อย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างพระบัญญัติ เราไม่ได้มาเพื่อที่จะลบล้างพระบัญญัติ แต่เรามาเพื่อทําให้พระบัญญัติสําเร็จ ความหมายในที่นี้ ก็คือพระเยซูกระทํา 4 อย่าง
ประการแรก ก็คือพระเยซูรักษาพระบัญญัติได้ครบทุกประการ พระเจ้ายอมรับว่าพระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมและผ่าน
ประการที่สอง เมื่อพระเยซูคริสต์รักษาพระบัญญัติได้ครบทุกประการ พระองค์มีสิทธิอํานาจ ได้รับสิทธิอํานาจให้เป็นผู้ที่ตายเพื่อไถ่บาปชนชาติยิวที่รักษาพระบัญญัติไม่ได้ และตายเพื่อไถ่บาปของคนทั้งโลกด้วย
ประการที่สาม ก็คือพระเยซูได้รับสิทธิอํานาจในการยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติจากมาตรฐานของมนุษย์ สู่มาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนก็พอจะทําได้ คิดก็ไม่ผิด แต่เดี๋ยวนี้ทําไม่ได้เลยนะครับ และแค่คิดก็ผิดแล้ว
ประการที่สี่ คือพระเยซูคริสต์เสด็จมาในสภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเราและรอคอยวันที่เราจะรู้และเข้าใจ และยอมให้พระเยซูคริสต์ดําเนินชีวิตแทนเรา และเรายึดกาลาเทียบทที่ 2 ข้อที่ 20 เป็นหลักในการดําเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็คือข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าถูกตรึงกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และผลที่เกิดในชีวิตของเรา ก็คือความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งเป็นการสําแดงชีวิตคุณสมบัติและแสงสว่างการทําดีของพระเยซูคริส์ผ่านเรา ผลที่เกิดก็คือกาลาเทียบทที่ 5 ข้อที่ 22 ถึง 23
เเละเคล็ดลับในการเกิดผล ไม่ใช่เราที่จะเป็นคนพยายามทํา แต่เราสนิท เมื่อเราสนิทพระเจ้าก็ทํา เมื่อเราสนิทมากเท่าไหร่ พระเจ้าก็ทํามากเท่านั้น เคล็ดลับของการดําเนินชีวิตใหม่ ก็คือการสนิทในพระคริสต์ ถ้าท่านทั้งหลายสนิทในเรา คนนั้นก็จะเกิดผลมาก ยอห์นบทที่ 15 ข้อที่ 5
ต่อไปนี้เราจะพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงของพระบัญญัติ พระเยซูยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติเดิม ซึ่งเป็นมาตรฐานของมนุษย์ สู่พระบัญญัติใหม่ ซึ่งเป็นมาตรฐานของพระเจ้า สูงขึ้น ยากขึ้น จนมนุษย์ทําไม่ได้
ในพระคัมภีร์เดิมพระบัญญัติเดิม มีพระบัญญัติอยู่ 10 ประการใหญ่ๆ และก็ 200 กว่าข้อ
ส่วนพระคัมภีร์ใหม่พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูคริสต์ คือมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7
หลักการแห่งความรอดและกลายเป็นคนชอบธรรมได้ ของพระบัญญัติเดิม ก็คือการพยายามรักษาพระบัญญัติ 10 ประการ และเมื่อพลาดข้อไหนก็ไปสารภาพบาปไปถวายเครื่องบูชาไถ่บาปที่พระวิหารแล้วกลับมาตั้งต้นใหม่ ซึ่งถ้าหากทําได้ 10 ข้อ แล้วมีข้อหนึ่งที่ผิด ก็ผิดหมด ต้องเริ่มใหม่
ส่วนหลักการแห่งความรอดของคริสเตียน ก็คือเชื่อเท่านั้น เชื่อเท่านั้นไม่ต้องทําอะไรเลย เชื่อเท่านั้น การเชื่อพระเยซูการยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว ต่างกันใช่ไหม ต่างกันอย่างกับฟ้ากับดิน เพราะว่ายิวทําแทบตายกว่าจะได้เป็นคนชอบธรรมและได้รับความรอด แต่คริสเตียนเชื่อพระเยซูเท่านั้น เพราะว่าคริสเตียนเราพึ่งพระเยซู เป็นความชอบธรรมของเรา
สําหรับพระพรฝ่ายร่างกาย ชาวยิวเค้าจะได้รับเดี๋ยวนั้น เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า ถวายสิบลด ซื่อสัตย์ เค้าก็จะได้รับพระพรเดี๋ยวนั้นเลย
ส่วนคริสเตียน พระพรฝ่ายกายของเราไม่มีในยุคนี้ พระเจ้าให้มีเท่าไหร่ก็มีเท่านั้น พระเจ้าให้เราใช้เท่าไหร่ก็ได้ใช้เท่านั้น เราจะแสวงหาดิ้นรนทําอะไรให้เป็นเศรษฐีร่ำรวยล้นฟ้า เราก็ทําไม่ได้ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต พระเจ้าจะใช้ชีวิตของเรา ทรัพย์สินของเราเพื่องานประกาศข่าวประเสริฐ เพราะว่ายุคนี้สําหรับคริสเตียนเป็นยุคทํานา เราต้องทุกข์ยากลําบาก ตรากตรำประกาศข่าวประเสริฐและนําคนมาเชื่อและช่วยเลี้ยงดูเขาให้เติบโต
ส่วนพระพรฝ่ายร่างกายของคริสเตียน ก็คือยุคหน้า คือรางวัล คือบําเหน็จ ที่เราจะได้รับการครอบครองร่วมกับพระเยซูได้เข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูจะนําลงมาตั้งอยู่ในโลกนี้ และการครอบครองบําเหน็จรางวัลของเราจะสืบเนื่องต่อไปจนถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ก็คือชั่วนิรันดร์
สําหรับพระพรที่เรามีในยุคนี้ พระเจ้าประทานให้เราแล้ว เมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้รับสันติสุข เราได้รับความหวัง เราได้กลายเป็นบุตร เราได้รับพระวิญญาณ เราได้รับพระพร เราได้รับชีวิตใหม่ เราได้รับมรดกมากมายที่อยู่ในพระเยซู พระเยซูมีอะไรเรามีทุกสิ่งที่พระเยซูมี
ในมัทธิวบทที่ 5 ข้อ 21 พระเยซูตรัสว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ในโบราณว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ในโบราณ ในที่นี้ ก็คือคําสอนพระบัญญัติ ซึ่งพระเจ้าประทานให้ชนชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส คําว่า โบราณ ในที่นี้ ไม่ใช่คําสอนของปู่ย่าตายาย หรือคําสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ใช่ เพราะว่าเราจะพบว่าคําสอนนี้มีอยู่ในพระคัมภีร์อพยพ
อีกครั้งนะครับ พระเยซูตรัสว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ในโบราณว่า อย่าฆ่าคน พระเยซูเอามาจากอพยพบทที่ 20 ข้อที่ 13 แล้วหลังจากนั้นพระเยซูตรัสว่า ฝ่ายเรา เราบอกท่านว่า เปลี่ยนแล้วนะครับพระเยซูเริ่มเปลี่ยนแล้ว ยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติเดิม จากมาตรฐานมนุษย์ สู่มาตรฐานพระเจ้าแล้ว พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายเรา เราบอกท่านว่าโกรธก็ผิด เท่ากับฆ่าคนแล้ว ถ้าหากผู้ใดโกรธพี่น้องของตนของท่าน ก็มีความผิดเท่ากับฆ่าคนแล้ว ฟังแล้วน่ากลัวนะครับ ไม่รู้ว่าตลอดชีวิตผ่านมาเนี่ยเราฆ่าคนมากี่คนแล้วใช่ไหมครับ เพราะว่าเมื่อเราโกรธทีไร เราโกรธเราโมโห เราก็มีโทษฐานเท่ากับฆ่าคนแล้ว
ต่อไปในข้อที่ 27 พระเยซูตรัสอีกว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า เหมือนเดิมนะครับท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าเล่นชู้ พระเยซูเอามาจากพระคัมภีร์เดิมเหมือนเดิมนะครับ อย่าเล่นชู้ ในที่นี้ ก็คือในอพยพบทที่ 20 ข้อที่ 14 และพระเยซูก็เริ่มยกระดับขึ้น ยกระดับยังไง พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายเรา เราบอกท่านว่า ถ้าหากผู้ใดมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็มีความผิดฐานเล่นชู้แล้ว
และอีกข้อในข้อที่ 33 มัทธิวบทที่ 5 ข้อที่ 33 พระเยซูตรัสอีกว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า อย่าสาบาน คํานี้พระเยซูเอามาจากเลวีนิติบทที่ 19 ข้อที่ 12 อย่าสาบานนะครับ
อย่าสาบานเป็นพระบัญญัติเดิม แล้วพระเยซูก็ยกระดับขึ้นอีก ยกขึ้นอีก พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายเรา เราบอกท่านว่า จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ไม่จริงใช่ไหม คือพระเจ้าทรงทราบดี เราทําทุกสิ่งเพื่อให้พระเจ้าเห็น เราไม่ได้ทําทุกสิ่งเพื่อพิสูจน์ให้มนุษย์เห็นนะครับ
เพราะฉะนั้นเราไม่จําเป็นที่จะต้องสาบาน เราไม่จําเป็นที่จะต้องอ้างนู่นอ้างนี่ยกนู่นยกนี่มาให้ใครเชื่อเรานะครับ จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ว่าไม่จริง ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ช่างนะครับ
และอีกข้อในข้อที่ 38 มัทธิวบทที่ 5 ข้อที่ 38 พระเยซูตรัสว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า พระเยซูเอาพระบัญญัติเดิมมาอีกแล้วนะครับ ตาแทนตา ฟันแทนฟัน เป็นเรื่องของความยุติธรรม อันนี้อยู่ในพระคัมภีร์อพยพบทที่ 21 ข้อที่ 24 แล้วพระซูตรัสอีกว่า พระเยซูระดับมาตรฐานของพระบัญญัติจากมาตรฐานของมนุษย์ สู่มาตรฐานของพระเจ้าแล้วนะครับ พระเยซูตรัสว่า ถ้าหากผู้ใดตบแก้มข้างหนึ่ง หันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบ และถ้าหากผู้ใดเกณฑ์เราเดินไปกับเขาหนึ่งกิโล เราเดินไปกับเขาสองกิโล
ถ้าหากผู้ใดขอเสื้อของเรา เราถอดเสื้อคลุมให้ด้วยนะครับ การกระทําแบบนี้นะครับไม่ได้เน้นถึงความยุติธรรมใช่ไหม แต่เน้นถึงการเสียเปรียบนะครับ คือเราจะเดินไปอีกกิโล เราจะถอดเสื้อคลุม เราต้องหันแก้มอีกข้างให้เขาตบ อันนี้ไม่ยุติธรรมนะครับ เราจะเห็นว่าพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูเน้นเรื่องการยอมเสียเปรียบ ยอมต่ำ ยอมถ่อม และเมื่อเขาขอยืมเรานะครับเราก็ให้เขาไป ซึ่งชีวิตนี้คริสเตียนบุตรพระเจ้าหรือประชากรแห่งราชสวรรค์เราอยู่เพื่อทํานา ทํานาก็คือประกาศข่าวประเสริฐ และนําคนมาเชื่อพระเจ้าพบพระเจ้า และเพื่อเขาจะได้รับความรอด และมีโอกาสได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์
ซึ่งยุคนี้เราไม่ใส่ใจในเรื่องทรัพย์สินเงินทองนะครับ
อีกข้อในมัทธิวบทที่ 5 ข้อที่ 43 พระเยซูสตรัสอีกว่า ท่านได้ยินคําซึ่งกล่าวไว้ว่า พระเยซูเอามาอีกแล้วเอามาจากพระบัญญัติเดิม จงรักเพื่อนบ้านและเกลียดชังศัตรู เลวีนิติบทที่ 19 ข้อที่ 18 แล้วพระพระเยซูก็ยกระดับขึ้น เปลี่ยนแปลงพระบัญญัติอีกแล้ว พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายเรา ฝ่ายเรานะครับ เราบอกท่านว่าจงรักศัตรูและอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู เน้นที่จิตใจ เน้นที่ภายใน และการกระทําเนี่ยดูเหมือนจะยากมากและรับรองนะครับไม่มีใครที่จะทําได้ แค่ 5 ข้อที่พระเยซูยกมา เราก็แทบจะไม่ไหวแล้วใช่ไหม
ลองคิดดูสิครับตั้งแต่เราเชื่อพระเยซูมาจนถึงทุกวันนี้ เราเคยฝึกฝนชีวิตดําเนินชีวิตอยู่ในลักษณะของประชากรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์หรือไม่ หรือว่าเราเชื่อพระเยซูในลักษณะที่ว่าเป็นสมาชิกโบสถ์ ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐานบ้าง ทําดีบ้างเล็กน้อย แล้วก็ทําในส่วนที่เราทําได้ แล้วสิ่งที่เราทําไม่ได้สิ่งที่มันยากๆ ก็รอคอยไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดเราเห็นว่าชีวิตของเราไม่ได้ดําเนินตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู
และชีวิตของเราห่างไกลจากพระบัญญัติใหม่นี้มาก สาเหตุก็เพราะว่าเราไม่รู้วิธีการดําเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเราไม่รู้ว่าใครอยู่ในเราและรอที่จะดําเนินชีวิตแทนเราเพื่อเราเพื่อช่วยเรานะครับ ความชอบธรรมของเราจะต้องเหนือกว่าฟาริสีและธรรมอาจารย์ ความชอบธรรมนั้น ก็คือความชอบธรรมของพระคริสต์ที่อยู่ในเรานะครับ
และเมื่อเรานะครับเชื่อพระเจ้ารับพระเยซูแล้ว เราอ่านพระคัมภีร์เจอพระบัญญัติเหล่านี้เราพยายามทําตามและเมื่อเราทําตามไม่ได้เราก็ยอมจํานน และเมื่อเรายอมจํานนแล้ว เราก็ขอร้องให้พระเจ้าช่วยเราและเมื่อพระเจ้าช่วยและเมื่อการช่วยเหลือมาถึงนะครับ พระเจ้าก็จะเปิดตาเราให้พบว่ามีใครคน หนึ่ง ที่อยู่ในเรารอที่จะรักษาพระบัญญัติแทนเราดําเนินชีวิตเกิดผลแห่งพระวิญญาณเพื่อเรา
ซึ่งผ่านมาเนี่ยเราทําแล้วทําอีก พยายามแล้วพยายามอีกใช่ไหม เราฝึกฝนชีวิตรู้สึกว่ามันขึ้นลง ขึ้นลง ดีบาป ดีบาป ไปจนตายนะครับหลายคนไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์
ดูสิครับว่าแค่ 5 ข้อที่ผ่านมานะครับเราไม่นับคุณสมบัติ 9 ประการแรก คุณสมบัติ 9 ประการแรก ในมัทธิวบทที่ 5 ข้อที่ 3 ถึงข้อที่ 12 นะครับ
จากนั้นพระเยซูก็ตรัสอีกว่า ท่านทั้งหลายเป็นเกลือและความสว่าง ต้องเป็นเกลือและความสว่าง คือมีคุณสมบัติของพระเจ้าคุณสมบัติ 4 ประการ ก็คือความรัก ความจริง ความสว่าง ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ 4 ประการนะครับนอกจากนี้นะครับเรายังจะต้องส่องสว่างความชอบธรรมของพระเจ้าออกมา ก็คือผลของพระวิญญาณใน กาลาเทีย 5:22-23
มาถึงตอนนี้พระเยซูยกระดับมาตรฐานของพระบัญญัติ จากมาตรฐานมนุษย์ สู่มาตรฐานพระเจ้า
เรื่องแรก ก็คือ อย่าฆ่าคน เราโกรธก็เท่ากับฆ่าคนแล้วใช่ไหม
เรื่องที่สอง ก็คือ อย่าเล่นชู้ เรามองผู้หญิงผู้ชายด้วยใจกำหนัด เราก็ผิดฐานเล่มชู้แล้ว
และข้อต่อไป ก็คือ อย่าสาบาน จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ว่าไม่จริง ซึ่งการโกหกคริสเตียนเรานิยมกันมากใช่ไหม
และข้อต่อไป ก็คือ ตาแทนตา ฟันแทนฟัน การแก้แค้น การได้รับความยุติธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนชอบ ไม่มีใครต้องการเสียเปรียบไม่มีใครยอมเสียเปรียบใคร
แต่สำหรับบุตรพระเจ้าประชากรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ เรามุ่งมั่นเราปักใจไปที่ยุคหน้าและฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ การดำเนินชีวิตที่รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูเราทำเองไม่ได้ อย่าลืมนะครับว่าพระคัมภีร์มัทธิว พระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้แก่เรา แต่พระคัมภีร์ยอห์น พระเยซูประทานผู้หนึ่งมาเพื่ออยู่ในเราเพื่อที่จะรักษาพระบัญญัติเหล่านี้แทนเรา เพราะว่าเราทำไม่ได้
พี่น้องคริสเตียนส่วนมากเมื่อเราเชื่อพระเจ้ารับพระเยซู อ่านพระคัมภีร์เราก็เริ่มปฏิบัติตามใช่ไหม และก็ผู้รับใช้ที่คริสตจักรก็สอนว่า ต้องเชื่อฟังพระเจ้านะ อ่านพระคัมภีร์ อ่านมัทธิวก่อนเพราะว่ามัทธิวเป็นเรื่องแรกในพระคัมภีร์ใหม่ เมื่อเราอ่านปุ๊บอ่านเจอเราเจอคำสั่งสอนของพระเยซูพระบัญญัติของพระเยซู เราก็เริ่มทำตาม ทั้งๆ ที่เราไม่รู้นะครับ ไม่รู้ว่าพระบัญญัติเนี่ยให้เราทำตามยังไง ให้ใครคนไหนที่ทำตามใช่ไหม เราก็เริ่มทำตามใช้ชีวิตของอาดัมตัวเก่านี้แหละทำตาม
พยายามเปลี่ยนแปลง ฝึกฝนชีวิต อดกลั้น อดทน กัดฟันใช่ไหม แต่ความหมายที่แท้จริงเป้าหมายของพระเจ้า ก็คือพระเยซูให้พระบัญญัติที่ยากมากๆ และเมื่อเราลองทำดูทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้เราก็ยอมแพ้ เมื่อยอมแพ้เราก็ขอร้องพระเจ้าช่วย เมื่อขอร้องพระเจ้าช่วยพระเจ้าก็จะเปิดตาเราให้เราพบว่า การทำการรักษาพระบัญญัติไม่ใช่หน้าที่ของเรา เรามีหน้าที่สนิทในพระคริสต์ เมื่อเราสนิทในพระคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็จะเกิดผลมากเท่านั้น (ยอห์น 15:5)
ปัญหาของผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้โดยเฉพาะผู้นำผู้รับใช้ คือไม่ยอม ไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้า เพราะว่าหลายคนคิดว่า เนี่ยฉันก็มีดีอยู่นะ ความดีของฉันก็มีอยู่ สติปัญญาก็พอมี เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าหลายคนพยายามรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ชอบธรรม อดอาหาร อธิษฐาน ทำหลายสิ่งหลายอย่างนะครับทุกวันนี้ เขาคิดว่าก็ใช้ได้
แต่น่าเสียดายนะครับที่พี่น้องเหล่านี้ไม่รู้ว่าความดีของเขา ความชอบธรรมของเขาที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นความดีเป็นความชอบธรรมที่ตายแล้ว ผลงานทั้งหลายที่เขาก่อขึ้น ชีวิตที่เขาก่อขึ้น การรับใช้ที่ก่อขึ้น เขาก่อด้วยไม้ฟางและหญ้าแห้ง
ไม้ ก็คือ สติปัญญาความคิดสมองของมนุษย์อาดัม
ฟาง ก็คือ ร่างกายนี้ ร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มือ ปาก คำพูด กิริยาอาการ
และหญ้าแห้ง ก็คือ กำลังเรี่ยวแรงความสามารถที่ทำออกมาผ่านร่างกายนี้
แต่ขอบพระคุณพระเจ้านะครับที่พระเจ้าได้เปิดตาเราผู้ที่ถ่อมใจแสวงหา ยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง เรามาพบชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา รอคอยที่จะทำดีเพื่อเราแทนเรา เพราะว่าเราไม่คู่ควรกับพระบัญญัติ เพราะว่าพระบัญญัติเป็นมาโดยพระวิญญาณ และเราเป็นมนุษย์ดินเราไม่สามารถที่จะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าได้
เพราะฉะนั้นเมื่อเราพบพระเยซูที่อยู่ในเราและรอคอยที่จะทำดีเพื่อเราแทนเรารักษาพระบัญญัติให้เรา นี่คือการดำเนินชีวิตที่ก่อขึ้นในการเชื่อฟังและการรับใช้ ด้วยทองคำเงินและเพชรพลอย
ทองคํา ก็คือ พระสติปัญญา ความคิด การตัดสินใจ ของพระเจ้าที่อยู่ในเรา
เงิน ก็คือ ร่างกายใหม่ ตัวใหม่ที่มีพระคริสต์ที่อยู่กับเรา เงินก็คือพระคริสต์ ที่อยู่ในตัวใหม่ของเรารอคอยที่จะทําดีเพื่อเรา
เพชรพลอย ก็คือ ผลของชีวิตใหม่ เรี่ยวแรงกําลัง ความสามารถที่เราทําออกมา ความรัก ความดี ความอดทนนาน การกระทําคุณให้ ความเมตตา ทุกสิ่งที่ทําออกมาจากตัวเราชีวิตเราที่เป็นตัวใหม่นี้ คือเพชรพลอย
และเมื่อเราก่อถูก ก่อชีวิตขึ้น ก่อการรับใช้ขึ้นถูก เราจะได้รับรางวัล และผลงานทุกสิ่งที่เราก่อจะผ่านการทดลองด้วยไฟ
พี่น้องคริสเตียนส่วนมากไม่รู้นะครับว่าพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูมีไว้เพื่อทําลายตัวเก่าของเรา พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูมีไว้เพื่อทําลายความหยิ่งผยองพองตัว ให้เรายอมถ่อมลง และเพื่อทําลายความโกรธของเรา คือเรายอมแพ้ให้พระเจ้าให้ความรักเต็มล้นในจิตใจของเราให้พระวิญญาณเคลื่อนไหวทํางานดําเนินชีวิตแทนเรา เพื่อความโกรธของเราจะถูกดับ และความรักโลกความรักในทรัพย์สินรักในสิ่งของรักในแฟชั่นรักในทุกสิ่งที่เป็นของโลกนี้
พระเจ้านะครับเอาความรักที่เรารัก รักและผูกพันอยู่กับพระคริสต์ กับพระเจ้า กับในชีวิตฝ่ายวิญญาณ การรับใช้ การอยู่เพื่อให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้เพื่อเกิดผลถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในแต่ละวันเราทํานานะครับ ทํานาเพื่อพระเจ้า ยุคนี้ทํานา ยุคหน้ารับค่าจ้าง และฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เราก็ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูต่อไปอีก
อีกครั้งนะครับในพระคัมภีร์มัทธิว พระเยซูประทานพระบัญญัติใหม่ให้เรา แต่ในพระคัมภีร์ยอห์นพระเยซูประทานผู้หนึ่งที่จะมาอยู่ในเราเพื่อรักษาพระบัญญัติใหม่นี้แทนเรา
น่าเสียดายนะครับที่พี่น้องคริสเตียนส่วนมากทุกวันนี้รักษาทั้งพระบัญญัติเดิมและพระบัญญัติใหม่ แบกภาระหนักมาก ซึ่งคนยิวนะครับรักษาแค่บัญญัติเดิมก็หนักพออยู่แล้ว แต่ถ้าจะดูจริงๆ นะครับคริสเตียนเราเชื่อหมดนะครับเชื่อหมด เอามารักษาหมด แต่เลือกรักษาข้อง่ายๆ และข้อไหนที่ทําไม่ได้ก็ปล่อยละเลยไม่สนใจไม่ใส่ใจ แล้วก็รอความหวังว่าวันหนึ่ง เราจะถูกเปลี่ยนแปลงพระเจ้าจะเปลี่ยนเราจะช่วยเราให้ทําได้
แต่พี่น้องผู้เชื่อหลายคนดีได้แต่เฉพาะตอนที่อยู่ในคริสตจักร สองสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ชีวิตจริงนะครับอยู่ที่บ้าน ที่ทํางาน อยู่ที่อื่นนะครับเราเป็นคนเดิม และการเปลี่ยนแปลงไม่เคยมาถึงเราเลย สาเหตุมาจากว่าเราไม่เข้าใจพระคําพระเจ้า เราไม่ได้รับการชําระด้วยพระคํานี้ คือพระเจ้าไม่ได้เปิดตาเราให้พบว่าความรอดในวันสุดท้ายคืออะไร ความรอดในยุคอาณาจักรต้องทําอย่างไรถึงจะรอด และพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูเนี่ยมีไว้ทําไม แล้วใครเป็นคนที่ปฏิบัติตามรักษาพระบัญญัติใหม่นี้แทนเราในเรา
มาถึงตอนนี้พี่น้องคงจะไม่แปลกใจใช่ไหมว่าทําไมผู้เชื่อผู้รับใช้ คริสเตียนมากมายไม่มีโอกาสได้เข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์ เนื่องจากว่าการดําเนินชีวิตของเขานะครับห่างไกลจากพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูมาก
ถามว่าคนที่เคยมีปัญหาเรื่องเล่นชู้ เรื่องโกรธบ่อยๆ อารมณ์เสียบ่อยมาก โมโห ขี้โมโหง่ายๆ แล้วก็คนที่โกหกเก่งๆ แล้วมีปัญหาความผิดบาปมากมายอีก ถามว่ามีโอกาสได้เข้าในราชอาณาจักรสวรรค์ หรือในอาณาจักรที่พระเยซูจะนำมาตั้งอยู่ในโลกนี้หรือไม่
เรามีโอกาสพระเยซูเป็นผู้ตัดสิน ไม่มีใครตัดสินไม่มีใครมาบอกเราว่า เธอไม่เหมาะสมนะ เธอไม่มีโอกาสนะ แต่เราขอบคุณพระเจ้า พระเจ้ายุติธรรม พระเจ้ามีพระเมตตา และพระเจ้าเป็นความรักเเละพระเจ้าให้เรามาถึงจุดที่พบราชอาณาจักรและให้เรามาถึงจุดที่พบความชอบธรรมของพระเยซูที่ทำแทนเรา พระเจ้าให้โอกาสเรา
อย่าท้อเมื่อมาถึงจุดนี้และมองดูชีวิตเดิมๆ ชีวิตในอดีตของเรา มันแย่แค่ไหนก็ตาม
อย่าท้อแท้ อย่ายอมแพ้ และเริ่มดำเนินชีวิตให้พระคริสต์เป็นความชอบธรรมของเรา ให้พระคริสต์เป็นผู้อยู่แทนเรา ให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตเพื่อเรา เพราะว่าความชอบธรรมของเราต้องเหนือกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์
เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เริ่มใหม่กับพระเจ้า ดำเนินชีวิตวันต่อวัน ในอดีตพระเจ้ายกโทษให้เราแล้ว และพระเจ้าลืมความผิดบาปเหล่านั้นแล้ว เราเริ่มต้นใหม่เมื่อพลาดก็เริ่มใหม่อีกได้