ถาม.
อาจารย์เจค่ะ พอดีหนูมีแพลนไปไต้หวันไปกับเพื่อนในห้องโครงการพิเศษช่วงวันที่ 14-19 มกราคม นี้ค่ะ แต่ว่าแพลนที่ทางโรงเรียนจัดมาให้แทบทุกวันคือจะต้องไป วัด ที่ไต้หวันค่ะซึ่งก็เข้าใจได้เพราะเป็นวัดขึ้นชื่อและชื่อดัง ทางโรงเรียนจึงจัดมาให้หนูเองก็ไม่ได้จะเคารพหรือบูชาค่ะเพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ เพื่อนหนูที่อยู่ไทยเค้าต้องการของฝากจากไต้หวันที่เป็นเครื่องรางจากวัดที่เราไป อยากทราบว่าในกรณีนี้เราสามารถฝากเพื่อนที่ไปด้วยให้ซื้อและบูชาเรียบร้อย และเราเอาไปฝากเพื่อนเราที่ไทยได้ไหมคะ แบบนี้จะเป็นการบูชารูปเคารพรึเปล่าเพราะเงินที่ซื้อก็เป็นเงินเราค่ะ แล้วอย่างหนึ่งถ้าไม่ซื้อก็กลัวเพื่อนโกรธอะไรประมานเนี่ยค่ะ
ตอบ.
กรณีนี้มีนะครับหลายคนที่เจอ เจอะเจอเหตุการณ์นี้ ก็คือเกี่ยวข้องกับเรื่องเพื่อน เรื่องญาติ เรื่องพี่น้องครอบครัวที่ไม่ได้เชื่อ
ข้อแรกนะครับเราไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องการรักษาความสัมพันธ์กับเขา เรารักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะครับ
และเรื่องที่สอง กรณีที่สอง เราพิจารณานะครับว่า เพื่อนฝากซื้อ แล้วเมื่อเพื่อนฝากซื้อ เขาบอกว่ากลัวว่าจะไปยุ้งเกี่ยวกับเรื่องการกราบไหว้ คือฝากซื้อก็ฝากซื้อนะครับ เราก็ซื้อให้เขา ปลุกเสกไม่สำคัญครับ ก็คือเราเอามาให้เขา เราเป็นฝ่ายซื้อให้ รับเอามา เเล้วก็เอามาให้เขา เพราะว่าเขาฝากซื้อ ไม่ผิดครับ
และอย่าลืมนะครับเราอธิษฐานว่า พระเยซูพระองค์ทำแทนข้าพระองค์ เพื่อเห็นแก่เพื่อนเห็นแก่ความสัมพันธ์ เพื่อเห็นแก่ในอนาคตเขาอาจจะมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้
เราถือว่านี่คือของขวัญที่เพื่อนซื้อมา ของฝากที่เพื่อนฝากมา นี่คือความเชื่อของเรานะครับ ไม่ใช่ว่าคือจะต้องยกขึ้นเหนือหัวหรือจะต้องทำอะไรที่แบบในลักษณะของการกราบไหว้ เท่านี้ก็พอครับ ลักษณะของขวัญครับ ในลักษณะของสิ่งของเท่านั้นเอง
...
ถาม.
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์วิญญาณ แล้วในเรื่องฝ่ายการเรียนของเรา จริงๆ ทริปนี้ต้องการที่จะไปศึกษาความรู้ และไปดูงานที่โรงพยาบาลประเทศไต้หวันค่ะ (โรงพยาบาลฉือจี้) แต่กลายเป็นว่าโรงพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิพุทธฉือจี้ ก่อตั้งโดย พระภิกษุณีเจิ้งเหยียน ซึ่งมันก็เกี่ยวข้อกับพระพุทธศาสนา และทั้งสถานที่ที่จะได้ไปนอกเหนือจากโรงพยาบาลส่วนมากก็เป็นวัดค่ะ มันอาจจะเป็นแบบเหมือนได้เข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับด้านการแพทย์ส่วนหนึ่ง แล้วมันอาจจะมีส่วนได้เข้าไปในการเรื่อง ที่น้องกังวลนะคะเรื่องกราบไหว้รูปเคารพอะไร จะมีให้แบบจุดธูปหรืออะไรแบบนี้หรือเปล่า ซึ่งน้องก็เลยกังวลว่าในการที่เราเป็นมนุษย์วิญญาณ ก็กลัวว่าจะทำผิดกับในทางพระเจ้า อีกด้านหนึ่งมันก็จำเป็นที่จะต้องไปทำไปศึกษา เราจะหลีกเลี่ยงยังไง หรืออะไรยังไงค่ะ
ตอบ.
อันแรกนะครับสำหรับบางคนที่เป็นคริสเตียนและยังเป็นเด็ก แล้วยังมีอายุน้อย หรือเป็นคริสเตียนเด็กฝ่ายวิญญาณอยู่ ขอให้เข้าใจตรงนี้นะครับ ก็คือว่า พระเจ้าเข้าใจ พระเจ้าเห็นใจ อักแรกนะครับ พระเจ้าเข้าใจและพระเจ้าเห็นใจ พระเจ้าไม่เคยทำให้เราแบบต้องเคร่งมากๆ ในเรื่องความเชื่อ ในเรื่องการปฏิบัติ และถ้าเราคิดว่ามันเคร่ง ก็คือจะกลายเป็นเนื้อหนังและกลายเป็นอยู่ใต้พระบัญญัติ
เราทำในสิ่งที่เราเห็นว่าเราทำได้ ก็คือเราไป แต่อธิษฐานก่อนนะครับ ที่ผ่านมาเนี่ยถามว่าแม่ลูกมีการอศัจรรย์ มีการเตือน มีการตักเตือน มีการส่งสัญญาณของพระเจ้าเครื่องหมายที่พระเจ้าให้สัญญาณหรือไม่ ว่าควรไปหรือไม่ไป พระเยซูจะเป็นคนให้สติปัญญาและนำพาเราในเรื่องนี้นะครับ เราอธิษฐานก่อน
พระองค์เป็นน้ำพระทัยหรือไม่ ที่จะให้ลูกสาวไป และไปเรียนในโรงเรียนนี้ ถามพระเยซูนะครับ แล้วพระองค์ก็จะกระตุ้นเราเร้าใจเราว่าให้ไปหรือไม่ให้ไป แต่ถ้าจะให้ไปนะครับก็คือพระเจ้ามีเหตุผลให้เราหลีกเลี่ยงได้เรื่องการกราบไหว้ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ
ทุกวันนี้อย่าลืมนะครับว่าเรายังอยู่ในโลก ยังอยู่กับโลก ยังอยู่กับชาวโลกซึ่งหลายคนไม่เชื่อ เราวางตัวทำตัวให้เป็นคนที่เป็นแสงสว่างเป็นคนที่เป็นเกลือเท่านั้นครับ
คือถ้าจะระมัดระวังมากจนเกินไปเขาก็เรียกว่าเป็นการเคร่งศาสนาและอยู่ใต้พระบัญญัติแน่นอน
เพราะฉะนั้นเรายังมีเพื่อนมีพ่อแม่มีโรงเรียนมีที่ทำงานมีบริษัทมีหลายๆ ที่ซึ่งเขาไม่ได้เชื่อเหมือนเรา จะเป็นการที่อยู่ยากมาก ถ้าหากเราเคร่ง และพระเจ้าก็เข้าใจเรา ในยุคนี้เป็นยุคพระคุณไม่ใช่ยุคเคร่ง ยุคเคร่งก็คือยุคพระบัญญัติ
ขออย่างเดียวนะครับก็คือ หลีกเลี่ยงการกราบไหว้เท่านั้นพอ
...
ถาม.
ที่น้องกลัวมากๆ ก็คือกลัวการตีสอนประมานเนี่ยค่ะ ลูกสาวอายุ 17 ค่ะ
ตอบ.
ลูกสาวยังอายุเล็กนะครับ พระเจ้าเข้าใจดี ไม่ต้องห่วง การตีสอนเทียบจะไม่มี แต่ถ้าผู้ใหญ่ทำ การตีสอนมีแน่นอน
...
ถาม.
เพราะว่าที่ถามอาจารย์ไปน้องเป็นกังวลแล้วพอตกตอนเย็นมา แล้วขาน้องไปเตะกับขอบประตูแล้วมันไปโดนกระดูกน้องที่มันเคยแตกเมื่อสองปีที่เเล้วค่ะ น้องก็คิดไปใหญ่เลยว่าการที่หนูจะต้องไปเจอแบบนี้จะไปทำแบบนี้ล่วงหน้า พระเจ้าเตือนหนูหรือเปล่าหนูเตะเลยหนูจะโดนตีสอนมั้ยอะไรแบบเนี่ย
ตอบ.
ตอนที่เราเคยอยู่โบสถ์เก่า ผมเชื่อว่าเราทุกคนเคยเป็นใช่ไหม ถ้าหากว่าผมหรือเราหรือตัวเราเองหรือตัวพี่น้องเอง แล้วก็ผู้อื่นนะครับ เมื่อทำผิดสิ่งแรกที่โผล่ขึ้นในความคิดของเราคืออะไร อ๋อ พระเจ้าตีสอน พระเจ้าลงโทษ ใช่ไหม อันนี้เป็นความคิดที่ผิดนะครับ
เมื่อเรามาเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ อย่าคิดแต่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการตีสอนของพระเจ้า ไม่นะครับ บางครั้งเราอาจจะ ขอโทษนะครับ ใช้คำว่าสะเพร่านะครับ บางครั้งเราอาจจะไม่ตั้งใจไปเตะไปโดนอะไร ซึ่งมันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ระมัดระวังก็มี อย่าไปเหมารวมนะครับว่าพระเจ้าตีสอนหรือพระเจ้าโทษ ไม่ใช่นะครับ อันนี้เป็นความคิดของคริสเตียนศาสนานะครับ
ผมเห็นว่าเราหลายๆ คนเป็นใช่ไหม คือเมื่อเรามีเรื่องกับบางคน พอเขาโดนอะไรปุ๊ป เราขอบคุณพระเจ้าเราคิดในใจว่า เนี้ยเห็นมั้ยเขาโดนแล้ว เนี้ยเขาทำไม่ดีกับเรา เขาก็เลยถูกพระเจ้าลงโทษ เราเคยเป็นกันไหม?
ขอให้ความคิดนี้ออกไปจากเรานะครับ เราเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณซึ่งบางครั้งเราอาจเกิดอุบัติเหตุโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งพระเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แล้วเราไปเหมาร่วมว่านี่คือการตีสอนของพระเจ้า พระองค์ก็จะนั่งมองนะครับแล้วก็แบบ อืม เอาอีกแล้ว คิดไปอีกแระ เราไม่ได้ทำอะไรเลย
...
ถาม.
ค่ะเอเมนค่ะขอบคุณมากเลยนะคะ แล้วก็ฝากอธิษฐานเผื่อน้องในการฝึกเดินฝ่ายวิญญาณหรือความเชื่อของเขา เหมือนกับเขาจะเคร่งมาก เขาก็จะมีความกังวลว่าชีวิตเขาจะทำถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้าไหมหรืออะไรแบบนี้ค่ะ โดยที่น้องก็แบบยังเป็นเด็กนะคะ ก็มีความคิดแบบเนี้ยค่ะ คือน้องก็รักพระเจ้านะคะ ก็แบบเหมือนกับกลัวว่า รับมานานก็อาจจะไม่ได้แบบถึง 100% ก็อาจจะอยู่ที่ 50% ก็เลยเหมือนกับว่ารักษาพระบัญญัติด้วยอะไรประมานนี้ค่ะ
ตอบ.
เป็นความคิดของมนุษย์
1. เรื่องผู้ใหญ่ที่เป็นศาสนา เป็นความคิดของมนุษย์
2. ก็คือเด็ก เด็กๆ เนี่ยส่วนมากก็จะคิดในเรื่องของศาสนารูปแนวศาสนาทั้งนั้น ซึ่งความเคร่งนะครับ การเคร่งจะอยู่ในคริสเตียนศาสนาและคนที่ยังเป็นเด็กอยู่ เราไม่เเปลกใจ แล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องปกติ
ซึ่งพอมาถึงมานาฯ การเปิดตาของพระเจ้ามาสู่เราแล้ว การเคร่งก็จะไม่มี พระเจ้าไม่ได้เอาเรื่องกับเรา พระเจ้าไม่ต้องการลงโทษเรา เมื่อเราทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าเข้าใจ และเห็นใจ และรักเรา และเมตตาเรา ขอให้เข้าใจตรงนี้
1. เข้าใจ
2. เห็นใจ
3. รักเรา
4. เมตตา
ก็คือพระคุณของพระเจ้า
ผมเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ตอนแรกก็คือระมัดระวังมาก ก้าวเดินของผมทุกย่างก้าวผมจะระมัดระวัง เรื่องการมอง เรื่องการพูด เรื่องคุณสมบัติ ผมเป็นคนที่น่ากลัวเรื่องความเชื่อ ผมก็ยังคิดว่า เออ ทำไปได้ยังไง ตอนแรกเชื่อเนี่ยตอนนั้นก็คืออายุน่าจะประมาน 18-19 แล้วปรากฏว่า ความคิด คำพูด การกระทำ การเดิน ผมจะระมัดระวังมาก แต่รู้ไหมครับต่อมาไม่นานก็ทำผิด ต่อมาไม่นานก็ทำบาป แล้วก็ยืนยันกับพระเจ้าว่าจะไม่ทำอีก สุดท้ายก็ทำต่อไปนะครับ จนท้อ แล้วก็ไม่ทำ ไม่ตั้งใจที่จะเป็นคนดี เป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าอีกต่อไป
เราทุกคนก็เคยคิดใช่ไหม ก็อาจจะเคยเป็นในลักษณะนี้ เพราะว่าอยากให้พระเจ้าดีใจ อยากให้พระเจ้าพอพระทัยในชีวิตของเรา อยากเป็นคริสเตียนที่ดี แต่การเคร่งเนี่ยมันไม่มีในยุคพระคุณ เอเมน
เรื่องวัดเรื่องพระเรื่องศาสนานะครับ คือผมเนี่ยไม่มีปัญหาที่จะไปพูดคุยกับพระ หรือไปส่งพระเมื่อเห็นพระเดินอยู่ ขอไปส่งก็เคยมี ซึ่งเราคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เราไม่มองว่าเขาเป็นศาสนา เรามองว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เข้าใจนะครับ เราไม่กราบไหว้ก็พอ เราไม่คุกเข่าก็พอ เรามองเขาว่าเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนร่วมโลก เป็นคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งเราช่วยเขาได้อะไรก็ช่วย ทำอะไรดีกับเขาได้ก็ทำ ก็ทำกับเขาเหมือนกับทำกับคนทั่วๆ ไปครับ
แล้วถ้าหากมีการขอร้องให้ไปช่วยอะไรทำอะไรที่ไม่เกี่ยวข้อง ข้องเกี่ยวกับเรื่องการกราบไหว้รูปเคารพ กราบไหว้อะไรทั้งหลาย เราร่วมได้เราช่วยได้ครับ
แต่อย่าลืมนะครับ อย่าลืมสนิทในพระเยซู อย่าลืมมีพระเยซูอยู่ในหัวใจ อย่าลืมสนิทในพระองค์ต่อไป เพื่อไม่ให้ซาตานแตะเรา หรือทำอะไรเราได้ครับ เอเมน