ถาม.
ขอถามข้อพระคัมภีร์ค่ะ มาระโก 13:20 "ถ้าพระเจ้าไม่โปรดให้วันนั้นย่นสั้นเข้าจะไม่มีใครรอดได้เลย แต่เพราะทรงเห็นแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกสรร พระองค์จึงทรงโปรดให้วันเหล่านั้นย่นเข้า" วันเหล่านั้นที่พระเจ้าพูดถึงคือในช่วงกลียุคหรือวันไหนค่ะ
ตอบ.
อันนี้คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงกลียุค ความทุกข์ทรมานปัญหามากมาย ช่วงสุดท้ายคราวสุดท้ายของยุคพระคุณ นับตั้งแต่มัทธิวบทที่ 24 ก็คือเริ่มที่จะเข้าสู่ช่วงกลียุค แล้วก็การเข้าสู่ช่วงกลียุค เป็นเวลาที่พระเยซูตรัสถึงมาระโกบทที่ 13 ครับ
ถาม.
หมายความว่าพระเจ้ากำหนดไว้ 7 ปีใช่ไหมค่ะกลียุค ถ้าสั้นลงก็คือไม่ถึง 7 ปีหรอค่ะ หรือยังไงค่ะ
ตอบ.
การสั้นเข้านะครับก็คืออยู่ในช่วงมัทธิวบทที่ 24
ซึ่ง 7 ปีแห่งความทุกข์ทรมานก็คือเป็นเวลาที่กำหนดอยู่แล้ว แต่ช่วงที่จะทำให้สั้นเข้าได้ก็คือช่วงก่อนที่จะถึงกลียุค ก่อนที่จะถึงปีแรกของกลียุค
ซึ่งทุกวันนี้เราเห็นว่าพระเจ้าทำให้มันสั้นเข้า ถ้าไม่อย่างนั้นผู้คนมากมายในโลกนี้ เห็นไหมครับตอนนี้น้ำท่วมไฟไหม้แผ่นดินไหว สงคราม กันดารอาหาร อะไรมากมายเกิดขึ้น ผู้คนล้มตาย ผู้คนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน หิว เราอาจจะไม่เห็นใช่ไหมเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ทั่วโลกตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่ ซึ่งพระเจ้าทำให้มันเกิดขึ้นและเร็วมาก เอเมน สาเหตุก็เพราะความสงสารของพระเจ้า พระเจ้ามีพระเมตตา มีความสงสาร
ถาม.
ขออาจารย์อธิบายเพิ่มเติมค่ะ คือหมายความว่าทุกวันนี้ก็มีเหตุการณ์ที่มันรุนแรงมากขึ้น และพระเจ้าจะเร่งให้ช่วงกลียุคเร็วขึ้นใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
อีกครั้งนะครับ โอเคขอให้ตั้งใจฟังนะครับ ก็คือ 7 ปีแห่งความทุกข์ทรมาน กลียุคเนี่ยก็คือ 7 ปี จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ 3 ปีครึ่งแรก และ 3 ปีครึ่งสุดท้าย
แต่ก่อนที่จะถึง 7 ปี จะมีช่วงที่เรียกว่าความทุกข์ทรมาน เข้าใจนะครับ อยู่ในมัทธิวบทที่ 24 บอกว่า ก่อนที่จะถึงกลียุคจะมีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในโลกนี้ ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็คือยาวนาน ทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความสงสารด้วยพระเมตตาด้วยความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่เป็นคนบาป พระเจ้าจึงย่อให้สั้นเข้านะครับ
คือสมมุติอันนี้แค่สมมุติ ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์นะครับ ถ้าสมมุติว่าพระเจ้าวางแผนให้โลกก่อนที่จะถึงกลียุค จะมี 20 ปี เจอสงคราม ภัยธรรมชาติอะไรเกิดขึ้นมากมาย ก็คือ 20 ปี แต่พระเจ้าย่อย่นเข้าให้เหลือแค่ 10 ปีหรือ 5 ปี ด้วยความสงสารด้วยความเมตตาของพระเจ้า เข้าใจนะครับ แล้วจากนั้นก็คือมาถึง 7 ปี 7 ปีก็คือไม่เปลี่ยนนะครับ
ถาม.
ขออนุญาตถามค่ะมันจะเป็นวันและคืนที่แบบเร็วขึ้นไหมค่ะ เพราะว่าเราก็งงๆอยู่ว่าทำไมเดี๋ยวก็ค่ำเดี๋ยวก็เช้า เหมือนได้นอนแป๊บเดียว อะไรประมาณนี้ค่ะ
ตอบ.
สำหรับเวลาไม่เปลี่ยนนะครับ เวลาก็คือเวลา นาทีก็คือนาที
เรื่องที่เรามองเห็นว่าเอ๊ะทำไมมันเดินเร็วจัง นาฬิกาเดินเร็วจัง เดี๋ยวก็ถึงวันศุกร์เดี๋ยวก็ถึงวันเสาร์ เดี๋ยวก็ 8 โมงเช้าแล้ว คือทำไมเวลามันเร็ว อันนี้มันอยู่ที่ใจของเรา มันเป็นเรื่องของหัวใจ มันเป็นเรื่องของหัวใจของเรา ถ้าเราสงบสุขสงบนิ่งในพระเจ้า ทุกสิ่งก็จะเดินไปเร็วมาก เราทำงานอยู่มันก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว อันนี้เป็นเรื่องของจิตใจนะครับ
แต่เรื่องเวลา เรื่องวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ เรื่องเวลา 24 ชั่วโมง ไม่เปลี่ยนนะครับเหมือนเดิมเท่าเดิม
เพียงแต่ว่าพระเจ้าจะย่อจาก สมมุตินะครับ 20 ปีที่พระเจ้าวางไว้ก่อนที่จะถึง 7 ปี พระเจ้าก็ย่นเข้าย่อเข้าให้เหลือแค่ 10 ปี หรือ 5 ปี แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์
เราจำกันได้ไหมมีหลายคนที่เป็นพยาน คือเมื่อรับมานาฯ เราสนิทในพระเจ้า มีสันติสุขมาก ไปทำงานตั้งแต่เช้านะครับจนเย็น คือเวลามันผ่านไปเร็วมาก เวลามันก็เท่าเดิมนั่นแหละ แต่ที่มันผ่านไปเหมือนผ่านไปได้เร็วก็คือ หัวใจจิตใจของเราที่มีความสงบสุขในพระเจ้า เรามีสันติสุขเวลาที่นานมันก็จะเหมือนเร็ว แล้วงานที่หนักมันก็จะเหมือนเบา เมื่อสมัยที่ผมอยู่อเมริกา ไปทำงานที่คือไปเก็บผลไม้ไปเก็บผักไปรับจ้าง คือมันแดดร้อนมาก แต่ขอบคุณพระเยซู มันเย็นสบายนะมันเย็นสบายในใจ แล้วก็อะไรที่มันหนักๆ ก็เหมือนไม่หนักเหมือนเบา
แล้วแต่ก่อน คือไม่ใช่ว่าจะรอให้ถึงเย็นถึงเลิกงานนะ แค่เราทำงานตอนเช้า แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงเที่ยง เบรคทานข้าวเที่ยง มันนานมากใช่ไหม เราเคยเป็นไหม ไม่ใช่แต่ว่าคือรอให้มันเลิกงานนะ แค่ตอนเช้าจนถึงเที่ยงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเนี่ย ก็ดูเหมือนว่ามันนานมากๆ ดูนาฬิกาทุกครั้งอ้าวมันหมุนไปนิดเดียว กลับไปดูนาฬิกาเอ้ามันเท่าเดิม เหมือนกับเวลามันหยุดหรือมันเดินช้ามากใช่ไหม อันนี้เป็นประสบการณ์ของคนที่ทุกข์ร้อนใจ เป็นประสบการณ์ของคริสเตียนศาสนา เป็นประสบการณ์ของมนุษย์ทั่วไป ที่ใจร้อนที่อยากให้ได้พักเที่ยง
แต่เมื่อเรามีสันติสุขในพระเจ้า เรามีความสงบนิ่งในพระเจ้า ทุกสิ่งมันดูเหมือนเดินเร็วมากๆ เลยเรื่องเวลา อันนี้เราขอบพระคุณพระเจ้า นี่คือประสบการณ์ของชีวิตในสวรรค์บนดิน
เราที่ไม่ได้ดูข่าวหรือพี่น้องที่เห็นข่าว ก็ขอบคุณพระเจ้า เราจะเห็นว่าบางคนก็เข้าข้างอิสราเอลบ้าง บางคนก็เข้าข้างประเทศอื่นบ้าง แล้วก็มีเกิดสงครามทั่วโลกหลายที่หลายประเทศ บางคนก็มองเห็นว่าประชาชนคือชาวปาเลสไตน์ตอนนี้ที่กำลังทุกข์ร้อนที่ไม่มีอันจะกิน ก็คือเด็กเล็กๆ เนี่ยเยอะมากหลายพันหลายหมื่นที่เขาไม่มีอาหารกิน ถ้าหากเรามองเห็นจุดนี้นะครับเราจะพบว่ามันก็มีทั้งส่วนที่เรามองเห็นส่วนดีของมนุษย์ และอีกส่วนหนึ่งเราก็มองเห็นส่วนที่ไม่ดีของมนุษย์ ทั้งยิวและทั้งปาเลสไตน์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เป็นมานานตั้งแต่ประวัติศาสตร์นะครับ เราจะพบว่าชาวฟิลิสเตียกับอิสราเอลก็คือเขามีบาดหมางกันมาตั้งนานแล้ว เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของอดีตเป็นเรื่องของบรรพบุรุษที่ทะเลาะกัน
เพราะฉะนั้นสำหรับเรา เราขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้เข้าข้างอิสราเอล แล้วเราก็ไม่ได้เข้าข้างปาเลสไตน์ เราไม่ได้เข้าข้างรัสเซีย และเราก็ไม่ได้เข้าข้างยูเครน เราไม่ได้เข้าข้างจีน เราก็ไม่ได้เข้าข้างอเมริกา เราไม่ได้เข้าข้างใครทั้งนั้นเพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเงาเป็นสิ่งชั่วคราว และมันจะจบลงเมื่อพระเยซูเสด็จมา เอเมน
เรามีหน้าที่ฝึกในการเชื่อ วางใจ และสนิทในพระเจ้า มองบวกในทุกสิ่ง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็คือสำแดงชีวิตของพระคริสต์ เพื่อบำเหน็จจะเป็นของเรา และเพื่อชีวิตนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าผู้เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เป็นวิญญาณที่ดับสูญไม่ได้ตายไม่ได้ แล้วเราจะเป็นอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์เหมือนกัน เอเมน
ขอสรุปอีกครั้ง ถ้าเราเป็นทุกข์อยู่วันนี้ แสดงว่าเรามีปัญหาเรื่องความเชื่อการวางใจและการสนิทและการมองโลกในแง่บวก ถ้าเรายังมีเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่ไม่ดีตลอดเวลาอยู่เสมอ เป็นป่วยไข้เดี๋ยวก็ป่วยไข้เดี๋ยวก็ป่วยไข้ แสดงว่าเราต้องแก้ไข 4 สิ่งนี้ 1. เชื่อ 2. วางใจ 3. สนิท 4. มองบวก แล้วพลังบวกของพระเจ้าพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่มาทางโลกบวกโลกวิญญาณจะทำให้เรามีชีวิตที่ไม่ป่วยไข้ ไม่เจ็บป่วย ไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อน ไม่กระวนกระวาย ไม่กลัว แต่กล้า ไม่หิว แต่อิ่ม ไม่ขัดสน แต่มีกิน กินยาพิษนะครับก็ปลอดภัย อยู่อย่างปลอดภัยในโลกนี้ได้ ขอบคุณพระเยซูสำหรับสิ่งนี้ เอเมน