1. การยกโทษนิรันดร์
2. การยกโทษในแต่ละวัน
3. การยกโทษเพื่อเข้าในราชอาณาจักรสวรรค์
การยกโทษนิรันดร์ เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และฟื้นขึ้นมาจากตาย พระองค์ทรงนำพระโลหิตของพระองค์ขึ้นไปบนสวรรค์เข้าไปในพระวิหารถวายพระโลหิตแด่พระบิดา พระเจ้าทรงยอมรับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เป็นค่าไถ่บาปของมนุษย์
เมื่อเราเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ พระโลหิตนี้จะเป็นค่าไถ่บาปของเรา การยกโทษบาปนิรันดร์ก็เกิดขึ้น
เมื่อใครคนใดคนหนึ่งต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณก็เข้ามาบันดาลให้วิญญาณของเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณทรงอยู่ร่วมกับวิญญาณของเราและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวิญญาณของเราตั้งแต่นั้นมา พระวิญญาณจะไม่พรากจากเราไปไหนอีกเลย เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้ว นี่คือการรับการยกโทษนิรันดร์จากพระเจ้า
คริสเตียนส่วนมากมักจะคิดว่าเราจะสูญเสียความรอดในวันหนึ่ง ถ้าหากการเชื่อฟังของเราไม่ถึง หรือเราทิ้งพระเจ้าไป แต่แท้ที่จริงแล้วคริสเตียนที่บังเกิดใหม่จะไม่ทิ้งความเชื่อเด็ดขาด พระเยซูทรงตรัสว่า “แกะของเรารู้จักเรา และเราก็รู้จักแกะของเรา และเราจะรักษาแกะของเรา” ยอห์น 10:1-21
การได้รับการยกโทษนิรันดร์และถึงความรอดนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติ เชื่อฟังและทำดี เพราะความรอดนี้เราได้รับจากพระเจ้าโดยทางความเชื่อ และเป็นพระคุณ ความรอดเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงมอบให้เรา เอเฟซัส 2:8-9 กล่าวว่า “ความรอดเราก็ได้มาโดยความเชื่อเป็นของขวัญที่พระเจ้าให้เรา เพื่อจะไม่มีใครอวดได้”
โรม 11:6 กล่าวว่า “พระคุณก็คือพระคุณ ถ้ามีการเชื่อฟังการปฏิบัติเข้ามายุ่งเกี่ยว เกี่ยวข้องกับพระคุณ พระคุณก็จะไม่ใช่พระคุณอีกต่อไป”
1. บาปชั่วนิรันดร์
2. บาปแต่ละวัน
3. ยกโทษให้คนอื่น เพื่อเราจะเข้าอาณาจักรได้ (เพื่อเราเอง)
เราทราบกันแล้วว่า การยกโทษนิรันดร์ คือการยกโทษครั้งเดียว พระเยซูถวายพระโลหิตของพระองค์ เป็นการสิ้นสุด เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ และจะไม่สูญเสียชีวิตนิรันดร์นี้อีกเลย เราจะรอดในวันสุดท้าย เมื่อการพิพากษาครั้งใหญ่มาถึง เราจะไม่ถูกตัดสิน ส่งไปยังนรกบึงไฟ
ส่วนการยกโทษแบบที่สอง ก็คือการยกโทษในแต่ละวัน เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ที่พวกเราจะต้องได้รับการยกโทษจากพระเจ้าในแต่ละวัน เพื่อการสามัคคีธรรม เพื่อการสัมผัส เพื่อการเคลื่อนไหว เพื่อการทำงานของพระเจ้าต่อเราในแต่ละวัน ถ้าหากพระเจ้าไม่ยกโทษ เราก็ไม่อาจที่จะเข้าใกล้หรือเข้าหาพระเจ้าได้
เนื่องจากคริสเตียนมากมายทุกวันนี้เข้าใจผิดว่า การเข้ามาหาพระเจ้านั้น เราจะต้องเข้ามาโดยทางการเชื่อฟัง การรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ การทำดีมากๆ และเมื่อไหร่ที่เราทำบาป เราก็ไม่อาจเข้ามาหาพระเจ้าได้ เป็นความคิดที่ผิด
การเข้ามาหาพระเจ้านั้น พระคัมภีร์ฮีบรูกล่าวว่า “เราจึงมีใจกล้าที่จะเข้ามาหาพระเจ้าในที่บริสุทธิ์ได้โดยทางพระโลหิต” (ฮบ 10:19) คือโดยทางพระโลหิต
การยกโทษแบบที่หนึ่ง คือการยกโทษนิรันดร์ เราได้รับจากพระเจ้าโดยทางพระโลหิต และการยกโทษแบบที่สองก็เช่นเดียวกัน เราเข้ามาหาพระเจ้าทุกครั้ง และรับการยกโทษนั้น ก็โดยทางพระโลหิต
พระโลหิตไม่เพียงแต่ช่วยเราให้พ้นโทษนิรันดร์จากพระเจ้าเท่านั้น แต่ในแต่ละวัน เราเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยพึ่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระโลหิตมีคุณค่ามากเกินกว่าที่คริสเตียนจะเข้าใจ
1 ยน 1:9 กล่าวว่า “ถ้าหากเราสารภาพบาป พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม จะทรงยกโทษบาปทุกชนิด”
การอธรรมทุกอย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นบาปใหญ่ บาปเล็ก บาปน้อย บาปที่ซ่อนไว้ บาปที่เราทำในที่ลับลี้ หรือบาปเราทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นบาปอะไรก็ตาม พระเจ้าก็จะยกโทษให้ทั้งหมด
บาปที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ ก็คือการดูหมิ่นพระวิญญาณ ซึ่งไม่ใช่บาปของคริสเตียน แต่เป็นบาปของคนที่ไม่เชื่อ คนที่ไม่เชื่อจะดูหมิ่นพระวิญญาณ แต่คริสเตียนจะหักห้ามพระวิญญาณ ดับพระวิญญาณ และทำให้พระวิญญาณพระเจ้าเสียพระทัยได้
เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ที่เราต้องการเข้ามาหาพระเจ้า โดยการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ สามัคคีธรรมกับพระเจ้า นมัสการพระเจ้า เราสามารถเข้ามาได้ทุกครั้ง ทุกเมื่อ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าตอนนี้เราจะโกรธอยู่ เราทำบาปอยู่ เมื่อมีปัญหาเรื่องความบาป เราสารภาพ และกลับมาหาพระเจ้าได้ทันทีโดยทางพระโลหิต
เปโตรถามพระเยซูว่า “เมื่อเพื่อนบ้านของข้าพเจ้าทำผิด ควรยกโทษให้กี่ครั้งดี” พระเยซูตรัสตอบว่า “70 x 7” ความหมายก็คือ 70 x 7 คือไม่มีกำหนด ไม่มีขอบเขต ไม่มีจำกัด แต่คริสเตียนมักจะเข้าใจว่าเป็นตัวเลข แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ การไม่มีขอบเขต เขาจะทำผิดกับเรามากเท่าไหร่ เราก็ยกโทษให้มากเท่านั้น
เมื่อพระเยซูสอนเปโตร พระเยซูเองก็มีน้ำพระทัยแบบนั้นอยู่แล้ว พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เต็มล้นด้วยพระคุณและการยกโทษในยุคพระคุณนี้ ซึ่งแตกต่างจากยุคพระบัญญัติมาก ที่พระเจ้าจะต้องเคร่งครัด และตัดสินทุกอย่างตามการรักษาพระบัญญัติของชาวยิว
...
เรารู้กันแล้วว่า การยกโทษแบบที่หนึ่ง เราพึ่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูทรงจ่ายหนี้บาปครั้งเดียวถวายแด่พระเจ้า ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นการสิ้นสุด
เมื่อเราเชื่อ เราได้รับความรอด และได้รับการไถ่โทษ การยกโทษนิรันดร์จากพระเจ้า และเราจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลย พระโลหิตนี้นำมาซึ่งการบังเกิดใหม่ การได้เป็นบุตรของพระเจ้า และการดูแลครอบครองของพระเจ้า เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เป็นมรดกของพระองค์
การยกโทษแบบที่สอง คือการยกโทษในแต่ละวัน เราจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมกับพระเจ้า และปัญหาของคริสเตียนไม่ใช่เรื่องความบาป แต่ปัญหาของคริสเตียนเป็นเรื่องของสง่าราศี
เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการเปลี่ยนเรา ชำระจิตใจของเรา ให้กลายเป็นคนใหม่ มีพระนิสัย ลักษณะ พระฉายาของพระบุตร แต่เนื่องจากพระคำของพระเจ้าถูกเปลี่ยนแปลง ถูกผสมผสานด้วยเชื้อ ที่ผู้หญิงเอาเข้ามาผสมในพระคำของพระเจ้า ทำให้เราไม่สามารถเติบโตได้ ชีวิตของคริสเตียนจึงขึ้น-ลงๆ บางวันสุข บางวันทุกข์
การยกโทษแบบที่สามนี้ ไม่ได้พึ่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ แต่พึ่งพระนิสัย พระวิญญาณ พระลักษณะของพระคริสต์ ที่เกิดผลในชีวิตของเรา
เราเชื่อพระเจ้า เราได้รับความรอด ได้รับการยกโทษนิรันดร์ เราเชื่อพระเจ้า เราสามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้โดยทางพระโลหิต เราสารภาพเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมีการยกโทษตามมา
แต่ถ้าหากชีวิตของเรายังไม่เปลี่ยน ยังขึ้น-ลงๆ เหมือนคริสเตียนที่เป็นลิฟต์ที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า มีใครมากดให้ลงก็ลง มีใครมากดให้ขึ้นก็ขึ้น ชีวิตคริสเตียนที่เป็นแบบนี้ ในที่สุดก็กลายเป็นคริสเตียนศาสนา ที่เชื่อพระเจ้า แต่ไม่มีชีวิตใหม่ ที่ทำดี แต่เมื่ออยู่ในการทดลองที่หนักมาก เมื่อพบชีวิตที่ไม่สมหวัง ก็ระเบิดออกมา
เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า ในยุคหน้าที่พระเยซูจะนำอาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งบนโลกนี้ เราจำเป็นที่จะต้องยกโทษให้ผู้อื่น พระเจ้ายกโทษให้เราแล้ว และเราจำเป็นที่จะต้องยกโทษให้ผู้อื่น เพื่อเข้าในอาณาจักรสวรรค์
หนังสือ มัทธิว คือข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักร
พระเยซูตรัสว่า “พระเจ้ายกโทษให้เรา ให้โอกาสเราที่จะไปหาเงินมาใช้หนี้ แต่เมื่อเราพบคนที่เป็นหนี้เรา เราไม่อาจยกโทษให้ และทุบตีเขา”
การไม่ยกโทษให้ผู้อื่น การจดจำความผิดของผู้อื่น คือการทุบตีเขา คือการไม่ยอมให้โอกาสเขา พระเจ้ายังให้โอกาสเรา เพราะฉะนั้น การเข้าในราชอาณาจักร เราจะพบคำตอบในมัทธิว
อ่านต่อเรื่อง: การชำระสามขั้นตอน / การยกโทษบาปของพระเจ้า Forgiveness of sins