้ายผิดหวังกันหมด
13:7 บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย
** นี่คือเรื่องราวของการเข้าสู่ชีวิตชัยชนะ ไม่เกี่ยวกับความรอดในวันสุดท้าย
** "ต้นหนาม" ในที่นี้ คือเงินทองทรัพย์สมบัติความสบายสิ่งล่อตาล่อใจของโลกนี้
** เมื่อคนนี้ได้ฟัง และรับเอาข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร แต่ด้วยความรักที่มีให้โลกอย่างมากมายยังทิ้งความรักโลกไม่ได้ รักโลกไปจนตาย เขาต้องพลาดโอกาส
13:8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
** ดินดีในที่นี้คือ..
1. คนที่ได้ยินเรื่องราชอาณาจักรพันปี
2. รับเอาด้วยความยินดี
3. เรียนรู้แสวงหาอย่างหิวกระหาย
4. สุดท้ายเข้าใจ รักฝึกฝนชีวิตให้พร้อมสำหรับราชอาณาจักรนี้
** เกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้างคือ..
1. นำคนมาเชื่อเรื่องราชอาณาจักรเหมือนกัน บางคนช่วยพี่น้องได้ 30 60 และ 100 เท่า
2. การเกิดผลยังกล่าวโดยนัยได้อีกว่า เป็นเรื่องการเติบโตเกิดผลในชีวิตเขา ซึ่งเป็นเรื่องของการได้รับรางวัลมากน้อยเท่าไหร่ที่เป็นผลที่ได้รับจากการใช้ชีวิต และรับใช้ในข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรดังกล่าว
13:9 ใครมีหูจงฟังเถิด"
** ไม่ใช่ทุกคนที่มีหู (ฝ่ายวิญญาณ)
- ทุกวันนี้ 90-95 % ใช้หู ตา อาดัมเพื่อวิเคราะห์พระคำของพระเจ้า สุดท้ายไม่ได้เข้า (มธ 7:21-27 / 1 คร 3:21-15)
13:10 ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า "เหตุไฉนพระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมา"
** พระองค์ตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาเพราะว่ามีนักสืบคือพวกของฟาริสีที่มายืนปะปนกับประชาชน และฟังเพื่อจับผิดอยู่
13:11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
** เรื่อง รอดในวันสุดท้ายไม่ใช่เรื่องที่ลึกลับเท่าไหร่ แต่เรื่องเติบโตเข้าในอาณาจักร เป็นเรื่องที่ต้องเสาะแสวงหาอย่างร้อนรน
1. การแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้า คือหาข้อมูลทุกเรื่องราวอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับราชอาณาจักรพันปีนี้ เลิกห่วงเรื่องรอดในวันสุดท้าย เพราะว่าเรารอดแน่นอนแล้ว แต่ห่วงเรื่องนี้มากกว่าเพราะว่าพระเยซูสั่งให้เราแสวงหา
2. แสวงหาความชอบธรรมคือ ได้พบว่า โอ..พระเยซูนี่เองที่เป็นคนทำดีในเราแทนเราและเพื่อเรา เพราะว่าเราทำไม่ได้พระเจ้าไม่รับผลของอาดัมที่เราทำ
** ผลของอาดัมไม่ว่าจะดีมากมายแค่ไหนในสายตามนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าคือความดีที่ตายแล้ว
** ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้ หมายถึง
- พระเจ้าเลือกคนที่ถ่อมใจเท่านั้นให้มาโต และเกิดผลถวายเกียรติ พระเจ้าไม่เอาคนที่หยิ่งผยองพองตัวที่มีเต็มใน คริสตจักรทั่วไป
- เพราะว่าคนเหล่านั้นแย่งชิงพระเกียรติ และสง่าราศีของพระเจ้า แต่หน้าที่ของเราคือหว่าน คนที่รับได้ไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่ที่เขากับพระเจ้า
13:12 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา
** "มีอยู่แล้ว" คือเชื่อยอมรับเรื่องอาณาจักร แต่ยังไม่ครบ
** "จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ" คือพระเจ้าจะส่งคนมาบอกแบ่งแนะนำสอนให้เรารู้อย่างครบถ้วน
** "แต่ผู้ใดที่ไม่มีนั้น แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา" หมายถึง
- "ที่ไม่มี" คือ คริสเตียนทุกวันนี้ที่ไม่รู้เรื่องราวแห่งราชอาณาจักร และรับไม่ได้
- "ซึ่งเขามีอยู่จะต้องเอาไปจากเขา" คือรางวัล พระพร ที่เขาทำ รับใช้มานานแรมปี ต้องยกให้ผู้อื่น
** เรื่องนี้ บ่งชี้ถึงยิวและฟาริสีก่อน เพราะเขามีพระเจ้าแล้ว มีราชอาณาจักรแล้ว มีมรดกของพระเจ้าแล้ว แต่สุดท้ายเขาถูกแย่งชิงเอาไปจากเขาจนหมด
13:13 เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน และไม่เข้าใจ
** "เพราะว่าถึงเขาเห็น / ก็เหมือนไม่เห็น / ได้ยิน / ก็เหมือนไม่ได้ยิน" ไม่ว่ามนุษย์จะฉลาดมีปัญญามากมายแค่ไหนก็ตาม เราไม่อาจใช้ปัญญานี้เพื่อให้เข้าใจพระวจนะคำ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
** เมื่อเราหลับตา (เลิกใช้ปัญญาอาดัม) พระเจ้าจะเริ่มทำงาน และเปิดตาฝ่ายวิญญาณของเรา ด้วยการทาตาด้วยยาทาตา เพื่อให้เราได้เห็นความหมายที่แท้จริงของพระคำ และน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน (วว 3:18..และเอายาทาตาของเจ้าเพื่อเจ้าจะแลเห็นได้)
13:14 ความเป็นอยู่ของเขาก็สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า `พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่สังเกต
13:15 เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าในเวลาใดเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย'
13:16 แต่ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน
13:17 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขามิเคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน แต่เขาก็มิเคยได้ยิน
** "ศาสดาพยากรณ์" คือผู้นำ หัวหน้า ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ ครูที่มีตำแหน่งหน้าที่เทศนาและสอนใน คริสตจักร ที่คิดว่าเขารู้หมดแล้ว จึงไม่อาจเห็นได้
** "ผู้ชอบธรรม" คือบรรดาผู้ที่เชื่อว่าเขาเข้มแข็งรักพระเจ้า พยายามทำดีเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเคร่งครัดในแต่ละวัน เขาคิดผิดไปว่าเขาจะได้รับรางวัลมากมายเพราะการทำดีด้วยอาดัมของเขาซึ่งทำได้แค่ต่อหน้าพี่น้องหรือผู้เชื่อ แต่แท้ที่จริงเขายังมีความโกรธ หยิ่งพองตัว รักโลกนี้ตามธรรมชาติของอาดัมที่อยู่ในตัวเขา เขาจึงไม่มีโอกาสพบราชอาณาจักรนี้ได้
13:18 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น
13:19 เมื่อผู้ใดได้ยินพระวจนะแห่งอาณาจักรแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่ผู้ซึ่งรับเมล็ดริมหนทาง
** "ดิน" หมายถึง จิตใจ
** "นก" หมายถึง มารร้าย
** "เมล็ดพืช" หมายถึง ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรที่เป็นทั้งชีวิตพระเจ้าที่หว่านเข้ามาในใจเรา
** "แย่งเอาไป" หมายถึง ฉกชิงด้วยการใช้ผู้นำผู้สอนพี่น้องผู้เชื่อที่ไม่เข้าใจมาบอกเราเตือนเราด้วยความหวังดีว่า สิ่งที่เขาได้รับฟังเรื่องราชอาณาจักรนี้ไม่ถูก หรือเป็นคำสอนที่ผิดนี่เอง
13:20 และผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความปรีดี
13:21 แต่ไม่มีรากในตัวเองจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้น ต่อมาเขาก็เลิกเสีย
13:22 ผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็รัดพระวจนะนั้นเสีย และเขาจึงไม่เกิดผล
13:23 ส่วนผู้ที่รับเมล็ดซึ่งตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง"
(เชื่อตามพ่อแม่พี่น้องครอบครัว ประเทศที่เป็นศาสนาประจำชาติ หรือเพราะถูกพ่อแม่บังคับให้เชื่อ แต่เขาเองไม่เต็มใจที่จะเชื่อ) (มธ 13:24-30)
13:24 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน
** "อาณาจักรแห่งสวรรค์" คือ "คริสตจักร"
** "เปรียบเหมือนชายคนหนึ่ง" คือ "พระเยซู"
** "ได้หว่านพืชดี" คือ "ผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง"
** "ในนาของตน" คือ "ในโลกนี้"
13:25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวสาลีนั้นไว้ แล้วก็หลบไป
** มารทำให้คริสตจักรกลายเป็นศาสนาหนึ่งในโลก คือศาสนาคริสต์ เพื่อทำลายชื่อเสียง และพระเกียรติของพระเจ้า ด้วยการนำคนมากมายเข้ามานับถือศาสนาคริสต์นี้
แต่ไม่มีชีวิตใหม่อย่างแท้จริง เราพบว่าคาทอลิกและอีกหลายๆ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนทั้งๆ ที่เขาไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง
13:26 ครั้นต้นข้าวนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว ข้าวละมานก็ปรากฏขึ้นด้วย
13:27 พวกผู้รับใช้แห่งเจ้าบ้านจึงมาแจ้งแก่นายว่า `นายเจ้าข้า ท่านได้หว่านพืชดีในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน'
13:28 นายก็ตอบพวกเขาว่า `นี้เป็นการกระทำของศัตรู' พวกผู้รับใช้จึงถามนายว่า`ท่านปรารถนาจะให้พวกเราไปถอนและเก็บข้าวละมานหรือ'
13:29 แต่นายตอบว่า `อย่าเลย เกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวสาลีด้วย
13:30 ให้ทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยว และในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า "จงเก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย แต่ข้าวสาลีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา"'"
** "ข้าวสาลี" คือข้าวที่ชาวยิวใช้เพื่อเป็นอาหารหลัก แต่ "ข้าวละมาน" คือต้นหญ้าที่มีลักษณะคล้ายๆ ต้นข้าวสาลีมาก แต่เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวต้นข้าวสาลีจะเหลืองอร่ามทั่วท้องทุ่งนา แต่ต้นข้าวละมานกลับกลายเป็นสีดำ จึงง่ายแก่การแยกออกเพื่อเก็บเกี่ยวไว้ในยุ้งฉาง และเอาข้าวละมานไปเผาไฟทิ้ง
** เป็นเรื่องราวของผู้เชื่อทั้งสองแบบที่พระเจ้าปล่อยให้อยู่ร่วมกันจนถึงวันพิพากษาและจะแยกทั้งสองออก ผู้เชื่อแท้จะได้รอด แต่ผู้เชื่อปลอมจะไม่รอด
บทความที่เกี่ยวข้อง : การบังเกิดใหม่
13:31 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน
13:32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"
** เรื่องเมล็ดมัสตาร์ด
- "ราชอาณาจักรสวรรค์" ในยุคนี้ คือ "คริสตจักรของพระเยซู" ในโลกนี้
- "เมล็ดมัสตาร์ด" คือชีวิตพระเจ้าที่ผ่านทางพระวจนะคำ เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงผู้เชื่อให้เติบโต
- "ซึ่งชายคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน" ก็คือพระเยซูเริ่มก่อตั้งคริสตจักรของพระองค์ในโลกนี้
- "เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"
- "กลายเป็นต้นไม้" คือการเปลี่ยนสภาพที่ผิดปกติของอาหาร เพราะเกิดมีการแบ่งแยกเป็นกิ่งก้านสาขาคณะนิกายของฉันถูกของคุณผิด เราอยู่ร่วมกันไม่ได้ ข้าขอแยกออก และไปเป็นใหญ่ที่อื่นดีกว่า
- ปกติพระเยซูต้องการสร้างคริสตจักรเพื่อเลี้ยงดู ดูแลผู้เชื่อให้ได้รับอาหารจากสวรรค์ นั่นก็คือพระคริสต์ในสภาพของพระคำพระเจ้า แต่มัสตาร์ดกลับกลายเป็นต้นไม้ "กลายพันธุ์" ก็คือการแตกแยกเป็นกิ่งก้านสาขาคณะนิกายที่อยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ เมื่อเกิดมีการแตกแยกอยู่ที่ไหน ซาตาน (นกที่มาจากข้อที่สี่) ก็มาสร้างบัลลังก์ในที่นั้นๆ ได้
"อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด" เป็นเรื่องของคริสตจักร ที่ควรจะเป็นผักหญ้า เพื่อนเลี้ยงดู ผู้เชื่อ แต่มันกลับกลายเป็นต้นไม้ ให้นกมาทำรัง คือมารซาตานเข้ามาครอบครอง ทำรังอาศัยอยู่และปิดหูบังตาหลอกผู้เชื่อทั้งหลาย ให้หลงทางเชื่อผิด นกเหล่านี้คือนกที่มาจากข้อที่ 4
วิวรณ์บทที่ 2 ข้อที่ 9 และบทที่ 3 ข้อที่ 9 พระเยซูตรัสว่า ธรรมศาลาของยิว คริสตจักร ของคริสเตียนเป็นที่อยู่ของซาตาน
เราอาจจะคิดว่าโบสถ์คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซาตานเข้าไม่ได้นั่นคือความเชื่อที่ผิด เราจะเห็นว่าทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายถูกหลอกให้เชื่อผิด ดำเนินชีวิตและรับใช้ที่ผิดแบบหลงยุคหลงทาง หลงประเด็น ชีวิตจึงตกต่ำไม่มาถึงสันติสุขทุกวันทุกเวลา และไม่มาถึงการก่อขึ้นของชีวิตพระคริสต์ในพวกเขา ชีวิตจึงยังอยู่ใน การทำบาป และทำดี และทำบาปและทำดี เลิกทำบาปไม่ได้ ไม่เคยเปลี่ยนไปจนตลอดชีวิต ชีวิตยังต้องขึ้นลง ขึ้นลง สุขทุกข์ ดีบาปไปจนตาย
- ขอพระเจ้าเมตตานำเราเข้าสู่คริสตจักรเที่ยงแท้ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพระเยซูได้อย่างแท้จริง และหลุดพ้นจากการครอบครองของมารซาตานโดยไม่รู้ตัว
13:33 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า "อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อ ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาเจือลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด"
13:34 ข้อความเหล่านี้ทั้งสิ้น พระเยซูตรัสกับหมู่ชนเป็นคำอุปมา และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้ตรัสกับเขาเลย
** "ราชอาณาจักรสวรรค์" คือ "คริสตจักร"
** "ผู้หญิง" หมายถึงผู้รับใช้ ผู้นำ ผู้สอน และเทศนา เพื่อช่วยให้ คริสตจักรเติบโตสู่ชีวิตพระเจ้า
** "เชื้อ" (ยีส) คือคำสอนที่แปลผิดที่มีมากมายจนเต็ม คริสตจักร เมื่อรับเชื้อเข้าไป ชีวิตใหม่ก็ไม่มี ผลแห่งพระวิญญาณก็ไม่มา สุดท้ายก็ต้องยอมแสดงละคร เพื่อหลอกกันเองว่าเรารักพระเจ้าและเชื่อฟังเข้มแข็ง แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตกลับเป็นอย่างนั้นไม่
13:35 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยศาสดาพยากรณ์ว่า `เราจะอ้าปากกล่าวคำอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก'
บทความเพิ่มเติม :
13:36 แล้วพระเยซูจึงทรงให้คนเหล่านั้นจากไปและเสด็จเข้าไปในเรือน พวกสาวกของพระองค์ก็มาเฝ้าพระองค์ทูลว่า "ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายให้พวกข้าพระองค์เข้าใจ คำอุปมาที่ว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น"
13:37 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์
13:38 นานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของมารร้าย
13:39 ศัตรูผู้หว่านข้าวละมานได้แก่พญามาร ฤดูเกี่ยวได้แก่การสิ้นสุดของโลกนี้ และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่พวกทูตสวรรค์
13:40 เหตุฉะนั้น เขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร ในการสิ้นสุดของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น
13:41 บุตรมนุษย์จะใช้พวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ที่ทำความชั่วช้าไปจากอาณาจักรของท่าน
13:42 และจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
13:43 คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูจงฟังเถิด
** เตาไฟอันลุกโพลง ในข้อ 42 คือบึงไฟสำหรับข้าวละมาน (คริสเตียนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง เขาเชื่อตามพ่อแม่เพื่อนฝูงครอบครัวประเทศชาติบ้านเมือง นับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาของเขา)
** คริสเตียนปลอมที่อยู่ในยุคนี้ และเมื่อตายจะถูกนำไปเก็บไว้ที่แดนมรณาเพื่อรอการพิพากษาในวันสุดท้ายและส่งไปยังบึงไฟ (มธ 13:24-30, 36-43 คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคพระคุณ)
** ข้าวสาลี แตกต่างจากข้าวละมาน คือข้าวละมานมีเปลือกแต่ไม่มีแป้งข้าวอยู่ข้างใน ตอนที่ยังไม่สุกงอมลำต้น และใบของทั้งสองจะมีสีเขียวดูไม่ออกว่าต้นไหนคือสาลี และต้นไหนคือละมาน
แต่พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวต้นข้าวสาลีจะกลายเป็นสีเหลือง เหลืองอร่ามทั่วทั้งทุ่งนา แต่ข้าวละมานลำต้นและใบจะกลายเป็นสีดำ ข้าวสาลีคือคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ (มีแป้งข้าว)
บทความที่เกี่ยวข้อง : ข้าวสาลีและข้าวละมาน คืออะไรกันแน่
13:44 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งมาพบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความปรีดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่ แล้วไปซื้อทุ่งนานั้น
** "ขุมทรัพย์ซ่อนไว้ในทุ่งนา" คือผู้เชื่อ หรือสาวกทั้งหลายที่พระเยซูมาพบตอนที่พระองค์ประกาศในโลกนี้ (ทุ่งนา)
** "ผู้ชายคนหนึ่ง" คือ "พระเยซู"
** "ซ่อนไว้" คือให้เขาทั้งหลายวิ่งหนี ตอนที่ทรงถูกจับ
** "ไปขาย" คือไปตาย หรือขายชีวิตที่เป็นมนุษย์นี้บนไม้กางเขน
** "ไปซื้อทุ่งนานั้น" คือซื้อโลกนี้ เพื่อให้ได้ผู้เชื่อมาเป็นของพระองค์ (1 คร 6:19-20)
13:45 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี
13:46 ซึ่งเมื่อได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัดซึ่งเขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น
** "พ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี" คือพระเจ้าทั้งสามพระภาค ที่ปรึกษากันว่าจะลงทุนสร้างมนุษย์เพื่อใช้ร่างกายเขาดีไหม คุ้มค่าไหม
** "ได้พบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามาก" คือพบคริสเตียนที่เป็นพระกายของพระคริสต์ที่จะสำแดงพระเจ้าต่อโลกและจักรวาลได้เห็นพระเจ้าผ่านเขา
** "ขายทุกสิ่งที่เขามี" คือพระเจ้าทรงยอมถูกตรึงบนไม้กางเขนร่วมกันในร่างกายของพระเยซู และกลับมาซื้อเราผู้เชื่อที่พระเจ้ามองเห็นคุณค่ามากมายนี้
** "ไข่มุก" หมายถึงผู้เชื่อผู้ชนะท่ามกลางผู้เชื่อมากมาย ที่ได้รับสภาพการเปลี่ยนแปลงสู่ชีวิตใหม่แล้ว
(มัทธิว 13:47-50 คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน)
13:47 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์ เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลารวมทุกชนิด
** "อวน" หมายถึงข่าวประเสริฐเรื่องนิรันดร์กาลที่จะประกาศในช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน
** "ลากอยู่ในทะเลติดปลาทุกชนิด" คือประกาศกับต่างชาติทั่วโลก
13:48 ซึ่งเมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ในภาชนะ แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย
13:49 ในการสิ้นสุดของยุคก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม
** เมื่อ 7 ปีผ่านพ้นไป ทูตสวรรค์จะเลือกผู้เชื่อ และผู้ไม่เชื่อเพื่อเตรียมความรอด และบึงไฟให้ทั้งสองฝ่าย
13:50 แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"
** เตาไฟอันลุกโพลง ในข้อ 50 คือ บึงไฟสำหรับคนที่อยู่ในช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน ที่จะไม่รอด ปีที่เจ็ดทูตสวรรค์จะเลือกคนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อและไม่อดทนจนถึงที่สุดและเลิกเชื่อทั่วโลก แยกจากผู้เชื่อที่เชื่อฟังและอดทนจนถึงที่สุด และเขาเหล่านี้จะถูกนำไปเก็บไว้ที่แดนมรณาเพื่อรอการพิพากษาในวันสุดท้ายและส่งไปยังบึงไฟ
13:51 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ข้อความเหล่านี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เข้าใจ พระเจ้าข้า"
13:52 ฝ่ายพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เพราะฉะนั้นพวกธรรมาจารย์ทุกคนที่ได้รับการสั่งสอนถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่ และของเก่าออกจากคลังของตน"
** เมื่อธรรมาจารย์ที่เปิดใจรับฟัง จะเอาความรู้ที่ตนได้รับรู้เรียนรู้มา เพื่อเปรียบเทียบกับความรู้ใหม่เรื่องราชอาณาจักรในยุคหน้า ถ้ากลับใจก็ได้เข้าในราชอาณาจักรนี้ แต่ถ้าไม่กลับใจ ก็พลาดโอกาสที่จะได้เข้าไป
บทความที่เกี่ยวข้อง: ช่วง 7 ปี แห่งความทุกทรมาน
13:53 ต่อมาเมื่อพระเยซูได้ตรัสคำอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปจากที่นั่น
13:54 เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงตำบลบ้านของพระองค์แล้ว พระองค์ก็สั่งสอนในธรรมศาลาของเขา จนคนทั้งหลายประหลาดใจแล้วพูดกันว่า "คนนี้มีสติปัญญาและการอิทธิฤทธิ์อย่างนี้มาจากไหน
13:55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเสส ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ
13:56 และน้องสาวก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาได้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้มาจากไหน"
13:57 เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า "ศาสดาพยากรณ์จะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในบ้านเมืองของตน และในครัวเรือนของตน"
13:58 พระองค์จึงมิได้ทรงกระทำการอิทธิฤทธิ์มากที่นั่น เพราะเขาไม่มีความเชื่อ
** พระเยซูทรงถูกปฏิเสธที่เมืองนาซาเร็ธ (ข้อ 53-58)
- ชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซูเพราะเหตุการเสด็จมาที่ต่ำต้อย ไม่ใช่นักการเมืองหรือมีท่าทีที่จะเป็นผู้นำคนใหม่ของชาติยิวเพื่อปลดปล่อยประเทศอิสราเอลจากการเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรมันได้
- มธ 13:1-23 กษัตริย์ออกเดินทางตามหาประชากรแห่งราชอาณาจักร
มีใจสี่แบบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราชอาณาจักร คือ
1. แน่นแก่นรับราชอาณาจักรไม่ได้ เพราะติดอยู่กับสวรรค์นรก
2. ไม่ชอบปัญหาเพราะถูกสอนว่าเชื่อแล้วรับพระพรอย่างเดียว
3. รักในบาปทรัพย์สิน ความสุขกายของโลกนี้
4. ใจดีที่ถ่อมและเปิดใจ
ดิน 4 ประเภท คือจิตใจ 4 แบบของผู้เชื่อทั้งยิว และคริสเตียน ที่ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร
- มธ 13:24-30 เป็นเรื่องข้าวสาลี และข้าวละมาน เป็นเรื่องของคนที่เชื่อ และคนที่ไม่เชื่อ คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ และคริสเตียนแค่คำพูด เชื่อตามพ่อแม่ครอบครัวบ้านเมือง จะไม่ได้รอด
- มธ 13:31-32 ราชอาณาจักรสวรรค์ หรือ คริสตจักร เริ่มผิดปกติ / กลายเป็นคณะนิกาย แตกแยก เป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ มารเข้ามาครอบครอง คริสตจักรมากมายทุกวันนี้แบบไม่รู้ตัว
- มธ 13:33-34 ซาตานใช้ผู้นำผู้สอนและเทศนา นำเอาการตีความหมายพระคัมภีร์ที่ผิดเพื่อกีดกันไม่ให้ผู้เชื่อเติบโตได้
- มธ 13:44 ขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ - คือสาวกที่พระเยซูหาพบ และทรง (ซ่อนไว้) ให้เขาหลบหนีไปตอนที่ไปถูกตรึง และเป็นขึ้นมาใหม่เพื่อกลับมาซื้อเขาทั้งหลาย)
- มธ 13:45-46 ไข่มุก คือผู้ชนะท่ามกลางผู้เชื่อมากมาย
- มธ 13:47-52 การเก็บเกี่ยวของทูตสวรรค์ในช่วง 7 ปี
- มธ 13:53-58 ยิวรับพระเยซูไม่ได้ เพราะว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จมาอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้