ถาม.
อย่างเราเป็นผู้เชื่อคนเดียวในบ้าน ลูกเรากับสามียังไม่เชื่อ เราสามารถสารภาพบาปแทนเขาได้ไหมคะ
ตอบ.
การสารภาพแทนคนอื่นเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าหากเขาไม่อนุญาต หรือร้องขอให้เราสารภาพแทนเขา
สำหรับพระเจ้าการสารภาพบาป ก็คือเป็นคนๆนั้น เสียใจว่ากระทำผิด เสียใจที่เป็นคนบาป และกลับมาหาพระเจ้าและสารภาพ นี่คือการยอมรับของพระเจ้าที่พระองค์จะรับการสารภาพนั้นได้ครับ
แล้วถ้ามีคนหนึ่งทำบาปทำผิดแล้วบอกว่าพระเจ้า "ขอพระองค์ยกโทษให้เขาด้วย" คือสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ครับ
...
ถาม.
แล้วเราจะช่วยเขาได้ยังไงคะ โดยการอธิษฐานให้เขาใช่ไหมคะ
ตอบ.
อธิษฐานเผื่อเขาครับ เราอธิษฐานเผื่อเขา คือขอพระเจ้านำเขามาถึงพระองค์ ให้เขากลับใจ ให้เขามาเป็นบุตรของพระเจ้า
มีอยู่ครั้งหนึ่งมีพี่น้องบางคนถามผมนะครับว่า เราอธิษฐานเผื่อคนอื่นได้ไหม เพราะว่าในพระคัมภีร์เดิม ผู้นำศาสนา ผู้เผยพระวจนะ อธิษฐานเผื่อชนชาติอิสราเอล สำหรับชนชาติอิสราเอลนะครับ ทุกคนเชื่อพระเจ้า เอเมนไหมครับ
ทุกคนเชื่อพระเจ้า ทุกคนมีพระเจ้า ทุกครอบครัวเป็นศาสนายิว เชื่อว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าของเขา เพราะฉะนั้นทุกๆปี ผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ผู้รับ จะอธิษฐานเผื่อชนชาตินี้ เผื่อประเทศนี้ เขาทำได้เนื่องจากว่าชนชาตินี้เชื่อพระเจ้า
แต่ถ้าหากว่าชนชาติไหน ครอบครัวไหน ครอบครัวเราก็ตามที่ไม่เชื่อ และเราจะอธิษฐานเผื่ออันนี้เป็นไปไม่ได้ครับผม
แล้วถ้าหากครอบครัวเรานะครับ ลูกหลาน สามี ภรรยา เชื่อ เราจะบอกว่าพระเจ้า ครอบครอง คุ้มครอง จิตใจ ช่วยเหลือ ยกโทษ นำพาครอบครัวข้าพระองค์ด้วย อันนี้ทำได้ครับ
...
ถาม.
อย่างนี้เราสามารถอธิษฐาน เผื่อครอบครัวเราได้ใช่ไหมคะ ทุกๆเรื่องใช่ไหมคะ
ตอบ.
การอธิษฐานเผื่อครอบครัว ถ้าหากครอบครัวเราไม่เชื่อ เราอธิษฐานเผื่อขอให้พระเมตตานำเขามาเป็นบุตรของพระเจ้า อันที่ 1. นะครับ
2. ก็คือ เนื่องด้วยว่าเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวนั้นๆ พระเจ้าก็รัก และพระเจ้าก็ดูแล และพระเจ้าก็ชำระทุกคนด้วยนะ
ความหมายของคำว่าชำระ ก็คือ เพื่อพระเจ้าจะแตะเขา และช่วยเหลือเขาได้ แต่ไม่ใช่เพื่อความรอด
มีผู้ชายคนหนึ่งมีภรรยาและลูก ภรรยาเขาไม่เชื่อและลูกก็ไม่ได้เชื่อ แล้วตัวสามีเขาเป็นบุตรพระเจ้าเป็นคริสเตียน ซึ่งเปาโลพูดใน (1 คร 7:14) เปาโลพูดโดยพระวิญญาณ ภรรยาและลูกได้รับการชำระด้วยความเชื่อของสามี ก็คือโดยที่สามีเป็นคริสเตียน พระเจ้าก็จะดูแล ปกป้อง ปกปักรักษา คือช่วยเหลือ อวยพร นำพา ชีวิตของภรรยาและลูก เพราะเห็นแก่สามีที่เป็นคริสเตียนครับ
และภรรยาที่เป็นคริสเตียน มีสามีที่ไม่เชื่อและลูกที่ไม่เชื่อ พระเจ้าก็จะดูแล ปกป้อง ปกปักรักษา ช่วยเหลือ ดูแล อวยพร สามีและลูกเหมือนกันครับ
แต่นะครับ แต่ถ้าเวลาที่จะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่สามีคนนั้นหรือภรรยาคนนั้นที่ไม่เชื่อ จะต้องตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกพระเยซู
และลูกที่โตนะครับลูกที่โตแล้ว คือลูกถ้าหากยังไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดีไม่รู้แยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก็คือถามว่ารอดไหม รอดครับ ถ้าหากว่าเขาเสียชีวิต ตอนนั้นตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่และไม่รู้อะไร ไม่รู้ดีชั่วอะไร เขารอดเนื่องจากว่าพ่อแม่เชื่อ
แต่พอเขาโตขึ้นมา แล้วรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พระเยซูเป็นใคร เป็นพระเจ้า พระเจ้าคืออะไร เขารู้เขาเข้าใจ และตัดสินใจไม่ต้อนรับพระเยซู ก็คือเขาจะไม่รอด แต่เขายังอยู่ในการชำระของพระเยซูทุกๆ วัน
เพื่อพระพร การดูแล การปกป้อง พระคุณ โดยเห็นแก่สามีหรือภรรยาที่เชื่อนะครับ
เราเป็นสามี แล้วภรรยาและลูกไม่เชื่อ ก็คือพระเจ้าจะอวยพรเฉพาะเราในห้องเรา อะไรก็ของเราเท่านั้น คือไม่เกี่ยวกับภรรยาและลูก เขาจะเจ็บไข้ เขาจะเป็นอะไรแล้วแต่ อันนั้นไม่นะครับ พระเจ้าน่ารักมาก พระเจ้าดูแลทุกคนในครอบครัว
...
ถาม.
ในกรณีของพี่ ลูกก็คือแบบก็รู้เรื่องของพระเจ้าบ้าง กรณีนี้เราถามลูกได้ไหมว่ารับพระเยซูเป็นพระเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดไหม ถ้าลูกปฏิเสธก็แสดงว่าเขาไม่เชื่อ คือเขาเชื่อตามแม่มาตั้งแต่ตอนเด็ก แล้วก็ยังไม่ได้ถามเลยว่ารับพระเยซูเป็นพระเจ้าไหมเพราะว่าเขาอายุมากแล้วนะคะ
ตอบ.
สำหรับคนที่เกิดในครอบครัวคริสเตียน ซึ่งหลายคนเป็นคริสเตียน ยอมรับว่าเป็นคริสเตียน อันนี้เรียกว่าศาสนาคริสต์ครับ และวันหนึ่งนะครับทุกคนจะต้องมีประสบการณ์กับพระเจ้าโดยตรง วันหนึ่งทุกคนจะต้องมี คือรับจริงๆ เชื่อจริงๆ นมัสการพระเจ้าด้วยใจจริง แล้วก็ต้อนรับพระเยซูจริงๆ คนนี้จะเรียกว่าเป็นคริสเตียนแท้ และจะรอดแน่นอนครับ
แต่สำหรับผู้เชื่อมากมายในโลกนี้ที่เป็นศาสนาคริสต์ ถึงเวลาก็ไปโบสถ์เพราะว่าพ่อแม่บังคับให้ไป ไม่ไปก็ไม่ได้ แล้วก็คือด้วยเหตุผลหลายอย่าง แล้วต้องอ่านพระคัมภีร์บ้างหรือไม่อ่านบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาเป็นแค่เพียงศาสนาคริสต์ ถ้าหากมีวันใดวันหนึ่งที่เขาต้อนรับพระเยซู หรือไม่ต้อนรับพระเยซู ตอนนั้นเราจะรู้ว่าเขารับจริงหรือไม่ เป็นคริสเตียนจริงบังเกิดใหม่จริงหรือไม่ เขาก็จะได้รอดครับ
คือถามเขาครับ ถามเขาได้ ถ้าเขาเป็นลูกเรา เราก็ถามเขา "ลูกคิดยังไงกับพระเยซูตอนนี้พูดตรงๆ ลูกเชื่อไหม รับพระเยซูจริงๆ ไหม หรือว่ายังไง" ถามเขาชวนเขาคุย
แต่เราทุกคนนะ จะต้องมีประสบการณ์กับพระเยซูไม่มากก็น้อย แล้วก็จะมีวันใดวันหนึ่งที่เขาจะเริ่มตัดสินใจจริงๆ เราจะเห็นนะครับว่าลูกหลานคริสเตียนหลายคน เปิดปากพูดในคริสตจักรบ้างเป็นพยานบ้าง หรือพูดกับเราบ้างใช่ไหม ว่า เออ ที่ผ่านมาก็ไปกับพ่อกับแม่ ไปโบสถ์ก็ไปแบบนั้นแหละ อ่านพระคัมภีร์ก็อ่าน เนื่องจากว่าเกิดในครอบครัวศาสนาคริสต์ แล้วก็ชอบศาสนาคริสต์ที่ว่าดูดีหรือว่าเป็นของต่างชาติของชาวฝรั่ง
แต่ต่อมาก็รู้สึกว่า เออ พระเยซูดลใจ พระเยซูอวยพร พระเยซูทำการอัศจรรย์ให้เห็น สุดท้ายก็ต้อนรับพระเยซู เหมือนลูกชายผมนะครับ อยู่ดีๆ ก็บอกว่าเชื่อแล้วนะ เมื่อก่อนไม่ได้เชื่อไม่เคยเชื่อ หลายปีผ่านไปสุดท้ายจึงเชื่อ นี่คือประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของเขาซึ่งทุกคนจะต้องมีครับ
...
ถาม.
พอดีลูกสาวอยู่ต่างประเทศ เวลาเขาโทรมาเราก็หนุนใจทุกๆวัน แล้วทุกเช้าพี่จะส่งคำต่างๆของพระเยซูไป เขาก็อาเมนมาทุกครั้ง แต่ทีนี้วันนั้นเราถามเขาว่า ลูกเชื่อไหมที่พระเยซูช่วยทุกอย่างที่ให้ลูกผ่านพ้น เขาบอกลูกอธิษฐานทุกวันเหมือนแม่บอก เขาบอกอย่างนี้ค่ะ
ตอบ.
เอเมน ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าจะเชื่อจริงๆ น่าจะได้บังเกิดใหม่นะครับ