เอเมนพระเยซู สำหรับเช้าวันใหม่
ชีวิตใหม่ ชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
ชีวิตที่อยู่ในพระองค์และพระองค์อยู่ในเรา
ชีวิตที่เราร่วมกับพระองค์และพระองค์ก็ร่วมกับเรา
ชีวิตที่ต้องสนิทเพื่อรับอาหาร-น้ำแห่งชีวิตเพื่อเกิดผล
เพราะว่าพระองค์ก็สนิทในเรา เรารักพระองค์เอเมน
ขอบพระคุณที่สอนเราให้ตั้งอยู่สามสิ่งทุกวันคือ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ร่วมกับพระองค์ และสนิทในพระองค์
ขณะที่เราทั้งหลายเป็นทาสของตัวบาปและความตาย พระองค์ทรงซื้อเรา
• มธ 20:28 เหมือนกับที่บุตรมนุษย์ได้มา มิใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ แต่เพื่อจะปรนนิบัติ และเพื่อจะประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก
• 1 ทธ 2:5 กล่าวว่ามีพระเจ้าองค์เดียวและมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์
2:6 ผู้ได้ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับคนทั้งปวง เพื่อที่จะถูกเป็นพยานรับรองในเวลาอันเหมาะ
• 1 ปต 1:18 เพราะพวกท่านทราบว่า พวกท่านมิได้ถูกไถ่ไว้ด้วยสิ่งทั้งหลายที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทองคำ จากการประพฤติอันหาสาระไม่ได้ของพวกท่าน ซึ่งได้รับเป็นประเพณีจากบรรพบุรุษของพวกท่าน
1:19 แต่ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระคริสต์ ดุจเลือดของลูกแกะที่ปราศจากตำหนิและปราศจากจุดด่างพร้อย
1:20 ผู้ซึ่งแท้จริงแล้วได้ทรงถูกแต่งตั้งไว้ล่วงหน้าก่อนการวางรากฐานของโลก แต่ได้ทรงปรากฏพระองค์ในยุคสุดท้ายเหล่านี้ เพื่อพวกท่าน
• 1 คร 7:23 พวกท่านได้ถูกซื้อไว้แล้วตามราคา พวกท่านอย่าเป็นพวกผู้รับใช้ของมนุษย์เลย
• กจ 20:28 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะทั้งหมดไว้ ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นบรรดาผู้ดูแล เพื่อที่จะบำรุงเลี้ยงคริสตจักรของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
• วว 5:9 และเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงบทใหม่ โดยกล่าวว่า “พระองค์ทรงสมควรที่จะเอาหนังสือม้วนนั้นไป และที่จะแกะตราของหนังสือม้วนนั้นออก เพราะว่าพระองค์ทรงถูกปลงพระชนม์แล้ว และได้ทรงไถ่เราทั้งหลายให้ไปถึงพระเจ้าโดยพระโลหิตของพระองค์ ออกจากทุกตระกูล และทุกภาษา และทุกชนชาติ และทุกประเทศ
• 1 คร 6:20 เพราะว่าพวกท่านถูกซื้อไว้แล้วตามราคา เหตุฉะนั้นจงถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าในร่างกายของพวกท่าน และในวิญญาณของพวกท่าน ซึ่งเป็นของพระเจ้า
บทเรียน เรื่องการเป็นหนึ่งเดียว การร่วมกัน และการสนิท
โรมบทที่ 1 – 8 พระเจ้าทรงสำแดงความรักพระเมตตาและพระกรุณาต่อเราทั้งหลาย
โรมบทที่ 3 – 4 กล่าวถึงพระโลหิตจ่ายหนี้บาปเราทั้งหลาย
โรมบทที่ 5 พระเจ้าทรงยกโทษบาปเรา
โรมบทที่ 6 – 8 เป็นเรื่องของการจัดการกับชีวิตเก่าของเราที่กางเขน
** สำหรับเรื่องการมีชีวิตในโลกนี้หลังจากที่เชื่อ โรม 6:3 ยืนยันว่า ควรหรือที่เราจะทำบาปต่อไป ไม่เลย
** ทางแก้ ก็คืออยู่ที่ โรม 6:11 เราไม่ต้องทำอะไร เราแค่ถวายอวัยวะนี้ในสภาพของคนที่เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว แล้วพระเจ้าจะใช้ชีวิตของเราใช้อวัยวะของเรา เพื่อการสำแดงความชอบธรรมของพระองค์ออกมา
...
ผ่านกางเขนพระองค์ตรึงเราให้ตาย และปลดปล่อยเราโดยชุบชีวิตเราขึ้นมาใหม่ เราจึงได้บังเกิดใหม่
โรมบทที่ 6 บอกให้เราอุทิศตน ให้เราถวายตัว นั่นคือ อวัยวะของเราแด่พระเจ้า
ขณะที่โรมบทที่ 12 บอกให้เราอุทิศตนและถวายตัวแด่พระองค์ การอุทิศตนสองอย่างนี้ครอบคลุมหลายสิ่งหลายอย่าง
- น้ำพระทัยของพระเจ้า คือการที่เราอุทิศตนแด่พระองค์อย่างสมบูรณ์ ข้อกำหนดนี้เป็นข้อกำหนดที่ครอบคลุมทุกสิ่ง แต่เราไม่สามารถทำโดยตัวเราเองได้ เราทำได้เพียงโดยพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเราเท่านั้น ก่อนหน้านี้เราทำไม่ได้ แต่เราทำได้ในปัจจุบันเพราะพระคริสต์ เราได้รับพระเมตตาของพระองค์ ดังนั้นเราจึงสามารถอุทิศตน-ถวายตัวได้
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเห็นการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเพื่อเราบนไม้กางเขน และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราเชื่อ?
- เราหยุดพยายามทำความดีทันที
- ทันทีที่เราเชื่อ เราก็ได้รับความรอด
ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราเห็นว่าพระเจ้าทรงนำเรามาที่กางเขนและตรึงเราไว้ที่นั่น เราก็จะหยุดต่อสู้และหยุดพัฒนาตนเอง
เมื่อเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ภายในเราและทรงเอาชนะเพื่อเรา เราจะหยุดงานของเราเองและปล่อยให้พระเจ้าช่วยเรา
เราจะกล่าวว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะไม่พัฒนา และข้าพระองค์ไม่ตั้งใจที่จะพัฒนา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรเลย ข้าพระองค์จะไม่จัดการอะไร และข้าพระองค์จะไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งใดเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์จะปล่อยวาง และปัญหาจะไม่เป็นปัญหาของข้าพระองค์อีกต่อไป แต่เป็นปัญหาของพระองค์"
พี่น้องที่รัก นี่คือการยอมจำนน นี่คือการปล่อยวางที่แท้จริง
บางคนกล่าวว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะปล่อยวาง เมื่อถูกล่อลวง พวกเขาต้องต่อสู้ และเมื่ออารมณ์ของพวกเขาเดือดพล่าน พวกเขาต้องต่อสู้กับมัน เมื่อพวกเขาตั้งใจจะหยุดทำบางสิ่งแต่ล้มเหลว นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะตั้งปณิธานที่หนักแน่นขึ้นในครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม การตั้งใจอีกครั้งหนึ่งก็หมายถึงความล้มเหลวอีกครั้งหนึ่ง และคำสัญญาอีกครั้งหนึ่งก็หมายถึงการผิดสัญญาอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งตั้งปณิธานมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งล้มเหลวมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราสัญญามากเท่าไหร่ เราก็ผิดสัญญามากเท่านั้น
หากปณิธานแรกไม่หนักแน่นพอ ปณิธานที่สองก็จะใช้ไม่ได้ แม้ว่าจะเข้มแข็งกว่าก็ตาม โรม 7 อธิบายไว้อย่างดีว่า “ความตั้งใจอยู่กับเรา แต่การทำความดีนั้นไม่ใช่” (ข้อ 18)! ไม่มีคำสัญญาใดที่เหมาะสมเพราะเราไม่ยอมปล่อยวาง เรายังคงจัดการเรื่องของเราเอง และเราไม่สามารถพูดได้ว่าเราถูกตรึงกางเขนกับพระคริสต์แล้ว และไม่ใช่เราที่ยังมีชีวิตอยู่
- การตาย คือการปล่อยวาง
- การตาย คือการสละทิ้ง
- การตาย มันคือการสละความพยายามของเราที่จะควบคุมและเพิกเฉย
สรุป คือเมื่อเราไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป พระเจ้าจะทรงสามารถพระเจ้าจะทรงเป็นคนทำได้ในเรา
ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือการปล่อยวาง หรือยอมจำนน
มีพี่น้องชายคนหนึ่งเคยถามผมว่าเขาจะยอมปล่อยวางและปล่อยวางได้อย่างไร
เขาบอกว่าเขาไม่สามารถยอมปล่อยวางหรือปล่อยวางได้ เขาควรทำอย่างไรดี?
ผมถามว่าเขาทำอะไรในบริษัท เขาบอกว่าเขาเป็นผู้จัดการฝ่ายสิ่งทอ
ผมถามว่า "ถ้าผู้จัดการทั่วไปของบริษัทบอกคุณว่าเดือนถัดมาบริษัทไม่ต้องการคุณแล้ว และคุณถูกไล่ออก คุณจะทำอย่างไร" เขาบอกว่าสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือลาออก
จากนั้นผมก็ถามว่า "สมมติว่าเดือนถัดมา ผู้จัดการคนใหม่มาถึง และคุณโอนทุกอย่างให้เขา คุณจะทำอย่างไรถ้ามีผู้ซื้อมาหาคุณและถามว่า 'ผู้จัดการครับ คุณมีผ้าใหม่แบบไหน ราคาเท่าไหร่ คุณคิดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ภายในสองวัน'"
พี่ชายตอบว่า "ถ้าเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่ผู้จัดการคนใหม่จะมาถึง ผมก็จะคำนวณดูว่าบริษัทมีสินค้าอะไรอยู่ในสต๊อกและต้องสต็อกสินค้าเท่าไหร่ แต่ถ้าผมโอนทุกอย่างให้ผู้จัดการคนใหม่ไปแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรจะทำอีก สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือดูคนอื่นทำงาน" นี่คือการปล่อยวางและการยอมแพ้ นี่คือความหมายของการถูกตรึงกางเขนกับพระคริสต์
เราต้องทูลพระเจ้าว่า..
ข้าพระองค์ไม่ได้สละชีวิตเพราะข้าพระองค์มีความสามารถ
ข้าพระองค์สละชีวิตเพราะข้าพระองค์ทนไม่ได้อีกต่อไป
ข้าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรได้
ข้าพระองค์ไม่สามารถจัดการอะไรได้อีกต่อไป
นี่คือเหตุผลที่ข้าพระองค์ต้องสละชีวิต ความโกรธของข้าพระองค์ยังคงอยู่ ความเย่อหยิ่งของข้าพระองค์ยังคงอยู่ ความดื้อรั้นและความริษยาของข้าพระองค์ยังคงอยู่
ข้าพระองค์ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้
ข้าพระองค์ทำได้เพียงโอนย้ายและสละชีวิต
ข้าพระองค์สามารถกล่าวได้เพียงว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อ “ผู้ซื้อจากท้องถนน” ปรากฏตัวขึ้น เราต้องไม่ตื่นตระหนก มี “ผู้ซื้อ” มากมายที่มาขอซื้อทุกวัน สิ่งที่เราต้องทำคือมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องดูแลหรือจัดการสิ่งใดเลย นี่คือความหมายของการเอาชนะ นี่คือความหมายของการยอมจำนนที่แท้จริงแล้วชัยชนะก็เป็นของเรา
สิ่งหนึ่งที่เราจะพบเจอเมื่อการฝึกที่จะยอมจำนน ยอมปล่อยวางทุกสิ่ง
สำหรับการล่อลวงของซาตานที่พยายามทำให้เราเคลื่อนไหว พี่น้องทราบไหมครับว่าการล่อลวงของซาตานคืออะไร?
พี่น้องชายคนหนึ่งกล่าวว่าเขามักถูกล่อลวงให้โมโหอยู่เสมอ
พี่น้องชายอีกคนกล่าวว่าเขามักถูกล่อลวงให้ดื้อรั้นอยู่เสมอ
พี่น้องชายอีกคนหนึ่งก็มาบ่นว่าเขามักถูกล่อลวงให้เกิดความคิดที่โสมม
และพี่น้องชายอีกคนหนึ่งก็บ่นว่าเขามักถูกล่อลวงด้วยลิ้นที่ไว ชอบพูดหยาบคาย ชอบพูดไม่ดี ชอบพูดไร้สาระ ชอบพูดให้คนอื่นเสียใจ
ดูเหมือนว่ามีการล่อลวงนับพันแบบสำหรับผู้คนนับพันแบบ แต่พี่น้องที่รัก ในโลกนี้มีการล่อลวงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น สำหรับคริสเตียนที่ฝึกเดินที่เข้ามาใกล้พระเจ้า เราคิดว่าการล่อลวงนำเราไปสู่อารมณ์ ความเย่อหยิ่ง ความโลภ หรือการล่วงประเวณี
แต่สำหรับซาตาน มีการล่อลวงเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการล่อลวงให้เคลื่อนไหว ให้เราเคลื่อนไหว ซาตานไม่ได้ชักจูงให้เราโมโห หรือเย้อหยิ่ง หยิ่งผยอง โลภ หรือล่วงประเวณี
การล่อลวงของมัน คือการทำให้เราเคลื่อนไหว ตราบใดที่เราเคลื่อนไหว ซาตานก็จะชนะเรา ไม่ว่าเราจะเคลื่อนไหวอย่างไร ตราบใดที่ซาตานประสบความสำเร็จในการริเริ่มการเคลื่อนไหว เราก็ล้มเหลวในการอธิษฐานและการอ่านพระคัมภีร์ มันได้รับชัยชนะทันทีที่เราเคลื่อนไหว
เราไม่ควรขยับเขยื้อน ทันทีที่เราขยับเขยื้อน เราเคลื่อนไหว เราก็พ่ายแพ้ เราสามารถต่อสู้กับซาตานได้ เราสามารถเอาชนะได้ด้วยการให้พระคริสต์เป็นคนเคลื่อนไหว เข้าใจตรงนี้นะครับ เราไม่เคลื่อนไหว เราไม่คิด เราไม่ทำ เราไม่พูด แต่ให้พระคริสต์เป็นคนเคลื่อนไหว เพราะว่าเรายกอวัยวะถวายอวัยวะแด่พระองค์แล้ว ทั้งจิต ทั้งความคิด ทั้งการกระทำ อวัยวะทุกส่วน เราถวายแด่พระองค์แล้ว เราไม่มีสิทธิ์เคลื่อนไหว แต่ให้พระคริสต์เป็นคนเคลื่อนไหว
อีกครั้ง เราให้พระองค์เป็นคนเคลื่อนไหว เป็นคนคิด เป็นคนพูด เป็นคนทำให้เรา เป็นคนตัดสินใจในเราร่วมกับเรา คือร่วมกับคนใหม่คนนี้ที่นิ่งอยู่ไม่ทำอะไร แต่ให้พระองค์เป็นคนทำ
เพราะว่าเราอยู่ในความเป็นหนึ่งเดียวอยู่เสมอกับพระองค์ เราร่วมกันอยู่เสมอกับพระองค์ และเราสนิทในพระองค์อยู่เสมอ พระองค์ก็สนิทในเราอยู่เสมอ เอเมน
อย่างไรก็ตาม ยอห์นบทที่15 กล่าวว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เฉกเช่นเถาองุ่นและกิ่งก้านที่เป็นหนึ่งเดียว เราไม่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตในฐานะบุคคลที่ตกต่ำอีกต่อไป เราควรดำรงอยู่ในพระคริสต์และให้พระองค์ดำรงอยู่ในเรา!
ยอห์น 3:6 กล่าวถึงวิญญาณสองวิญญาณ: “สิ่งที่เกิดจากพระวิญญาณก็คือวิญญาณ” เรามีวิญญาณอยู่ภายใน ซึ่งสามารถเกิดจากพระวิญญาณได้ วิญญาณทั้งสองต้องรวมกันโดยการบังเกิดทางวิญญาณ ดังนั้น 1 โครินธ์ 6:17 จึงกล่าวว่า “ผู้ที่ผูกพัน/ร่วมกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นวิญญาณเดียว” ดังนั้น การดำรงอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการเป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์
อย่างไรก็ตาม ในกิจวัตรประจำวันของเรา เรามักจะมองข้ามเรื่องนี้ไป
สมมติว่าฉันพบพี่น้องคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง ฉันเริ่มสนทนากับเขา เขาเป็นอย่างไร ครอบครัวของเขาเป็นอย่างไร เขาทำอะไรอยู่ เราคุยกันเรื่อยเปื่อยอย่างง่ายดาย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันอยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่มีบทสนทนาใดเลยที่เป็นเรื่องของพระเจ้า แม้ว่าคำพูดของเราจะไม่มีความผิดบาปทางภายนอก แต่ฉันก็ละทิ้งพระเจ้าและกระทำการนั้นเอง ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองผิด ฉันไม่ได้ตำหนิตัวเอง
อย่างไรก็ตาม หากฉันพูดกับพี่น้องอย่างหยาบคาย มโนธรรมของฉันจะรบกวนจิตใจฉัน ถ้าฉันโกหกเขา บอกเขาว่าเขามีนิสัยไม่ดี หรือบอกว่าฉันทนอยู่กับเขาไม่ได้ ฉันก็ต้องไปหาพระเจ้าและสารภาพบาป ฉันก็ต้องกลับไปหาพี่น้องคนนั้น ขอโทษ และขอการอภัยจากเขาด้วย
หลายครั้งที่ฉันคุยกับใครสักคน ทันใดนั้น ฉันก็นึกขึ้นได้ในจิตวิญญาณว่าฉันกำลังสนทนาตามความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ตามความคิดของพระวิญญาณ ฉันจะหยุดพูดและอธิษฐานในใจว่า
“พระเจ้า โปรดยกโทษให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้อยู่กับพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้ดำรงอยู่โดยพระองค์ แทนที่จะสถิตอยู่ในพระองค์และให้พระองค์สถิตอยู่ในข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลับละทิ้งพระองค์ ข้าพระองค์กำลังกระทำโดยตัวข้าพระองค์เอง”
ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ข้าพระองค์พูดหรือกระทำนั้นผิดในตัวเอง คำพูดและการกระทำของข้าพระองค์ดูเหมือนไม่มีที่ติ คำพูดที่ถูกต้องและการกระทำที่ถูกต้องของข้าพระองค์ก็อยู่ในตัวข้าพระองค์เอง แต่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า
พี่น้องที่รักเราเป็นคริสเตียน แต่ชีวิตคริสเตียนของเราไม่ได้ดำเนินไปโดยพระคริสต์ เราเป็นคริสเตียน แต่เราดำรงอยู่โดยตัวเราเอง เราเป็นคริสเตียน แต่เรามิได้ดำรงอยู่ในวิญญาณของเราโดยพระคริสต์
เนื่องจากว่าสิ่งที่สำคัญของการดำรงอยู่นี้สูญหายไป พันธกิจในการเยียวยาของยอห์นจึงเข้ามาฟื้นฟู ท่านเยียวยารอยร้าวนี้โดยเตือนเราว่า เราไม่ได้อยู่โดยตัวเราเองอีกต่อไป บัดนี้พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระองค์ พระองค์และเราเป็นสิ่งที่มีชีวิตเดียวกัน เราเป็นกิ่งก้านของพระองค์ ที่ได้รับการต่อกิ่งเข้ากับพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และเราต้องดำรงอยู่ในพระองค์
เมื่อเราเชื่อถูกและฝึกเดินถูกวิธี พระวิญญาณก็ช่วยเรา...
ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อเราได้พบความจริงว่าหนังสือยอห์นและจดหมายของเปาโลคือการเปิดเผยความรู้ฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อเราได้พบความจริงว่า พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา
ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อเราได้พบความจริงว่า พระเจ้าต้องการร่วมทำทุกสิ่งกับมนุษย์ซึ่งพระเจ้าเป็นคนทำ เราเป็นคนถวายอวัยวะนี้ให้พระองค์ทำผ่านเรา
และขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อเราได้พบความจริงว่า พระเจ้าต้องการการสามัคคีธรรมซึ่งก็คือการสนิทนั่นเอง
ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่เหมือนการนับถือศาสนาทั่วๆ ไป มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ ความผูกพัน ระหว่างพระเจ้าผู้สร้างและมนุษย์ผู้ที่ถูกสร้าง เมื่อเราได้รับการเปิดตา เราจึงกล้ายอมรับว่าหนังสือกาลาเทียบทที่ 2 ข้อที่ 20 คือหลักการการดำเนินชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน
*ข้าพเจ้าถูกตรึงข้าพเจ้าคนเก่าถูกตรึงและตายไปแล้ว* (พร้อมกับพระเยซูที่เป็นมนุษย์) *ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป* (คือมนุษย์คนเก่า ตัวเก่า ชีวิตเก่า ถูกตรึงตายบนกางเขน และไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป) *นี่คือความจริงของพระเจ้า* และกุญแจอยู่ที่นี่ คือ *แต่พระคริสต์ต่างหาก*
แต่พระคริสต์ต่างหาก ที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ซึ่งในข้าพเจ้าคนนี้ก็คือข้าพเจ้าคนใหม่ ที่เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซู เมื่อสองพันปีก่อน เพื่อเป็นอวัยวะของพระองค์ (โรม 6:12-13)
แต่พระคริสต์ต่างหาก ก็คือพระเยซูผู้ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ที่เป็นพระวิญญาณ ผู้ได้รับเกียรติและสิทธิอำนาจที่จะแจกวิญญาณของพระองค์ เข้ามาสู่คริสเตียนทุกๆ คน เพื่อพระองค์จะเป็นคนดำเนินชีวิตแทนเราในเราและเพื่อเรา
แต่พระคริสต่างหาก จึงเป็นความหวังแห่งสง่าราศี ของการดำเนินชีวิตคริสเตียน ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป คำนี้ ถ้าเราคิด ให้ดี อย่างถ้วนถี่ คือ ไม่ใช่ตัวข้า not i; ไม่ใช่ข้าอีกต่อไปแล้ว No longer i; ไม่ใช่ข้าแต่พระคริสต์ต่างหาก not i but christ ถ้าหากข้าพเจ้าตาย ข้าพเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์คิด พูด และกระทำ เมื่อเราได้รับการเปิดตา (knowing) ในพระคำข้อนี้แล้ว ปัญหาก็คือทำอย่างไรพระคริสต์จึงลุกขึ้นและดำเนินชีวิตแทนเราในเรา?
* การนับ / การทำบัญชี* ถือว่า /นับ /ทำบัญชี
* นับ/ทำบัญชี ว่าคนเก่าตายไปอีกครั้งเป็นอยู่
การนับ การทำบัญชี การถือ ถือว่า นับว่า เป็นสิ่งที่เราจะทำต่อมา คือการนับ การทำบัญชีว่า การนับว่า คนเก่าตายไป และคนใหม่ก็เป็นอยู่
พี่ชายคนหนึ่งได้ยินเพลงที่เขาเคยชอบ แล้วเขาก็รีบร้องตาม ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า เดี๋ยวก่อน ถ้าฉันตาย ฉันคงไม่มีสิทธิ์ทำสิ่งที่ฉันพอใจ ไม่มีสิทธิ์จะชอบสิ่งที่ฉันเคยชอบ นี่คือการถือ การนับ การทำบัญชี เขาเริ่มทำเเล้ว
พี่น้องชายอีกคนโดนรถเฉี่ยว เขารีบตระโกนใส่ผู้ชายคนนั้น จะรีบไปตายรึไง แล้วเจ้าของรถอีกคันก็ตอบกลับ คุณตาบอดหรือเปล่า?
ขณะที่เขาโกรธอยู่ เขาเกิดมีความคิดอยู่ในใจ เดี๋ยวนะ ถ้าฉันตาย ฉันจะโกรธได้อย่างไร?
นี่คือการเริ่มนับ นับว่าตาย ทำบัญชีว่าตาย ถือว่าตาย แล้วเริ่มกลับมาตั้งอารมณ์ตาย เราตายต่อตัวเก่าแล้ว เราต้องทำบัญชีเราต้องนับ
เมื่อเราฝึกพระวิญญาณก็ช่วย ทำให้การฝึกเดินในพระวิญญาณก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
พระเจ้าทรงเข้าใจเราจึงตั้งพระโลหิตเพื่อการชำระบาปของเราแล้วเริ่มใหม่ การนับถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่งเราฝึกมากพระวิญญาณก็ช่วยเรามาก
สำหรับการฝึกของเราถ้าหากไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาช่วย การก้าวหน้า ความก้าวหน้า การพัฒนาก็จะไม่มี
การฝึกต้องใช้เวลา และต้องผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน
เราจะพูดคำว่าเดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวนะ..
ถ้าเราตายแล้วเนี่ยเราจะไปโกรธเขาได้ยังไง
ถ้าเราตายแล้วเนี่ยเราจะร้องเพลงเพลงนี้ได้ยังไง
ถ้าเราตายแล้วเนี่ยเราจะไปมองสิ่งที่ไม่ดีได้ยังไง
ถ้าเราตายแล้วเนี่ยเราจะเกิดความโลภขึ้นมาได้ยังไง
ถ้าเราตายแล้วเราจะโกหกเขาได้ยังไง คำนี้เป็นสิ่งที่เราจะใช้อยู่บ่อยๆ เพราะว่าการฝึกนี้ ก็คือการฝึกตั้งอารมณ์ตาย
วันนี้คุณนับ ท่องจำ ถือว่า ทำบัญชี เรื่องตายต่อชีวิตเก่าและเป็นอยู่ด้วยคนใหม่ หรือยัง?
ถาม.
ถ้าเป็นพระคัมภีร์ ฉบับ Living Stream Ministry ของวิทเนส ลี จะแปลว่า ถอดแบบการตาย คิดว่าลี แปลถูกไหม
ตอบ.
พระเยซูตั้งอารมณ์ตายต่อชีวิตเก่าเนื้อหนัง ไม่สนใจกิเลศตัญหาโลภโกรธหลงซึ่งแท้ที่จริงก็เป็นธรรมชาติของพระองค์อยู่แล้ว
และการตั้งอารม์ณ์ตายคือสิ่งที่พระองค์ให้เราทำตาม พระวิญญาณจะช่วยเราในการตั้ง อรต. (อารมณ์ตาย)
เราจะใช้คำว่า ถอดแบบของพระเยซูก็ได้ ขอแค่เราเข้าใจความหมายนะครับ
และสรุป การตั้งอารมณ์ตาย คือทุกชั่วโมงเราถามตัวเองว่า เราตายอยู่หรือไม่ พูด คิด ด้วยตัวเก่าหรือไม่ (พระวิญญาณจะช่วยเราในการฝึกเดิน)
สำหรับข้อผิดพลาดเรื่องการไม่เห็นผลของชีวิตใหม่ ทำไมคริสเตียนมากมายพบมานาฯ และฝึกมานาน ทำไมไม่เห็นผลของชีวิตใหม่ ทำไมยังไม่ตาย ทำไมไม่เห็นพระเยซูทำแทน ไม่เห็นชีวิตผู้ชนะ
เมื่อคนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทย เขาเกิดรักชอบอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ตอนแรกคนส่วนมากมักจะบอกว่า งงกับภาษาไทยมากแล้วคงจะพูดไม่ได้หรอก แต่โดยธรรมชาติ ธรรมชาติของความอยากเป็น อยากรู้ อยากพูดได้ เขาก็ตั้งใจเรียน เขาใส่ใจในการฝึกพูด ตอนแรกก็ดูยากจนทำให้ท้อ แต่สุดท้ายก็พูดได้คล่องแคล่วทั้งสำเนียงเหมือนคนไทยที่อยู่เมืองไทย บางคนพูดอีสานได้ดีมากๆ
เมื่อคุณพูดว่าคุณพบมานาฯ หลายปี แต่ไม่เห็นผลของชีวิตใหม่ ทั้งๆ ที่หลายคนฝึกแล้วเห็น 1.สันติสุขทุกวันเวลา หรือมากกว่าตอนที่เป็นคริสเตียนศาสนา 2. อาการใจเย็น สงบนิ่ง ปล่อย วาง ยอมจำนน อ่อนยอมต่อผู้อื่นได้ แต่คุณไม่มีประสบการณ์ดังกล่าว การตั้งใจเอาใจใส่เหมือนเปาโล ท่านเฆี่ยนตีตัวเอง ตั้งใจใส่ใจในการฝึกเดิน คุณเป็นอยู่หรือไม่? คุณมีหรือไม่?
พระเยซูตรัสว่าอาณาจักรสวรรค์ต้องแย่งชิงด้วยการใช้กำลังอย่างมากมาย มธ 11:12 ตั้งแต่วันเวลาของยอนห์ผู้ให้บัพติศมาจนถึงตอนนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ผจญกับความรุนแรงและพวกที่ชอบใช้ความรุนแรงก็ชิงเอาอาณาจักรโดยใช้กำลัง มันคืออะไร
แย่งชิงและใช้กำลัง คืออะไร คือการใส่ใจ คือการตั้งใจ ในการนับ ในการตั้งอารมณ์ตาย ในการฝึกเดินเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ สนิทบอกรักพูดคุยสนทนาอยู่กับพระคริสต์อยู่เสมอ นี่คือการเฆี่ยนตีตัวเองของเปาโล
เราอย่าลืมนะครับ ถ้าหากเราใส่ใจ เราตั้งใจ ไม่นานสันติสุขก็จะเต็มล้นอยู่ในเรา และไม่นานเราจะเห็นอาการสงบนิ่ง ปล่อย ปลง วาง ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบได้
คนที่เป็นชาวต่างชาติอยากเรียนภาษาไทย แต่รู้สึกว่ามันน่าจะเรียนไม่ได้เพราะมันเป็นคนละภาษาเป็นคนละเรื่องกันเลย แต่สุดท้ายด้วยความที่ไม่ท้อ และใส่ใจตั้งใจ เขาก็ทำได้ฉันใด เราเองที่ฝึกเดินในพระคริสต์ และโดยเฉพาะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา แน่นอนครับ เราจะประสบความสำเร็จในการฝึกเดิน
สิ่งที่สำคัญ ก็คือเรื่อง ตำแหน่ง พิกัด สถานะ location and new being หรือ New way of Thinking พระเจ้าต้องการให้เรา renew your mind ก็คือเปลี่ยนความคิดของเรา สำหรับการฝึกเดินในฝ่ายวิญญาณ การเปลี่ยนความคิด คิดแบบใหม่ คิดในสิ่งที่เราได้รับได้เห็นได้รู้เมื่อเราได้รับการเปิดตา
วันหนึ่ง เราตายกี่ครั้ง และกลับมาตายกี่ครั้ง เราเดินด้วยตัวใหม่กี่ครั้ง และกลับมาเดินอีกทีกี่ครั้ง เราสามัคคีธรรมกับพระเยซูกี่ครั้ง เราวางปัญหาที่มีใส่ที่พระหัตถ์ของพระเยซูกี่ครั้ง เราจะใช้คำว่าฝึกตามขนาดของความเชื่อได้ ถ้าหากเราพูดในลักษณะที่ไม่ใช่การแก้ตัว
ตอนที่ผมฝึกใหม่ๆ ผมเผลอบ่อยมากๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับชีวิตคริสเตียนแบบนี้ คือสามัคคีธรรมพูดคุยอธิษฐานขอบพระคุณ ยกย่องพระนามของพระองค์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ นับตายตั้งอารมณ์ตายอยู่เสมอ แต่ผมก็ขอบพระคุณพระเยซูที่มีพระโลหิตเพื่อการชำระ และขอบพระคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ช่วยในการฝึก ผลของพระวิญญาณก็เกิดมีมากขึ้น
ผมเคยพูดย้ำอยู่เสมอว่า การที่จะเป็นผู้ชนะต้องได้รับการเปิดตาอย่างมากมาย และสะสม และนำมาฝึกด้วยความตั้งใจใส่ใจ เรากินดื่มพระองค์ สามัคคีธรรมกับพระองค์ ใส่ใจเรื่องการนับตาย และนับเป็น และแน่นอนพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราแน่นอน พระองค์ช่วยเราในการฝึก
เมื่อพระเยซูจากไปสาวกหลายคนและเปโตร กลับไปทำมาหากินเหมือนเดิม แล้วเขาเองก็กลับไปอยู่ในอาดัมเหมือนเดิมเป็นคนเก่า เขาไม่รู้ตัวซะด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนใหม่บังเกิดใหม่ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์รบกวนเขา พระวิญญาณจะรบกวนเร้าใจเรา นำพาเราให้ฝึกจนเป็นผู้ชนะเหมือนเปาโล เป็นผู้ชนะ โดยใช้เปาโลมาเพื่อเปิดเผยพระคำแห่งความจริง เรามีใจพระองค์ก็มีทางบนความรักพระเมตตาพระคุณของพระเจ้า
เมื่อเราถูกเลือกให้มาเห็นไข่มุกหรือทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล เราควรมุ่งหน้าสู่อาณาจักรด้วยใจร้อนรน เรายังมีเวลาเหลืออีกไม่มาก เพราะฉะนั้นการฝึกเราฝึกแบบใหม่ เราเปลี่ยนสถานะ ตำแหน่ง พิกัดของเราให้ไปอยู่ในพระคริสต์ เราตั้งใจใส่ใจเฆี่ยนตีตัวเอง ฝึกในการตั้งอารมณ์ตาย ฝึกในการจดจำที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ไม่ลืมพระเจ้าเวลาเราพูดคุยเวลาเราไปไหนเราทำอะไรเราคิด มีพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว เราร่วมกับพระองค์ พระองค์ร่วมกับเรา และเราไม่ขาดจากการสามัคคีธรรม เพื่อที่จะนำสันติสุขเต็มล้นและพลังที่ยิ่งใหญ่เข้ามาสู่เรา และเกิดผลแด่พระองค์อย่างมากมาย
วันนี้คุณตายหรือยัง ?
วันนี้คุณคิดพูดและกระทำทุกสิ่งโดยมีพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกับความคิดคำพูดและการกระทำของคุณอยู่หรือไม่ ?
และวันนี้คุณตั้งอารมณ์ตายอยู่หรือไม่ ?
วันนี้คุณตั้งอารมณ์ที่เป็นคนใหม่อยู่หรือไม่ ?
ขอให้พี่น้องทุกท่านจำเริญขึ้นในพระคุณของพระบิดานะครับ เอเมน
คุณคิดว่าแผนการของพระเจ้าคือการทำให้คุณมีความกระตือรือร้น เคร่งศาสนา และจิตวิญญาณมากหรือ?
การเคร่งศาสนาดีกว่าการเป็นคนบาป การกระตือรือร้นในศาสนาคริสต์ดีกว่าการเป็นคนทางโลกจริงๆ และการเป็นคนเข้มแข็งฝ่ายความเชื่อดีกว่าการเป็นคนทางโลก
แต่คุณต้องตระหนักว่าแม้แต่การเป็นคนเข้มแข็งฝ่ายความเชื่อก็อาจเป็นกำแพงกั้นระหว่างคุณกับพระคริสต์ และอาจเป็นตัวแทนของพระคริสต์ที่ดำเนินชีวิตแทนคุณในคุณได้
• คริสเตียนคนหนึ่งอาจเป็นคนทางโลกมาก เขาอาจรักโลก แสวงหาสิ่งของทางโลก และแสวงหาทางโลก
• คริสเตียนอีกคนหนึ่งอาจเคร่งศาสนามากและอาจละทิ้งโลกนี้ไปได้โดยสิ้นเชิง
แต่ความแตกต่างระหว่างชายหนุ่มสองคนนี้สำหรับการมองของพระคริสต์คืออะไร?
อาจไม่มีความแตกต่างเลยสำหรับพระองค์
- ในผู้เชื่อที่รักโลก เราไม่เห็นพระคริสต์ในเขาแน่นอน
- และในผู้เชื่อที่เคร่งศาสนาคนนี้ เราก็ไม่เห็นพระคริสต์ดำเนินชีวิตในเขาเลย
...
เราสามารถใช้ขวดสองใบเป็นตัวอย่างได้ จุดประสงค์ของขวดเหล่านี้คือการบรรจุเครื่องดื่มบางชนิด
ขวดหนึ่งสกปรก และอีกขวดหนึ่งสะอาด
แต่ขวดเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดเท่านั้น พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อบรรจุให้เติมเต็มด้วยเครื่องดื่มบางชนิด
ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้ปรารถนาเพียงให้มี “คนสะอาด” มากมาย สิ่งที่พระเจ้าปรารถนาคือผู้คนมากมายที่ถูกบรรจุให้เต็มไปด้วยพระคริสต์ พระองค์ไม่ได้ต้องการคนเคร่งศาสนา
แต่ต้องการคริสเตียน คริสเตียนคือมนุษย์วิญญาณ มนุษย์วิญญาณที่เต็มไปด้วยพระคริสต์ในเขา มนุษย์ที่ผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ มนุษย์ที่หลงหายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์
...
ทั่วโลกนั้นค่อนข้างง่ายที่จะพบกับคริสเตียน แต่การจะพบกับคริสเตียนบางคนที่เต็มล้นด้วยพระคริสต์และมีเป้าหมายคือพระคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่ ไม่ใช่เขาที่มีชีวิตนั้นไม่ง่ายนัก
เป็นไปได้ที่จะพบกับคริสเตียนที่ขยันทำงาน คริสเตียนที่เคร่งศาสนา และคริสเตียนที่กระตือรือร้นที่ปฏิบัติเพื่อพระคริสต์ แต่การจะพบกับคริสเตียนบางคนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เต็มไปด้วยพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์และสามัคคีธรรมรับใช้พระคริสต์แต่ผู้เดียวนั้นไม่ง่ายนัก
หลายคนอาจทำงานเพื่อระบบศาสนา เช่นเดียวกับที่เซาโลแห่งเมืองทาร์ซัสทำงานเพื่อศาสนายิว คุณอาจทำงานเพื่อศาสนาแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระคริสต์เลย
หวังว่าพระเจ้าจะทรงเปิดตาเราให้เห็นว่าแผนการของพระเจ้าคือการสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวเรา เพื่อเราจะได้เป็นเหมือนพระฉายาของพระบุตรของพระองค์ พระประสงค์และแผนการของพระเจ้าไม่ได้มุ่งหมายให้เราเป็นคนเคร่งศาสนา เป็นคนดี เข้มแข็งในความเชื่อ หรือมีความรู้ในพระคัมภีร์
แต่แผนการของพระเจ้า คือการให้เราเต็มล้นด้วยพระคริสต์ ครอบครอง ซึมซาบ ผสมผสานกับพระคริสต์ นี่คือเหตุผลที่เปาโลบอกเราในฟีลิปปี 3:7-8 ว่า "แต่สิ่งใดที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลับถือว่าสิ่งนั้นไร้ค่าเพราะพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้ากลับถือว่าทุกสิ่งไร้ค่าเพราะความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์นั้น ข้าพเจ้าจึงยอมสละทุกสิ่ง และถือเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นของไร้ค่าเพื่อจะได้พระคริสต์"
เปาโลตระหนักได้ว่าสิ่งเดียวที่ได้ประโยชน์ในจักรวาลนี้คือพระคริสต์เอง สำหรับเขา พระคริสต์คือความจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว ไม่มีสิ่งใดเป็นจริงสำหรับเขานอกจากพระคริสต์
ฟีลิปปี 3:3 เปาโลกล่าวว่า "เพราะว่าเราเป็นพวกเข้าสุหนัต คือผู้ที่รับใช้โดยพระวิญญาณของพระเจ้า และอวดอ้างในพระเยซูคริสต์ และไม่มีความวางใจในเนื้อหนัง"
ฟีลิปปี 3:3 ยังบอกเราด้วยว่าเปาโลไม่ได้โอ้อวดในศาสนา ในความบริสุทธิ์ ในความสะอาด หรือในกิจกรรมทางศาสนาของเขา แต่เขาอวดพระเยซูคริสต์ เราควรอวดพระคริสต์
ไม่มีสิ่งใดสำคัญหรือเป็นจริงสำหรับเรา นอกจากพระคริสต์ ชีวิตของเราต้องปักใจและหมกมุ่นอยู่กับพระคริสต์เท่านั้นเพราะว่า พระคริสต์ คือผู้เดียวที่เป็นคำตอบสำหรับชีวิตในทุกด้านของเราไม่ว่าจะโลกนี้หรือโลกหน้า