ขอบพระคุณพระเยซูในความรักของพระองค์ ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณที่พระองค์กระทำผ่านพระบุตรของพระองค์เพื่อไถ่เราทั้งหลาย และขอบพระคุณพระองค์สำหรับวันนี้ที่เรามาถึงหนังสือกาลาเทีย ที่พระองค์สั่งสอนเปิดเผยแก่เปาโล และเปาโลก็ได้นำมาเปิดเผยต่อคริสตจักรทั้งหลาย
และขอบพระคุณที่เรามีโอกาสได้พบพระคำแห่งความจริง ขอบพระคุณพระวิญญาณแห่งความจริงที่พระองค์ทำงานหนักเพื่อช่วยเปิดตาเราทั้งหลาย และเราทุกวันนี้ไม่ใช่บังเอิญที่ได้มาพบพระคำล้ำลึกของพระองค์ พระองค์เลือกเราตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา
และขอบพระคุณสำหรับการชำระให้บริสุทธิ์ การชำระให้ชอบธรรม การนำพระคริสต์เข้ามา การกระทำของพระองค์ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายของชีวิตของพวกเรา เป็นมาโดยการกำหนดของพระบิดา สรรเสริญพระบิดา
สำหรับคริสเตียนที่อเมริกาหรือจะอยู่ที่ไหนก็ตาม คือสำหรับมหาวิทยาลัยศาสนศาสตร์ ซึ่งผู้นำส่วนมากจะเข้าไปโรงเรียน จะไปเรียนรู้น่าจะประมาณสักปีสองปีหรืออย่างมากก็ 5 ปีหลักสูตร 5 ปี จากนั้นก็ไปเป็นศิษยาภิบาล ไปเป็นผู้นำคริสตจักร แล้วก็สั่งสอนด้วยพระวจนะ ด้วยพระคำ ด้วยหลักคำสอนความเชื่อที่เขาได้รับในระดับของ 2 ปีหรือ 5 ปีเท่านั้น
แต่มีคริสเตียนอีกมากมายที่ต้องการที่จะเข้าลึกถึงแก่น เข้าถึงราก เข้าถึงทะลุพระคำพระเจ้า แต่ต้องใช้ทุนมากพอสมควร ซึ่งจะเป็นอะไรที่สู่ดีกรีระดับที่สูงๆ แล้วปัญหามันอยู่ตรงนี้เมื่อเขาเข้าถึงดีกรีหรือระดับที่สูงขึ้นและเมื่อเขาพบพระคำที่ลึกมาก ซึ่งในโรงเรียนต่างๆ นะครับเรียกว่า Deeper knowledge คือความรู้ที่ล้ำลึกกว่า ที่ลึกมาก
และเมื่อใครที่ได้เรียนรู้ ปรากฏว่าเขาพบเจอคำสอนที่ขัดแย้งกับหลักสูตร 2 ปี 5 ปี ซึ่งถ้าจะเรียกว่าขัดแย้งก็ไม่น่าจะเรียกแบบนั้นเพราะว่า 2 ปี 5 ปี ก็คือการเรียนรู้แบบการรับใช้ การประกาศข่าวประเสริฐ วิธีการเทศนาสั่งสอน วิธีประกาศ วิธีนมัสการ วิธีต่างๆ และความรู้ก็เป็นความรู้แบบตื้นๆ เผินๆ
แต่พอมาถึงพระคำล้ำลึก หรือพระคำที่ลึกกว่า ซึ่งจะเข้าถึงการแปลพระคำ คือเป็นในลักษณะที่คำต่อคำ และเป็นการแปลที่ขอบพระคุณพระเจ้านะครับสุดยอดมาก ซึ่งมีหลักคำสอนที่มาจากเปาโลเต็มไปหมด และเมื่อเขาได้เรียนรู้ และเมื่อเขาเข้าไปที่คริสตจักร เขาก็รับตำแหน่งทำหน้าที่เป็นศาสนจารย์บ้าง เป็นผู้ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าบ้าง และเมื่อมีการเทศนาสั่งสอนของผู้นำที่ได้เรียนจบหลักสูตร 2 ปี 5 ปี คือมันจะมีการขัดแย้ง แต่เขาไม่พูดอะไร เขาไม่กล้าพูด เขาไม่กล้าบอก
ถามว่าทำไม มันจะกระทบถึงตำแหน่งหน้าที่และกระทบถึงความสัมพันธ์ของพี่น้องในคริสตจักร เขาก็เลยปล่อย ปล่อยให้เขาพูดเขาสอนกัน เราจะเห็นว่าบางที่บางแห่งคริสตจักรหลายแห่ง ภายในคริสตจักรเดียวนั้นก็มีการขัดแย้งกันใช่ไหม อาจารย์คนนี้สอนแบบนี้ อาจารย์คนนี้ก็สอนแบบนี้ อาจารย์อีกคนก็สอนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอบพระคุณพระเจ้า เรามาถึงระดับที่สูงมาก โดยที่พระเจ้าไม่ต้องให้เราจ่ายค่าอะไรทั้งนั้นเลย ขอบพระคุณพระเยซูนี่เป็นพระคุณ นี่เป็นความรักความเมตตาของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับพวกเรา สรรเสริญพระเยซู
...
และการประกาศข่าวประเสริฐของพระบุตร อันนี้เราไม่ใช้คำนี้นะครับ
คือการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าหรือของพระเยซู ใช่ครับคือการพูดถึงเรื่องข่าวดี ความรอดที่เป็นมาโดยพระเยซู แต่สำหรับการประกาศพระบุตร ไม่ใช่การประกาศของพระบุตร การประกาศพระบุตรก็คือการสำแดงชีวิตของพระบุตรผ่านเรา
อีกครั้งนะครับการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าหรือการประกาศข่าวประเสริฐของพระบุตร ก็คือการนำข่าวดีมาบอก คนทั้งหลายเรื่องความเชื่อเพื่อให้ได้รับความรอด แต่คำว่าการประกาศพระบุตร คือการสำแดงชีวิตของพระบุตรผ่านเราให้โลกได้เห็นพระบุตร อย่าสับสนนะครับ
...
และข้อที่ 11 ถึงข้อที่ 24 ซึ่งผมเห็นว่ามี 4 เรื่องด้วยกัน
** เรื่องแรก ก็คือ คำว่า ข่าวประเสริฐ เราจะเห็นในตรงนี้ในข้อที่ 11 และข้อที่ 12 ข่าวประเสริฐที่เปาโลได้รับไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากการเปิดเผยของพระเยซูเอง พระองค์อยู่กับท่านที่ประเทศอาระเบียนานถึง 3 ปีกว่า เพื่อเปิดเผยความจริงแห่งข่าวประเสริฐแก่ท่าน
คำว่า เปิดเผย ในที่นี้ หรือ สำแดง ในที่นี้ ภาษาอังกฤษก็คือ Revelation ซึ่งตรงกับภาษากรีกและตรงกับในหนังสือวิวรณ์บทที่ 1 ข้อที่ 1 ซึ่งเป็นการเปิดเผยการสำแดงที่ท่านยอห์นได้รับและเขียนหนังสือวิวรณ์ และเปาโลเองก็ได้รับการเปิดเผยในลักษณะเดียวกัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพระเยซูมาหาเปาโลเป็นตัวตน มาอยู่มานั่งมากินมานอนกับเปาโลและเปิดเผยกับเปาโลเป็นเวลา 3 ปีกว่า
และเราพบว่าผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์มี 4 แบบ
1. รับจากพระเจ้าแล้วมาบอกมนุษย์
2. รับจากผู้ที่รับจากพระเจ้าแล้วมาบอกต่อ
3. รับจากพระเจ้าผ่านพระวจนะแล้วนำมาแบ่งปันตอนสามัคคีธรรม
4. ทำนายเหตุการณ์อนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แบบที่ 1. ก็คือ รับคำสอนมาจากพระเจ้าและนำไปเปิดเผยต่อมนุษย์ เราจำโมเสสได้ใช่ไหม โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย แล้วก็รับพระบัญญัติ 10 ประการ รับคำสั่งสอนต่างๆ เป็นมาโดยพระเจ้านะครับ แล้วก็นำไปเผยแพร่ไปประกาศไปสั่งสอน ชาวอิสราเอลต่อไป
และขอบคุณพระเจ้าเปาโลก็เป็นในลักษณะเดียวกันกับโมเสส คือไม่ได้ไปที่ภูเขาซีนาย แต่ไปที่ประเทศอาระเบียทะเลทราย แล้วพระเยซูก็ปรากฏแล้วก็สั่งสอนเปาโลเป็นเวลา 3 ปีกว่า
และสำคัญที่สุดนะครับความจริงแห่งข่าวประเสริฐที่สำคัญ ก็คือเชื่อเท่านั้นก็ได้รอด โดยพระคุณพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่โดยพระคุณพระเจ้า เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยพระคุณพระเจ้า พระคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเราโดยพระคุณพระเจ้า เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมและเราได้รอดแล้ว ไม่ใช่โดยการรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟัง เลิกทำบาป
ขอบคุณพระเยซูสำหรับพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสเตียน เอเมน
...
** และเรื่องที่สอง ก็คือ เรื่องราวชีวิตของเปาโลในสมัยที่ท่าน ท่านเปิดเผยนะครับว่าเคยเป็นฟาริสี ท่านเคร่งศาสนาและได้ข่มเหงคริสเตียน บิดาและมารดาของเปาโลเป็นคนเชื้อชาติยิว บิดาของเปาโลน่าจะมีผลงานในการรับใช้อาณาจักรโรมัน ท่านจึงได้รับสัญชาติโรมัน ทำให้เปาโลเป็นชาวโรมันด้วย ท่านจึงถือสองสัญชาติเหมือนบิดาของท่าน อันนี้เราพบในหนังสือกิจการ บทที่ 22 ข้อ 28
เปาโลเป็นฟาริสีที่เคร่งในเรื่องขนบธรรมเนียมของยิว ในเรื่องธรรมบัญญัติเรื่องพระบัญญัติ ท่านเคยตามล่าและฆ่าคริสเตียนมากมาย ก่อนที่จะกลับใจเป็นคริสเตียน
...
** และเรื่องที่สาม ก็คือ พระเจ้าเลือกเปาโลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพื่อให้สำแดงชีวิตและนิสัยของพระคริสต์ ซึ่งก็คือการประกาศข่าวประเสริฐด้วยการดำเนินชีวิตนั่นเอง
และท่านก็ได้เรียนรู้ ท่านไม่ได้เรียนรู้จากใครเลยนอกจากพระเยซู ในข้อที่ 15 จนถึงข้อที่ 16 คำว่า ถูกเลือกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ถูกเลือกโดยพระคุณพระเจ้าและเพื่อให้สำแดงพระบุตร อันนี้นะครับเป็นการกระทำของพระเจ้า เป็นการกำหนดของพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสุดท้ายของชีวิตเปาโล
และเราเองไม่ใช่บังเอิญที่เราได้มาพบพระคำล้ำลึกนี้ ขอบพระคุณพระเจ้า พระเจ้าเลือกเราโดยพระคุณของพระเจ้า
และพระเจ้าต้องการอะไรจากเรา
เหมือนเปาโลนะครับ ก็คือเพื่อให้เราสำแดงพระบุตร ขณะที่คนทั้งหลายสำแดงชีวิตความดี อวดดี อวดเก่ง อวดฉลาดของเขาเอง แต่เราอวดพระคริสต์ และคนที่จะอวดพระคริสต์ได้ ก็คือคนที่ ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ไม่มีเนม ไม่มีชื่อ เป็นคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีใครรู้จัก ไม่ต้องการให้ใครรู้จัก ไม่ต้องการให้ใครยกย่อง เทิดทูน เคารพ นับถือ เพียงแต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าที่พี่น้องเห็นความสำคัญของเราในฐานะผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้ที่เรายกย่อง นับถือ เคารพ นมัสการ ก็คือพระเยซูคริสต์
...
** เรื่องที่สี่ ก็คือ เมื่อเปาโลกลับใจท่านเดินทางไปที่อาระเบีย เพื่อแยกจากคริสเตียน ไม่สนใจใคร ไม่ยุ่งกับใคร ไม่ไปหาใครเลยแม้แต่คนเดียว และรับการเปิดเผยข่าวประเสริฐจากพระเยซูผู้เดียวเท่านั้น และเชื่อนะครับว่าท่านอยู่ที่นั่น 3 ปีกว่า
จากนั้นท่านก็เดินทางขึ้นไปพบเปโตรที่เยรูซาเล็ม อันนี้อยู่ในข้อที่ 17 และข้อที่ 18
ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าสำแดงต่อโมเสส จากนั้นท่านก็นำไปเปิดเผยต่อชนชาติอิสราเอล แต่ขอบคุณพระเยซูในพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูสำแดงกับเปาโล จากนั้นท่านก็นำไปเปิดเผยต่อคริสเตียน คริสตจักรทั้งหลาย
สำหรับวันนี้ขอเน้นและขอย้ำและขอพูดถึงคำว่า ข่าวประเสริฐอื่น ภาษาอังกฤษก็คือ different gospel / other gospel ก็คือข่าวประเสริฐอื่น
ขอบพระคุณพระเจ้านะครับที่เราได้พบข่าวประเสริฐที่ประเสริฐล้ำเลิศจริงๆ ก็คือพระคุณพระเจ้าช่วยให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม พระคุณพระเจ้าประทานพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา พระคุณพระเจ้าทำให้เรามีพระคริสต์เป็นชีวิตของเรา เราจึงไม่มีชีวิตอีกต่อไป เพียงแต่เราเชื่อเท่านั้นเราก็ได้รับพระคุณพระเจ้า
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงแล้วก็น่าเสียดาย ก็คือพี่น้องคริสเตียนในแคว้นกาลาเทีย หลงเชื่อคำสอนของคริสเตียนยิว ที่สอนว่าเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งศาสนาใหม่ และไม่ทิ้งอันเก่า ก็คือเอาทั้งหมด พระบัญญัติเดิมก็เอา พระบัญญัติใหม่ก็เอา เราเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่าคือใครในยุคนี้ คริสตจักรมากมายยังทำแบบนี้อยู่ ก็คือพระบัญญัติเก่าก็เอา พระบัญญัติใหม่ก็เอา แล้วถ้าเราไปคุยกับเขาไปถกเถียงกับเขา ชนะเขาไม่ได้ มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้นนะครับ
เราขอบคุณพระเจ้านะครับเราหลีกเลี่ยงการถกเถียง เราไม่ต่อสู้ใคร ใครจะเชื่อแบบไหน มันอยู่ที่ตาของใคร ที่จะมองเห็นความสว่างหรือไม่สว่าง สำหรับพระเยซูพระองค์ตรัสว่า ตาเป็นประทีปของร่างกาย ถ้าหากตาบอดหรือตามองไม่เห็นมันจะมืดทึบสักเพียงใดหนอ เพราะฉะนั้นการมอง การเห็น อยู่ที่การเปิดตาของพระเจ้าของพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่คริสเตียนในแคว้นกาลาเทียหลงเชื่อกันไปหมดและอีกหลายๆ แคว้น หลายๆ เมือง หลงเชื่อข่าวประเสริฐอื่นซึ่งเป็นมาโดยพี่น้องจอมปลอม ก็คือคริสเตียนชาวยิว และบังคับทุกคนให้รักษาพระบัญญัติเดิมเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เพื่อให้ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้ได้รอด ซึ่งเขาได้นำแอก กางเขน ภาระ ที่หนักมากมาใส่ไว้บนบ่าของผู้เชื่อทั้งหลาย
เมื่อเปาโลได้ยินข่าวท่านก็เป็นห่วง ท่านก็ส่งจดหมายมาเพื่อเตือน แล้วก็ช่วยให้ผู้เชื่อทั้งหลายได้หลุดพ้นจากยุคแห่งศาสนาอันชั่วร้าย เปาโลพูดถึงคำว่ายุคแห่งศาสนาอันชั่วร้าย ยุคแห่งความชั่วร้ายก็คือทุกวันนี้นะครับ ศาสนาหรือรูปแนวศาสนาหรืออะไรก็ตามนะครับที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ศาสนา เป็นสิ่งที่มีคำว่าชั่วร้ายอยู่เบื้องหลัง มีการคดโกง โกงกิน แย่งชิง อิจฉา ริษยา คืออีกมากมายหลายสิ่งที่เป็นด้านลบ อยู่ในคริสตจักรของพระเจ้าและอยู่ในศาสนาต่างๆ
ซึ่งเราผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้และเดินในรูปแนวแห่งชีวิต เอาความรักเป็นหลัก ไม่มีการแย่งชิง ไม่มีอิจฉาใคร ไม่ต้องการตำแหน่ง ชื่อเสียงค่าจ้าง เราอยู่โดยการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอยู่โดยการใช้ชีวิตของพระคริสต์เพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา
เมื่อผู้เชื่อทั้งหลายหลงเชื่อคำสอนของคริสเตียนยิว คำสอนเหล่านี้จึงแพร่ไปทั่วคริสตจักรในสมัยนั้นและมาถึงยุคปัจจุบันนี้ มีคำสอนของคริสเตียนยิวเต็มไปหมดเลยในทุกๆ คริสตจักร และขอบพระคุณพระเจ้า พระเจ้าทำงานหนักมากเพื่อที่จะไถ่เรา ช่วยเราให้หลุดพ้นจากศาสนาอันชั่วร้ายนี้ และถอดหน้ากาก ไม่น่าซื่อใจคด ไม่สวมหน้ากาก มาเป็นคนจริงตัวจริง ดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงของพระเจ้า
สำหรับเปาโลนะครับเรียกข่าวประเสริฐนี้ว่าข่าวประเสริฐอื่น สำหรับคริสเตียนยิวที่ประกาศก็คือพี่น้องจอมปลอม และเรียกพี่น้องที่หลงเชื่อนะครับว่าพวกที่แยกออกจากพระเจ้าและหล่นจากพระคุณ
สิ่งที่สำคัญนะครับ
พระคุณ คือการอยู่ใต้การช่วยเหลือ การกระทำของพระเจ้าเพียงฝ่ายเดียว เพื่อช่วยไถ่เราตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย
ส่วนพระบัญญัติ ก็คือการที่เราจะต้องทำเองเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เพื่อให้ได้รอด
การออกห่างหรือหล่นจากพระคุณ ก็คือการออกจากการช่วยเหลือการทำงานของพระคริสต์ในเรา ซึ่งเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับพระเจ้า มันคือการก่อขึ้นด้วยไม้ ฟาง หญ้าแห้ง
แต่ผู้เชื่อนะครับต้องอยู่ในพระคริสต์ และให้พระคริสต์เกิดผลในเรา ซึ่งการก่อชีวิตนี้ เรียกว่าการก่อขึ้นด้วย ทองคำ เงินและเพชรพลอย
...
สรุป การพยายามรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟัง เลิกทำบาป เข้ามามีส่วนในความเชื่อ อันนี้เรียกว่าไม่ได้อยู่ใต้พระคุณและไม่มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตของเขา
สำหรับคำหนึ่งที่เปาโลพูดในหนังสือกาลาเทียก็คือ to be Justified by law or by faith alone? ก็คือการได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยพระบัญญัติ หรือการได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อเท่านั้น
สำหรับการพยายามเลิกทำบาปหรือพยายามรักษาพระบัญญัติให้ครบเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม อันนี้เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่ามนุษย์ตกต่ำถูกสาปแช่งแล้วเนื้อหนังไม่มีอะไรดี
เรานะครับได้กลายเป็นคนชอบธรรมเนื่องมาจากความเชื่อเท่านั้นไม่มีทางอื่น สรรเสริญพระเยซู
เพราะฉะนั้นนะครับเราเป็นหนึ่งในผู้เชื่อมากมายที่รอดและได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
การกระทำดี การพยายามรักษาพระบัญญัติ การพยายามเชื่อฟังพระเจ้า การรับบัพติศมา การไปประกาศข่าวประเสริฐ การไปก่อตั้งคริสตจักร การทำอะไรก็แล้วแต่ทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นคนชอบธรรมได้
แต่ความเชื่อ การเชื่อในพระบุตร การเชื่อในการตายแทนบาปของเรา การเชื่อในการที่พระบุตรเป็นพระเจ้าที่มาจากสวรรค์ คือสิ่งที่ทำให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม สรรเสริญพระเยซู
และสำหรับการพยายามเป็นคนดี พยายามเป็นคนดีเป็นคนที่เพอร์เฟคด้วยตัวเราเอง ด้วยตัวเก่าของเรา และการเข้าสุหนัตเหมือนชาวยิว ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้คริสเตียนในพระคุณนี้
สุดท้ายพระเจ้าต้องการช่วยเหลือผู้เชื่อไม่ให้หลงไปจากพระคำแห่งความจริง พระองค์จึงใช้เปาโลเพื่อเตือนผู้เชื่อ ไม่ให้พวกเขาตกอยู่ในกับดัก ที่เรียกว่ายุคแห่งศาสนาที่ชั่วร้ายทั้งหลาย และนำพวกเราเข้าสู่รูปแนวชีวิตในพระคริสต์