31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้ว ก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
** "ปุโลหิตและพวกเลวี" คือพนักงานที่ทำงานรับใช้พระเจ้าที่พระวิหาร ซึ่งก็กำลัง ‘ลงไป’ ทางเดียวกันกับนักฎหมายคนนี้ คือการออกห่างจากพระเจ้า และเข้าสู่การสาปแช่ง
33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา
** คือพระเยซูเอง ซึ่งเสด็จมาในฐานะของคนที่ไม่มีค่าอะไรต่อสายตาของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวยิว เพราะว่าชาวสะมาเรียเป็นลูกผสม ระหว่างลูกหลานอิสราเอลและคนต่างชาติ ยิวจึงรังเกียจ และไม่คบกับคนเหล่านี้
34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้ พลางเอาน้ำมันกับน้ำองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้
** "เข้าไปหาเขา" คือเข้ามายังโลกนี้
** "เอาผ้าพันบาดแผลให้" คือรับเอาความเจ็บไข้ และรับแบกความผิดบาปของเขาแทนเรา (มธ 8:17)
** พลางเอาน้ำมันกับน้ำองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น "น้ำมัน" คือประทานพระวิญญาณ "เหล้าองุ่น" คือประทานชีวิตใหม่ให้ (ได้บังเกิดใหม่)
** แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้ "โรงแรม" คือคริสตจักรที่ปกติ ที่สามารถช่วยเหลือ เลี้ยงดูผู้เชื่อให้รับการหนุนใจ รู้ว่าเชื่อเท่านั้นก็รอด ซึ่งเป็นหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ ไม่ต้องเป็นเหมือนนักกฎหมายคนนี้ และรับอาหารที่ช่วยให้เขาโตได้ ไม่ใช่คริสตจักรศาสนา (ไม่ปกติ - ป่วย) ที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกับคริสตจักรปกติ
35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกเขาว่า ‘จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาข้าพเจ้าจะใช้ให้’
** "วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป" พระเยซูเสด็จกลับไปหาพระบิดา และประทานของประทานให้คริสตจักร และสั่งให้เขาใช้ของประทาน เพื่อช่วยเหลือผู้เชื่อที่รักษาพระบัญญัติไม่ได้ และแบกภาระหนักมาตลอดชีวิต
** "เมื่อกลับมาข้าพเจ้าจะใช้ให้" คือการนำผลตอบแทนมาสู่ผู้เชื่อที่ใช้ของประทานเป็น คือการกลับมาในครั้งที่สองเพื่อก่อตั้งอาณาจักร จะทรงประทานบำเหน็จ และลงโทษผู้เชื่อทุกคนตามกระกระทำของชีวิตนี้ (2 คร 5:10)
36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่า คนไหนปรากฏว่า เป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกพวกโจรปล้น”
37 เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้แสดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”
** เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราควรจะอยู่ในในฐานะของคนที่ไม่มีค่าอะไรเหมือนพระเยซู (ชาวสะมาเสียที่ไร้ค่า) พระเยซูต้องการใช้ร่างกายและชีวิตของเรา เพื่อสำแดงความรักเมตตาผ่านเรา ให้ไปหาคนที่ทำดี แต่ไม่มีพระเยซู หรือมีพระเยซู แต่ทำดีไม่ได้ หรือยอมแพ้ เพื่อเขาจะพบพระเยซู และรับพระคุณผ่านเรา พระเยซูจึงตรัสว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”