เราขอบพระคุณพระเยซูสำหรับความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา ขอบพระคุณพระองค์ที่ทำให้เราได้มีโอกาสนำความรัก ความจริงใจ จิตใจหัวใจที่บริสุทธิ์มาเพื่อถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระองค์ ขอบพระคุณที่พระองค์รับคำสรรเสริญยกย่อง รับหัวใจ รับชีวิตใหม่ คนใหม่ของเราเพื่อเป็นอวัยวะของพระองค์ เพื่อใช้ชีวิตเราในการดำเนินชีวิตสำแดงพระองค์ให้โลกเห็น
สำหรับหนังสือยอห์นบทที่ 12 ซึ่งต่อจากบทที่ 11 ก็คือเมื่อพระเยซูชุบชีวิตของลาซารัส ให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์เดินทางไปที่อื่นก่อน และหลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จกลับมาที่หมู่บ้านนี้ แล้วพระองค์ไปอาศัยที่บ้านของชายคนหนึ่งซึ่งต้อนรับพระเยซูและจัดงานฉลอง คือเชิญพระเยซูมา แล้วก็ทำอาหารให้พระเยซูรับประทานร่วมกับสาวก แล้วก็มีลาซารัส มารีย์ มาธาร สามพี่น้องมาร่วมด้วย
ซึ่งเหตุการณ์ในบ้านหลังนี้ เราจะมองเห็นสิ่งหนึ่ง ก็คือคล้ายๆ กับการมาอยู่ร่วมกันของผู้เชื่อ และมีพระเยซู แต่สำหรับเราพระเยซูไม่ใช่แขก พระเยซูเป็นเจ้าของงาน พระเยซูเป็นผู้นำพา พระเยซูเป็นผู้จัด พระเยซูเป็นผู้ทำทุกสิ่ง โดยใช้เราเพื่อร่วมกันรวมตัวกันเป็นพระกายเป็นคริสตจักร
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือหน้าที่ทุกหน้าที่สำคัญทั้งหมด มาธารก็สำคัญ ทำกับข้าว ทำอาหาร แต่ละคนพูดคุยสามัคคีธรรมกันก็สำคัญ เสริมสร้างกันและกัน ส่วนหนึ่งที่สำคัญมากกว่าเพื่อนมากที่สุด ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม คือมีความสัมพันธ์ที่ดีรักษาความผูกพันของเราให้ใกล้ชิดสนิทกับพระเยซู นี่คือหัวใจของการใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้
เราจะขยันมากมาย เราจะตื่นแต่เช้าไปประกาศ ไปทำงาน ไปรับใช้ ไปทำอะไรก็ตาม จะเสียสละ สละชีวิตของเราสละทรัพย์สินของเรา แต่สุดท้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโลว่า ทุกสิ่งที่เราทำไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าหากเราไม่ทำด้วยตัวใหม่ และเราไม่สนิทผูกพันธ์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า
และเราผู้ชนะเราขอบพระคุณพระเยซูที่เปิดตาเรา ให้ได้รู้ความจริง ได้เข้าสู่ความสว่างที่แท้จริง คือสิ่งที่เราเคยทำที่ผ่านมามันว่างเปล่า มันเป็นไม้ฟางและหญ้าแห้ง ก็มีผลตอบแทนอยู่นะครับ
แต่ผลตอบแทนก็เท่ากับพระเจ้าตอบแทนคนที่เป็นศาสนาคริสต์ ตอบแทนคนที่เป็นมนุษย์อาดัมเป็นเนื้อหนัง ทำด้วยตัวเก่า ก็มีผลตอบแทนอยู่
แต่ผลตอบแทนที่มันผ่านไฟแห่งการทดลองเพื่อเข้าสู่ยุคพันปีและฟ้าสวรรค์ใหม่ เราต้องใช้ตัวใหม่ทำ และตัวใหม่ตัวนี้คนใหม่คนนี้ มีพระคริสต์เป็นผู้ทำแทน ซึ่งเป็นภาษาที่ฟังยากหลายคริสตจักรสะดุด
ถามว่าทำไม?
สะดุดเพราะว่าจิตใจเขาแข็งกระด้าง เขาไม่ยอมเปิดใจมาเรียนรู้มาฟังว่ามันคืออะไร พระเยซูทำแทนมันคืออะไร อยากรู้สนใจช่วยบอกหน่อย ก็แค่นี้ พระเจ้าก็อนุญาตให้เขาได้รู้ แต่พอได้ยินคำว่าพระเจ้าทำแทนพระเยซูทำแทนมันคืออะไร เขากลับขัดแย้ง ขัดขวาง ต่อต้าน กล่าวหา ว่ามันไม่มี
แต่ที่จริงแล้วภาษาอังกฤษ "Christ do for us in us" "พระคริสต์ทำแทนเราในเรา" "Christ lives for us in us" "พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราเพื่อเราในเรา" พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา คำนี้เป็นคำที่ต่างประเทศต่างชาติเขารู้กันมานานแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มน้อยที่พระเจ้าเลือกเรา ที่จะรับการเปิดตาเข้าสู่ความสว่างของพระเจ้า
และโดยเฉพาะหนังสือยอห์นเราจะเห็นว่าเป็นหนังสือที่กล่าวถึงฝ่ายวิญญาณมากกว่า เรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องการทำกิจของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราจะเห็นว่าตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงบทที่ 12 จะมีอยู่ 9 ประการที่พระเยซูคือคำตอบ
ก็คือตั้งแต่บทที่ 3 จนถึงบทที่ 7 พระเยซูคือคำตอบ เรื่องพระองค์ให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระวิญญาณได้ ไม่มีใครที่บังเกิดใหม่ได้เอง หรือหาทางอื่นได้นอกจากพระเยซูเท่านั้น มาเชื่อในพระเยซูเราได้บังเกิดใหม่
และคำตอบที่ 2 ของมนุษย์ คือพระเยซูทรงให้สันติสุขที่ไม่ต้องกระหายอีก ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้รับสันติสุขนั้น
และคำตอบที่ 3 พระเยซูเป็นคำตอบเรื่อง พระองค์รักษาอาการป่วยได้ มีการอัศจรรย์เมื่อเชื่อพระเยซู เราเชื่อมากเท่าไรเราก็เห็นการอัศจรรย์มากเท่านั้น
และคำตอบเรื่องที่ 4 พระเยซูเป็นคำตอบเรื่อง อาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งผู้เชื่อเมื่อเชื่อแล้ว เราเริ่มนับหนึ่ง ก็คือเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเราจะต้องกิน ดื่ม อาหารประจำวัน เพื่อการเติมเต็ม เต็มล้นและเพื่อการเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราขาดพระคำของพระเจ้าเราไม่อ่านก็ไม่ได้ เราไม่ฟังก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราต้องการโต และอาหารที่จะทำให้เราโต ก็คือพระคำพระเจ้า แต่ต้องกินให้เป็นนะครับ เนื่องจากว่าเมื่อก่อนทุกครั้งที่เราเปิดพระคัมภีร์เราอ่าน อ่านเพื่อเรียนเพื่อรู้ใช่ไหม แต่คนที่จะโตจริงๆ ก็คืออ่านเพื่อกินเพื่อให้ได้โต เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าทุกครั้งที่อ่าน และเชื่อว่าทุกครั้งว่าเราอ่านก็คือการกิน กินอยู่ พออ่านเสร็จก็บอกว่าขอบพระคุณพระเยซูที่เราอิ่มเราได้กิน โตแน่นอนครับ เนื่องจากว่าเราทำด้วยความเชื่อ
และคำตอบที่ 5 พระเยซูเป็นคำตอบเรื่อง ดินแดนแห่งพระสัญญาในยุคหน้าและนิรันดร์ เราจะไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป แล้วเราชีวิตเราไม่จบแค่นี้ มนุษย์หลายคนเชื่อว่าตายไปแล้วอาจจะไปไหนก็ไม่รู้ บางคนก็บอกว่ามันจบที่นี่ แต่สำหรับเราเรารู้ความจริงแล้วว่าเรา.. ขอบคุณพระเยซู พระเยซูเป็นคำตอบ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาใหม่ในยุคหน้าและยุคนิรันดร์ เพราะฉะนั้นมนุษย์ตายไม่ได้ มนุษย์เป็นอมตะ ซึ่งจะไปอยู่ไหนก็อยู่ที่เราเลือกเชื่อใคร
และคำตอบที่ 6 ก็คือพระเยซูเป็นคำตอบ เรื่องการยกโทษบาปให้มนุษย์ที่มีบาปได้ ซึ่งไม่มีใครยกโทษบาปเพื่อให้เราได้รอดได้แน่นอน แน่นอนการยกโทษบาปของมนุษย์ ก็คือเพื่อ กลับมาผูกพันสร้างความสัมพันธ์กับมามีไมตรีกันใหม่ หรือไม่เอาเรื่องกัน ก็เป็นการยกโทษบาปเล็กๆ น้อยๆ แต่การยกโทษบาปเพื่อให้ได้รอดเพื่อให้หลุดพ้นจากบึงไฟ มีเพียงพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น
และคำตอบที่ 7 พระเยซูเป็นคำตอบเรื่อง รักษาอาการบอดฝ่ายวิญญาณ และออกจากการเดินในความมืด มาสู่ความสว่างได้ เราจะเห็นคุณสมบัติเหล่านี้พระเยซูเป็นคำตอบใช่นะครับ แต่ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนที่ได้รับสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่มีแต่ผู้ชนะเท่านั้นที่ได้รับ หลายคนยังอยู่ในอาการตาบอดฝ่ายวิญญาณ หลายคนยังมองไม่เห็น หลายคนอ่านพระคัมภีร์หลายรอบ บางคนผมถามนะครับอ่าน 5 รอบก็มี 7 รอบก็มี 10 รอบก็มี
แต่ผมถามพระเยซูคริสต์ตอนนี้อยู่ที่ไหน เขาบอก..นู้น..อยู่ไกลโพ้น อยู่ที่ประทับของพระบิดา
ผมถามว่าพระคริสต์อยู่ในเราเคยได้ยินไหม เขาก็บอกเคย แต่ผมถามลึกเข้าไปอีก เขาบอกไม่รู้เรื่อง
แล้วก็เราตายร่วมกับพระเยซูเขาก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นมีหลายสิ่ง มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ผู้เชื่อมากมายยังอยู่ในอาการบอดอยู่
แต่เราสรรเสริญพระเจ้าที่วันนี้เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่พระเจ้าเปิดตาเรา เป็นวันที่พระเจ้าให้เราได้เห็นความจริง เราไม่มีอาการตาบอดอีกแล้ว ตาสว่างแล้ว สรรเสริญพระเจ้า
แล้วเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มาก มากๆ ทีเดียว ถ้าตาไม่ดี การเดิน การทำอะไรมันก็ไม่ดีไปหมด มันจะยุ่งยากกับชีวิตในแต่ละวัน แต่เพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น คือ ตาดี ถ้าตาเราดี อะไรมันก็ดี อะไรมันก็ง่ายใช่ไหมล่ะ
ลองนึกภาพนะครับ ถ้าเราปิดไฟกลางคืนปิดไฟในบ้านเรา เราจะไปทำอะไร จะไปหยิบอะไรไปจับอะไร ไปอาบน้ำมันง่ายไหม? ไม่ง่ายนะ. ต้องใช้เวลาฝึกนานเหลือเกิน แต่สรรเสริญพระเจ้า แค่สิ่งเดียวที่เราต้องการ ก็คือความสว่าง และวันนี้เราได้พบความสว่างแล้วในฝ่ายวิญญาณ ตาเราถูกเปิดแล้ว สรรเสริญพระเจ้า
สำหรับบทที่ 12 พระเยซูกลับมาหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของสามพี่น้อง พระเยซูถูกเชิญเป็นแขกรับเชิญ ที่มาในบ้านหลังหนึ่ง (มาระโก 14:3 ที่กล่าวถึงเรื่องนี้) เจ้าของบ้านชื่อซีโมนที่เชิญพระเยซูมา แล้วก็สาวกทั้งหลายพร้อมกับสามพี่น้อง ที่รู้ว่าพระเยซูกลับมาก็มาร่วมด้วย
แล้วในบ้านของชาวยิว คือห้องรับแขก เขาจะมีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ตรงกลางห้อง แล้วก็จะมีที่นั่งยาวคือมันยาวไปเลยรอบฝาห้อง ทุกคนจะนอนตะแคงแล้วก็มีหมอน เท้าก็จะเหยียดเท้าจนสุด แล้วมันก็จะไปใกล้กับอีกคนหนึ่ง เราจะเห็นนะครับว่าทำไมชาวยิวเขาล้างเท้าก่อนที่จะเข้าบ้านของใคร นี่คือเหตุผลครับเพื่อไม่ให้มีกลิ่น เพราะฉะนั้นทุกคนก็นอนกินนอนรับประทาน แล้วปรากฏว่ามาธารก็ทำกับข้าวแล้วทุกคนก็คุยกันอยู่
สำหรับคนที่ไม่พอใจในงานนี้ในบทนี้ มีผู้ชายคนเดียว มีคนเดียว ก็คือยูดาส พระคัมภีร์บทนี้บอกว่าเขาเป็นหัวขโมย เขาเป็นคนที่ชอบโกง แล้วก็เป็นคนที่ไม่สัตย์ซื่อ แล้วพระเจ้าก็รู้ พระเจ้าจึงเลือกเขามาเพื่อให้รับบทนี้ ปรากฏว่าเมื่อเหตุการณ์ที่มารีย์ทำแบบนี้ เอาน้ำหอมที่มีราคาแพงเพื่อที่จะชโลมพระบาทพระเยซู ปรากฏว่าเขาไม่พอใจ เขาพูดว่าทำไมไม่เอาไปขายแล้วไปช่วยคนยากคนจน หญิงหม้าย เด็กกำพร้า คนที่ขัดสน
จริงๆ ที่เขาพูดก็คือการเสแสร้ง เขาอยากให้เอาไปขายแล้วนำเงินมาเพื่อเขาจะเป็นคนเก็บ แล้วเขาจะขโมย ขโมยเอาส่วนหนึ่ง เป็นการหน้าซื่อใจคดของเขา
และสำหรับเรื่องของการที่จะใช้น้ำหอมของผู้หญิงคนนี้ สอนเรานะครับว่า คือพระเจ้ารักทุกคนก็จริง พระเจ้ารักทั้งคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อในโลกนี้ พระเจ้ารักโลกรักทุกคน พระองค์ทรงตอบแทนการกระทำดีและชั่วของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนับถือศาสนาไหนก็ตาม
แต่... มีแต่ เนื่องจากว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์ยุติธรรม ชอบธรรม และเที่ยงธรรม พระเจ้าจึงให้ผู้เชื่อ ได้รอด และให้ผู้ที่สละชีวิตและทรัพย์สินได้รับบำเหน็จ เห็นไหมครับคือจะมีผลตอบแทนที่แตกต่างกัน ไม่ใช่พระเจ้าลำเอียง แต่เนื่องจากว่าพระเจ้าชอบธรรมและเที่ยงธรรม
พระองค์เป็นพระเจ้าที่เที่ยงธรรม เราทำมากและเราทำถูก เราก็ได้มากและเราก็ได้ดี เราทำมากทำไม่ถูก ก็ได้ในโลกนี้ แต่ไม่ได้ดี
แล้วคนที่ทำมากที่ไม่เชื่อก็ได้ผลตอบแทนที่เขาทำ แต่เขาก็ไม่รอดเนื่องจากว่าเขาไม่เชื่อ เราจะเห็นผลตอบแทนของพระเจ้าที่ตอบแทนมนุษย์ไม่เท่ากัน
เพราะฉะนั้นหญิงคนนี้ใช้น้ำหอม ก็คือสิ่งที่มีราคาแพงมาก เราเองนะครับ ถ้าเราทำอะไรเพื่อพระเจ้า ถึงแม้จะใช้ทรัพย์สิน เวลา ชีวิตที่มีราคาแพงมากของเราเพื่อพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยลืม และพระเจ้ามีผลตอบแทนมากมายหลายเท่าแน่นอน
เพราะฉะนั้นอย่าห่วง อย่าเสียดาย อย่าคิดว่าทำไปแล้ว จะได้อะไรเหมือนเปโตร เปโตรเคยท้วงเคยทักพระเยซู "ข้าพระองค์ทำ ติดตามพระเยซูจะได้อะไร" คือมันเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม พระเจ้าเป็นพระเจ้า และพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้รักเรา และเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ ชอบธรรมและเที่ยงธรรม ยุติธรรม
เราทำอะไรแน่นอนที่สุดพระเจ้าก็ให้ เนื่องจากว่าสำหรับผู้เชื่อมีจิตใจที่เมตตา และถูกเปิดตาจะใช้เงินทองของพระเจ้าในการงานของพระองค์โดยไม่เสียดาย และไม่คำนึงถึงคนที่คิดไม่ดี เช่น โกง ขโมย อย่าลืม...ไม่ว่าจะคริสตจักรไหน หรือแม้แต่คริสตจักรผู้ชนะ
อาจจะเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ คือมีคนที่ไม่สัตย์ซื่อ ขอโทษนะครับพูดตามความจริง คือคนที่ไม่สัตย์ซื่อ มีความคิดที่โกง อยากขโมย แต่อย่าลืมนะครับพระเจ้าทรงอนุญาต และพระเจ้าเองจะเป็นผู้จัดการกับเขาเมื่อถึงเวลาของพระองค์
แต่สำหรับเราไม่ได้หมายความว่าเราไม่ระมัดระวัง เราจะเลือกใครก็ได้มาช่วยงาน หรือมาดูแลทรัพย์สิน หรือเราจะร่วมกันเพื่อเป็นผู้นำ เพื่อที่จะตกลงคุยกันเพื่อจะช่วยเหลือใครต่อใคร เราก็ระมัดระวังอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะยกมาเป็นประเด็นที่ยิ่งใหญ่
เนื่องจากว่าพระเจ้าอนุญาตและพระเจ้าจะเป็นคนจัดการเอง เราทำอะไร ใครทำอะไร ก็ต้องมีผลตอบแทนแน่นอน และสิ่งที่สำคัญ เราทำถูก การช่วยเหลือถูก คือทำด้วยมือซ้ายอย่าให้มือขวารับรู้ แล้วก็ทำด้วยตัวใหม่ ทำด้วยมนุษย์วิญญาณ และทำโดยที่พระคริสต์ทำแทน แน่นอนบำเหน็จจะมี 30 เท่า 60 เท่า 100 เท่า 1,000 เท่า
...
และสุดท้ายเราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูตรัสว่า "เพราะว่ามีคนจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป"
คำนี้ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูไม่ได้อยู่กับเรา และข้อนี้เองข้อนี้นี่เองที่ทำให้ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูไปอยู่กับพระบิดาที่สวรรค์ที่ประทับของพระบิดา แต่จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายข้อ บอกว่าพระคริสต์อยู่ในเรา และพระเยซูสัญญากับสาวกในหนังสือยอห์นบทที่ 14 เราและพระบิดาจะกับมาหาท่าน
ถ้าเราจะเห็นแต่ข้อนี้ คือเราไม่ได้อยู่กับท่านเสมอไป หลายคนก็คิดว่าพระเยซูอยู่บนสวรรค์ เราก็เงยหน้าแหงนหน้าดู แล้วก็อธิษฐาน ผมก็เคยเป็นเราหลายคนก็เคยเป็น แต่ตอนนี้เราขอบพระคุณพระเจ้าพระคัมภีร์ข้ออื่นบอกนะครับว่าพระคริสต์อยู่ในเรา สรรเสริญพระเจ้า
แล้วพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่ได้แปลว่าไม่มีความหมายอะไรนะครับ คือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงสร้างจักรวาล พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีฤทธิ์เดช มีอำนาจ ที่ทำทุกสิ่งได้ แล้วพระเจ้าผู้เป็นความรัก พระเจ้าผู้เป็นความเมตตา พระองค์อยู่ในเรา เราจะกลัวอะไรใช่ไหมล่ะ เราไม่กลัวอะไร เราไม่หวาดกลัว เราไม่วิตก เราไม่กังวล ชีวิตสบายๆ ทุกอย่างเบาไปหมด เนื่องจากว่าเรารู้ความจริงแล้ว พระเจ้าอยู่ในคุณ
ขออย่างเดียวก็คืออย่าลืม เราชอบลืม เราทำอะไร ไปไหนอย่าลืมพูดคุยกับพระองค์ และอย่าลืมตระหนักคิดถึงเสมอคำนึงว่า พระองค์อยู่ในข้าพระองค์เสมอ ขอบพระคุณพระเยซู
สรุปเพียงแค่สั้นๆ นะครับ ข้อ 1 จนถึงข้อที่ 11 แต่มีประมาณ 5 เรื่องที่เราเห็นว่ามีความสำคัญ
สรุปข้อ 1. ก็คือเรื่องการพูดถึงใครมากกว่ากัน เราเห็นว่าลาซารัสพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หลายคนก็จะตื่นเต้น ตกใจ แล้วก็มาดู ชาวยิวก็มาดู เอ่อคนนี้เขาตายไปแล้วเนี่ย แล้วชาวบ้านเบธานีก็รู้ทั้งหมดว่าเขาตาย แต่ปรากฏว่าตอนนี้มานั่งอยู่ที่นี่ ยิวหลายคนก็มาดู ปุโรหิตก็มา แล้วปรากฏว่าหลายคนกลับใจเชื่อ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเห็นการอัศจรรย์ เราเห็นพระเจ้าทำกิจ เราเห็นพระเจ้าทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ มันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่อย่าลืมนะครับคนที่เราจะพูดถึงมากกว่าใคร คนที่ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เบื้องหลังการงาน การอัศจรรย์ทั้งหลาย ก็คือพระเจ้า เพราะฉะนั้นงานวันนี้ งานที่ผู้ชายคนนี้ที่ชื่อซีโมนที่จัดงาน ต้อนรับพระเยซูเขาไม่พูดถึงและไม่ได้ให้ความสำคัญกับลาซารัสเลย ลาซารัสเป็นแค่แขกคนหนึ่งที่มานั่งร่วมกับพวกเขา
แต่คนที่เขายกย่อง เขาทำกับข้าวเพื่อต้อนรับ ทำอาหารอย่างดีเพื่อให้พระเยซูรับประทาน ก็คือพระเยซูเป็นพระเอกของงาน
เราจะนมัสการพระเจ้า ร่วมกันสามัคคีธรรมที่ไหน อย่าพูดถึงเรื่องรถติด อ๋อ..มาแล้วฝุ่น PM 2.5 หรือว่าโควิด หรือว่าอากาศตอนนี้มันร้อนมาก คือมาเจอกันคริสเตียนมาเจอกันจะพูดถึงเรื่องนู้นนี่นั่น มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้อยู่ในฝ่ายวิญญาณเสียแล้ว คือซาตานชนะ ซาตานทำสำเร็จ คือหลอกล่อเราให้ออกจากพระคริสต์ ออกจากความสว่าง ออกจากการพูดถึงพระเยซู
...
สรุปข้อที่ 2 ก็คือเรื่องน้ำหอม เรามีเวลา มีชีวิต มีทรัพย์สินที่มีค่าสำหรับเรา และเมื่อเราลงทุนกับพระเจ้า เราทำเพื่อพระเจ้า ทำให้พระเจ้า อย่าลืมทำด้วยตัวใหม่ คนใหม่และเชื่อว่าพระคริสต์ทำแทนทุกครั้ง บำเหน็จของเรามันจะผ่านไฟแห่งการทดลองไปได้ ทุกสิ่งจะเป็นทองคำ เงิน เพชรพลอย
...
สรุปข้อที่ 3 ก็คือเรื่องการคำนึงถึงคนที่ไม่ซื่อสัตย์ โกงและขโมยที่มีอยู่ภายในคริสตจักรเรา ในกลุ่มเรา อาจจะเป็นผู้รับใช้บ้าง หรืออาจจะเข้ามาร่วมบ้าง อาจจะขอความช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เดือดร้อนจริงๆ หรือคิดไม่ซื่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่กระทำกิจโดยไม่โปร่งใส ทั้งนี้ทั้งนั้นเราฝากเรามอบภาระนี้ไว้ที่พระหัตถ์ของพระเยซู พระเจ้าเห็นอยู่ พระเจ้ามองดูอยู่ พระเจ้าดูแลคริสตจักรของพระองค์อยู่ พระองค์ไม่ได้นิ่งเฉย ซึ่งพระองค์จะจัดการกับทุกสิ่งเอง เพียงแต่เราทำหน้าที่สิ่งหนึ่ง ก็คือ ก็ระมัดระวังอยู่บ้าง แต่ไม่ได้นำมาเป็นประเด็นใหญ่ๆ ระมัดระวังอยู่บ้าง แล้วก็อธิษฐาน
...
สรุปข้อที่ 4 ก็คือเรื่องพระคริสต์อยู่ในเรา ขอบพระคุณพระเจ้าเรามีพระคริสต์เยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ในเรา อยู่กับเราและอยู่เพื่อเราแทนเรา ไม่ห่างเราไปไหน อย่าลืมพระองค์ไม่ห่างเราไปไหน
...
สรุปข้อที่ 5 ก็คือคนตายฟื้นขึ้นจากความตายได้ อาการป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย หรือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ พระเจ้ารักษาได้ แต่อยู่ที่ความเชื่อของเรา เรามีความเชื่อมากน้อยแค่ไหน