ถาม.
ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพระวิญญานเท่าไหร่เลยค่ะ อืม...รู้แต่ว่า เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและหยั่งถึงได้ยากค่ะ หนูรู้สึกแบบนี้นะคะ
ตอบ.
เรื่องฝ่ายวิญญาณ ลึกครับ คนที่มีปัญญาอาดัมมากมายจะเห็นว่าผิดเพี้ยนก็เป็นได้
- การเดินก็ต้องเดินด้วยความเชื่อ คือเชื่อเอา (2 คร 5:7)
- เราเริ่มก็ด้วยความเชื่อ (เอา) จบก็ด้วยความเชื่อ (เอา) (โรม 1:17)
...
1. เราได้รับการยกโทษบาปตอนที่ต้อนรับพระเยซู เราไม่เห็นแต่เราก็เชื่อเอาว่ายกแล้ว (แต่เมื่อเชื่อเราก็ได้เห็นผลตามมา)
2. เราได้บังเกิดใหม่เราไม่ได้เห็นก่อน แต่ผลชีวิตใหม่จะตามมาเมื่อเราเชื่อเอา (ยน 3:7-8)
3. เราได้รับพระวิญญาณเราไม่เห็น แต่ด้วยเชื่อเอา ไม่ใช่ด้วยการอดอาหาร อธิษฐานเฝ้าเดี่ยว ขอแล้วขออีก (กท 3:2) ไม่นานผลการทำงานในเราก็เกิดขึ้น เพราะความเชื่อ (เอา) นั้น
4. เราได้ตายและฟื้นขึ้นจากตายร่วมกับพระเยซู เราไม่เห็นแต่ด้วยเชื่อเอา ไม่ใช่พยายามตาย ไม่นานเราก็จะได้เห็นอาการตายและอ่อนแอของตัวเก่าคนนี้ เพราะเราเชื่อเอา (โรม 6:3-13)
5. เรานั่งในสวรรค์แล้ว (อฟ 2:6) เราถูกย้ายจากอาณาจักรอาดัมเข้าสู่อาณาจักรพระคริสต์แล้ว (คส 1:13) เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว (อย่าพูดว่าเราเป็นคนบาปเหมือนพี่น้องคริสเตียนที่ยังไม่รู้) (โรม 5:1, 19-21) เราใหม่ทุกวันชอบธรรมบริสุทธิ์แล้วในพระคริสต์ (2 คร 5:17) เพราะเราเชื่อเอา เราเชื่อในความจริงของพระเจ้า ไม่ใช่ความจริงที่ตาอาดัมมองเห็น (ฮบ 11:1 ความเชื่อคือการยอมรับ...)
...
ผมขอย้ำนะครับว่า การเดินในพระวิญญาณคือต้องเดินด้วยความเชื่อ คือเชื่อเอา
คือเชื่อก่อนจึงจะเห็นไม่ใช่เห็นก่อนถึงจะเชื่อ
มันเหมือนเราโกหกตัวเอง เพราะว่า..
1. ขณะที่เรายังไม่เห็นสันติสุข เรากลับขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้เรามีสุขเต็มล้นในเราแล้ว (แต่เมื่อเชื่อเอาเราก็ได้เห็น)
2. ขณะที่เราอ่อนแอ เรากลับขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้เรามีกำลังมากมายเต็มล้นในเรา (แต่เมื่อเชื่อเอาเราก็ได้เห็น)
3. ขณะที่เราไม่มีผลของพระวิญญาณ เราขอบพระคุณที่ให้เรามีผลเหล่านั้นแล้ว (แต่เมื่อเชื่อเอาเราก็ได้เห็น)
(ฟป 1:11 กรีก 11 เพื่อท่านจะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ *แล้ว* ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์)
...
- การฝึกเดินในความเชื่อ (เชื่อเอา) ต้องใช้เวลาครับ
- สิ่งที่สำคัญเราพูดคุยบอกรักสนิทในพระคริสต์และสะสมอาหารผู้ใหญ่ (มานาที่ซ่อนไว้)
...
* ยกตัวอย่างเรื่อง เดินด้วยเชื่อเอา *
- ความเชื่อเปรียบเหมือนเราได้รับจดหมายจากผู้ชายคนหนึ่งเป็นเศรษฐีร่ำรวยมาก
เขาเขียนสัญญากับเราว่าจะให้เงินเราอาทิตย์ละหนึ่งแสนบาทตลอดชีวิต
เราเพียงแต่เซ็นชื่อแล้วส่งจดหมายกลับไปให้เขา จากนั้นเราก็รอรับเงิน ด้วยความเชื่อว่าเงินจะมา เราไปสั่งจองเครื่องใช้ และสิ่งที่เราต้องการที่ร้านขายของห้างสรรพสินค้าอย่างมากมาย
ทั้งๆ ที่เงินยังไม่มี แต่เราเชื่อ และในที่สุดเงินนั้นก็มาจริงๆ
(เศรษฐี คือพระเจ้า) (จดหมาย คือพระคัมภีร์) (เขียนสัญญา คือพระสัญญาใหม่ผ่านพระโลหิตพระเยซู) (เงินอาทิตย์ละแสน คือพระพรฝ่ายวิญญาณครบ ทั้งการประทับตราถึงความรอดที่พระเจ้าประทานให้แล้วเรารับได้เป็นระยะๆ ) (เราเซ็นชื่อรับ คือเชื่อในความจริงที่พระเจ้าเขียนทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นอะไร) (เราไปสั่งจองเครื่องใช้ต่างๆ ในห้าง คือเรายิ้ม-มั่นใจเชื่ออย่างตายใจและรอรับสิ่งที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้)
...
เราต้องขอพระวิญญาณเปิดเผย อย่าใช้สติปัญญาเราเองนะครับ เราจะล้มเหลวและหลงทางเหมือนผมหลงมา 20 ปี และพี่น้องมากมายก็ยังหลงทางอยู่เพราะเมื่อเราใช้ปัญญาอาดามเราจะไม่หายจากอาการบอดและเกิดอาการหยิ่งภายในสุดท้ายเป็นดินที่แน่นแก่นมานาที่ซ่อนไว้เจาะเข้าไม่ได้ (มธ 13:4)
- เรื่องการฝ่ายวิญญาณ ต้องขอไม่ใช่ต้องคิด (อฟ 1:17-18)