1. ยากจนในวิญญาณ
2. เศร้าสลดใจ
3. มีจิตใจอ่อนโยน
4. หิวและกระหายความชอบธรรม
5. มีจิตใจเมตตา
6. มีใจเดียว
7. สร้างสันติ
8. ยอมถูกข่มเหง
9. ชื่นชมยินดี
เมื่อพระเยซูออกจากบ้าน พระเยซูในฐานะของกษัตริย์ เดินทางไปตามหาประชากรเเห่งอาณาจักร ซึ่งพระองค์เองหว่านเมล็ดพืช เมล็ดพืชนั้นก็คือเมล็ดเเห่งชีวิตพระเจ้า ใครก็ตามที่จะเป็นประชากรของอาณาจักรจะต้องมีชีวิตของกษัตริย์ เพราะว่ากษัตริย์เป็นพระเจ้า มีเมล็ดของพระเจ้า มีชีวิตของพระเจ้า เเละทุกคนที่เป็นประชาการของราชอาณจักรก็จะต้องมีชีวิตของพระเจ้าอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่เราจำต้องยอมรับข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เเละเมื่อเราได้รับการยกโทษบาป คือเรารับข่าวประเสริฐเรื่องพระโลหิต เรารับข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เรารับข่าวประเสริฐเรื่องการไถ่ เรื่องพระคุณ เรื่องความรอดใช่ไหม?
เเละขณะที่เรารอชีวิตของกษัตริย์จะเกิดผลเเละเติบโตขึ้นในชีวิตของเรา ในช่วงระยะที่เรารออยู่นี้ ถ้าหากการดำเนินชีวิตของคริสเตียนเราไม่มีสันติสุขอยู่ทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที หรือมีมากกว่าเท่าที่เราเคยมี การดำเนินชีวิตของคริสเตียนจะมีปัญหา
เพราะฉะนั้นเเล้วหนึ่งในข่าวประเสริฐหลายๆ เรื่องในพระคัมภีร์ ก็คือข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุข เราจำเป็นที่จะต้องประกาศ เราประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ ขอบพระคุณพระเจ้า เราประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระโลหิต เรื่องไม้กางเขน เรื่องความรอด เรื่องพระคุณ เรื่องพระเจ้า ทุกเรื่องฯ เเละเรื่องที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ ก็คือเรื่องสันติสุข
เมื่อเราประกาศกับคนอื่นที่ยังไม่เชื่อ เราก็บอกเขาได้ว่า ถ้าหากมาเชื่อพระเยซูคริสต์ รับพระเจ้า รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา สิ่งหนึ่งที่เราจะมีที่พระเจ้าจะให้เรา ก็คือสันติสุข สันติสุขที่เป็นบ่อน้ำเเห่งชีวิตที่อยู่ภายในเรา เเละเมื่อเราค้นพบสันติสุขนี้ เรารู้วิธีรับดื่มทุกวันทุกเวลาเราจะไม่กระหายอีกเลยตามที่พระเยซูสัญญา เเต่เนื่องจากว่าคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ไม่เข้าใจไม่รู้ เเละไม่รู้วิธีการเปิดรับน้ำเเห่งสันติสุขนี้น้ำแห่งชีวิตนี้ ชีวิตจึงสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เเต่ทุกข์เป็นส่วนมาก เเละสุขน้อย
ถึงยังไงก็ตามข่าวประเสริฐหลายๆ เรื่องนี้ คือมีไว้เพื่อสนับสนุนข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า หรือราชอาณาจักรสวรรค์ ซึ่งพระเยซูจะนำลงมาก่อตั้งในโลกนี้ในยุคหน้าเป็นเวลาพันปี เเละอาณาจักรของพระองค์จะร่วมครอบครองกับพระบิดาที่เรียกว่าอาณาจักรของพระเจ้า ยืนยาวยืดเยื้อไปจนชั่วนิตย์นิรันดร์ตลอดไปเลยตลอดกาล
เมื่อพระเยซูเสด็จไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักร มีผู้คนมากมายที่ติดตามพระองค์ เพราะว่าเขาเห็นการอัศจรรย์ เห็นฤทธิ์เดช เเละเห็นถ้อยคำที่พระองค์ทรงสั่งสอน รู้สึกว่าไม่เหมือนธรรมาจารย์ ไม่เหมือนฟาริสี ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เคยสอนผ่านมา เเละเมื่อผู้คนเป็นไม่รู้กี่พันคนที่ติดตามพระเยซูไปทุกที่ทุกหนทุกแห่ง
พอพระเยซูมาถึงมัทธิวบทที่ 5 มัทธิวบทที่ 5:1 ผู้คนเป็นอันมากที่ติดตามพระเยซู พระองค์ก็ละเขาไว้ พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ผู้คนที่ติดตามพระเยซูไม่รู้กี่พันก็รออยู่ที่นั่น เเละสาวกของพระเยซู (ไม่ใช่อัครสาวก ไม่ใช่อัครสาวกสิบสองคน) เเต่เป็นสาวกที่สมัครใจเป็นสาวกของพระองค์ ก็ติดตามพระองค์ขึ้นไปบนภูเขา ช่วงนี้นี่เองคือมัทธิวบทที่ 5:1 เป็นจุดเริ่มต้นของการที่พระเยซูละผู้คนไว้ ขึ้นไปบนภูเขา เเละสาวกก็ติดตามพระองค์ไป เมื่อติดตามพระองค์ไปเเล้ว พระเยซูก็เปิดพระโอษฐ์ เปิดพระโอษฐ์ของพระองค์ก่อตั้งรัฐธรรมนูญใหม่ พระบัญญัติใหม่
เเต่พันธสัญญาใหม่ ยังไม่ได้ก่อตั้ง เนื่องจากว่าพระโลหิตยังไม่ได้หลั่งไหล พระเยซูยังไม่สิ้นพระชนน์บนไม้กางเขนเพื่อการไถ่บาปและเพื่อการหลั่งไหลพระโลหิต และให้พระโลหิตนี้ พระองค์นำขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์เข้าไปในพระวิหารเพื่อถวายเเด่พระบิดา เเละนี่คือการเริ่มต้น การก่อตั้งพันธสัญญาใหม่ ผ่านพระเยซูคริสต์ ซึ่งพันธสัญญาเดิมผ่านท่านโมเสสเเละกำลังจะจบลง เเต่ในช่วงเวลาของมัทธิวบทที่ 5 คือพระเยซูเริ่มก่อตั้งรัฐธรรมนูญใหม่ กฎหมายใหม่ก่อน ซึ่งพันธสัญญาใหม่กำลังจะมาทีหลัง
ขณะที่สาวกติดตามพระองค์มาเเละอยู่บนภูเขา พระเยซูตรัสถึงเรื่องที่สำคัญ คือคุณสมบัติ 9 ประการของประชากรเเห่งราชอาณาจักรสวรรค์ก่อน
• คุณสมบัติประการที่ 1. ก็คือ ยากจนในวิญญาณ ไม่ใช่ยากจนฝ่ายวิญญาณ เเต่ยากจนในวิญญาณ poor in the spirit / in ก็คือ ใน
ยากจนในวิญญาณหมายความว่ายังไง? ก็คือการที่เรายอมเป็นคนยากจน เมื่อก่อนเราเป็นคนร่ำรวยมั่งมี เราเรียน เรียนๆๆ รู้ๆๆๆ รับมาๆๆ มันเต็มเข้าไปหมดเลยในวิญญาณเรา มีพระ - องค์ไหนก็ไม่รู้ มีความรู้ที่มาจากสติปัญญาของอาดัมที่แปลเองคิดเอง ที่ได้มาจากไม้ทั้งท่อนที่บังตา คือเรารับเข้ามา รับเข้ามาๆๆ มันเต็ม.. ไม่มีห้องว่างให้อาณาจักรสวรรค์
เเละเมื่อมีคนมาประกาศ เรื่องราชอาณาจักรสวรรค์ เราก็ถูกเตือน หรือว่าเราก็คิดว่า เอ๋ นี่มันคือความเชื่อเทียมเท็จหรือเปล่า เราเป็นคริสเตียนมาก็หลายปี คริสตจักรไม่เคยสอนเรื่องราชอาณาจักร คริสตจักรไม่เคยสอนเรื่องยุคพันปี คริสตจักรไม่เคยสอนว่ามัทธิวเป็นหนังสือเกี่ยวกับยุคพันปี พระเยซูจะมาก่อตั้งอาณาจักรในโลกนี้ คือเราไม่เคยได้ยิน
เเละต่อมามีคนมาบอกว่า หนังสือมัทธิวเป็นเรื่องราชอาณาจักร เป็นเรื่องที่พระเยซูจะนำผู้คนเข้าไปอยู่ข้างใน เเละมีส่วนครอบครองร่วมกับพระเยซู มีเกียรติ มีตำแหน่ง ซึ่งเดิมทีเป็นของยิว เเต่ต่อมายิวไม่รับ พระเจ้าก็ยกอาณาจักรนี้ให้คนต่างชาติทั่วโลก เเละเราก็จะต้องเเย่งชิงกันเข้าไป เหมือนกับชาวยิวในสมัยของท่านยอห์น
เเละถ้าหากเรายอมให้พระเจ้าขนของเก่าทิ้ง คือการเเสวงหาแบบเดิมๆ ซึ่งเราคิดว่าเรา อ๋อ ต้องแสวงหาสวรรค์ใช่ไหม คือรอดเเล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ สวรรค์คือเป้าหมายสูงสุด อันนี้ไม่ใช่.. คือสวรรค์เราจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าเเน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ตราบใดที่เราเชื่อพระเยซูคริสต์ รับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยของเรา เราจะไม่สูญเสียความรอด เราจะได้รับความรอดนี้เเน่นอนเพราะว่าเป็นของขวัญ เเละถ้าหากใครที่เกิดในพระวิญญาณก็จะไม่สูญเสียความรอดก็จะไม่ตายอีกเลย
การที่เราจะขนของเก่าทิ้ง ก็คือเราเปิดช่องว่าง เปิดโอกาส เปิดห้อง ทำห้องในวิญญาณของเราให้ว่างเปล่า เพื่อที่จะรับข่าวประเสริฐเเห่งราชอาณาจักรเข้ามา เเละรับกษัตริย์เข้ามาครอบครองจิตใจของเรา (เราเลิกใช้คำว่าเป็นสมาชิกโบสถ์ใดโบสถ์หนึ่งเป็นทางการ) คือเราเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ เราร่วมกับคริสตจักรไหน เราเรียกตัวเราเองว่าเป็นพระกายของพระเยซู
เราไม่ใช่สมาชิกโบสถ์ คือการเป็นสมาชิกโบสถ์ ก็คือการเป็นศาสนา เเต่เราอยู่ในฝ่ายวิญญาณ เราเป็นส่วนหนึ่งของพระกายของพระคริสต์ เเละเราเป็นประชากรเเห่งราชอาณาจักรสวรรค์ ที่พระเยซูกำลังเป็นกษัตริย์ครอบครองเราอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งถ้าหากเรามาถึงการเติบโตที่ครบบริบูรณ์เเล้ว คือการเป็นผู้ชนะ เราจะก็มีส่วนเข้าไปข้างในอาณาจักรเเละครอบครองร่วมกับพระเยซู เเต่ก่อนอื่นเราต้องยากจนในวิญญาณก่อน
ยากจน ก็คือการเปิดรับอาณาจักรสวรรค์ เปิดรับว่า โอ้ หนังสือมัทธิวเป็นข่าวประเสริฐเเห่งราชอาณาจักร ไม่ใช่เรื่องสวรรค์นรกเเละหนังสือมัทธิวเป็นหนังสือที่กล่าวถึงผู้เชื่อสองเเบบสองประเภท..
แบบที่ 1. (ผู้ชนะ) ก็คือผู้เชื่อที่มีรสเค็ม เป็นเกลือที่มีรสเค็ม เเละผู้เชื่อที่เป็นตะเกียงที่มีน้ำมัน ผู้เชื่อที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ ที่เอาภาชนะเอาน้ำมันมาเผื่อด้วย เเละคนต้นเรือนที่ซื่อสัตย์ เเละผู้ที่ดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู เเละความชอบธรรมของเขา เหนือกว่าความชอบธรรมของฟาริสีเเละธรรมาจารย์
แบบที่ 2. (ผู้ไม่ชนะ) ก็คือผู้เชื่อที่ (ไม่) มีรสเค็ม เป็นเกลือที่ (ไม่) มีรสเค็ม เเละผู้เชื่อที่เป็นตะเกียงที่ (ไม่) มีน้ำมัน ผู้เชื่อที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ที่ (ไม่) เอาภาชนะเอาน้ำมันมาเผื่อด้วย เเละคนต้นเรือนที่ (ไม่) ซื่อสัตย์ เเละผู้ที่ (ไม่) ดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู เเละความชอบธรรมของเขา (ไม่) เหนือกว่าความชอบธรรมของฟาริสีเเละธรรมาจารย์
อะไรทั้งหลายนี้ซึ่งพระเยซูตรัสถึงในหนังสือมัทธิว ล้วนเเต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้เชื่อที่ชนะ เเละผู้เชื่อที่ไม่ชนะ
ถ้าเราอ่านดีๆ เราจะเห็นว่า อ๋อ นี่คือการเข้าใน เข้าในๆๆ ราชอาณาจักร ไม่ใช่รอดๆๆๆ หนังสือมัทธิวจะเน้นมากกับเรื่องคำว่า เข้าใน ส่วนเรื่องคำว่า รอด ในวันสุดท้าย เรารอดเเน่นอน
บุคคลผู้ใดยากจนในวิญญาณ ผู้นั้นก็เป็นสุขเพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา
• คุณสมบัติประการที่ 2. ก็คือการโศกเศร้า หรือเศร้าสลดใจ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Mourn / Mourn ก็คือเศร้าสลดใจ คือการสูญเสียอะไรที่เรารักไป ไม่ใช่โศกเศร้าเสียใจเพราะความบาปของเรา อันนั้นไม่เกี่ยว
ถ้าหากเรารู้สึกว่าเรามีบาป เราทำบาป เราเผลอไปอยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง หรือดำเนินชีวิตที่ผิดบาป เราสารภาพทันที อย่าเสียเวลา อย่ารีรอ พระเจ้าไม่มีเวลาที่จะมานั่งรอว่า เอ่อ โศกเศร้าไปเถอะ เดี๋ยวเราจะยกโทษให้ ไม่น่ะ. เมื่อเรามีบาปเราก็สารภาพทันทีเเละกลับมาคืนดีกับพระเจ้า สามัคคีธรรมกับพระคริสต์ สนิทในพระองค์ เพื่อรับการหล่อเลี้ยง เพื่อรับการเปิดตา เพื่อรับการทำให้เติบโต เปลี่ยนเเปลงจิตใจใหม่
เเต่คำว่า เศร้าสลดใจ ในทีนี้ ก็คือเมื่อเราเห็นครอบครัว หรือว่าเราเห็นคริสตจักร หรือเราเห็นคริสเตียน
คริสเตียนไม่เป็นคริสเตียน เราโศกเศร้า
ครอบครัวคริสเตียนไม่เป็นครอบครัวคริสเตียน เราโศกเศร้า
คริสตจักรไม่ใช่คริสตจักร เราโศกเศร้า
ซึ่งทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายเชื่อแต่คำพูดใช่ไหม? เเต่การประพฤติ การปฏิบัติมีน้อยมาก หรืออาจจะมีก็เเบบว่าใช้ "ฟิเลโอ" ใช้ความดีของมนุษย์
เเละนี่คือสาเหตุที่เราเศร้าสลดใจได้ ก็คือเห็นพี่น้องคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ ดำเนินชีวิตที่เเบบว่าดีบาป ดีบาป ขึ้นลง สุขทุกข์ ไปจนตาย เราเศร้าสลดใจ เเละถ้าหากเราเศร้าสลดใจพระเจ้าก็จะปลอบประโลมเรา
• คุณสมบัติประการที่ 3. ของประชากรเเห่งราชอาณาจักรสวรรค์ ก็คือ Meek คำว่า Meek ก็คือการเป็นคนที่ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อสู้ ไม่ทำการร้าย ตอบโต้การร้าย คือใครจะทำอะไรเรา เราก็ต้องเป็นคนที่ยอม แล้วก็ถ่อม แล้วก็ต่ำด้วย คือเราเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบ นี่คือความหมายของคำว่า Meek
ไม่ใช่ อ่อนโยน สุภาพเป็น (Gentlemen สุภาพบุรุษ) เป็น (Lady สุภาพสตรี) อันนั้นไม่ใช่.. คือการเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อม นอบน้อม ถ่อมตน อันนี้เราเป็นอยู่เเล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราให้มาถึงจุดนี้
เเต่ความหมายในบทนี้ในข้อนี้ ก็คือภาษอังกฤษใช้ให้ตรงกับภาษากรีก ก็คือภาษาอังกฤษเรียกว่า Meek / Meek ก็คือไม่ตอบโต้ ไม่ต่อสู้ ใครจะว่าอะไร ใครจะทำอะไรก็ช่างเราก็ขอบพระคุณพระเจ้า เเละเรายอมต่ำ ถ่อม เเละเสียเปรียบ
เเละถ้าหากเราเป็นคนที่ยอม ต่ำ ถ่อม เสียเปรียบ เราก็จะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก ความหมายที่นี้ ก็คือการได้มีส่วนครอบครองกับพระเยซู ได้ปกครองร่วมกับพระองค์ พระองค์อาจจะประทานให้เรา ตำแหน่ง มอบหมายให้เรารับหน้าที่ปกครองห้าเมือง สิบเมือง สามสิบเมือง ร้อยเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเรา Meek หรือว่าเป็นคนที่ยอม เป็นคนที่ต่ำ ถ่อม เสียเปรียบ มากน้อยเเค่ไหน
• คุณสมบัติประการ 4. ก็คือการหิวเเละกระหายความชอบธรรม ไม่ใช่หิวกระหายเฉยๆ ภาษาอังกฤษใช้ตรงกับภาษากรีกคือ hunger and thirst / hunger ก็คือหิว thirst ก็คือกระหาย กระหายน้ำ ความหมายในที่นี้ ก็คือคนที่หิวโหย หิวกระหายมากๆ ขาดอาหาร ไม่มีอาหารที่จะกิน
เรื่องการหิวกระหาย พี่น้องคริสเตียนที่เขาคิดว่าเขาดีเเล้ว เขาไม่หิวกระหายน่ะ คือเราจะเห็นว่าผู้เชื่อมากมายมาเป็นคริสเตียน เขามองเห็นว่าครอบครัวของเขาไม่มีการบกพร่อง ครอบครัวอบอุ่น รับพระพร อยู่ดี กินดี มีฐานะ ครอบครัวไม่ถกเถียง ไม่ทะเลาะเบาะเเว้ง ไม่มีปัญหา ชีวิตจิตใจของเขารู้สึกว่า เอ่อ ไม่ค่อยจะโกรธเท่าไหร่ ไม่ค่อยจะมีปัญหาเหมือนชาวบ้าน เขาคิดว่าเขาก็มีดีอยู่ เเละคนเหล่านี้เขาไม่หิวเเละกระหายความชอบธรรม คำว่า "หิวเเละกระหายความชอบธรรม" ในที่นี้ก็คือ คนที่เขาไม่มี
มีพี่น้องคริสเตียนมากมายหลายท่านที่เกิดมา เมื่อก่อน ก่อนที่จะเป็นคริสเตียน เรามีปัญหาเรื่องความดี ความโกรธ โมโหมากๆ เรามีปัญหาเรื่องความโลภ ความหลงในโลกนี้ การรักโลก ใส่ใจในฝ่ายโลกเนื้อหนัง เรามีปัญหาเรื่องสิ่งบันเทิง เราติดการพนัน เราชอบโกหก เรามีปัญหาคือมันติดอยู่ในเรา เเละคนเหล่านี้เป็นคนที่ "หิวกระหายความชอบธรรม" เมื่อเขามาเป็นคริสเตียน เขาพยายามเปลี่ยน เเต่เปลี่ยนไม่ได้ เขาพยามที่จะมีครอบครัวที่อบอุ่น เขามีไม่ได้ เเละเมื่อเขามีไม่ได้เขาก็ "หิวกระหาย"
เขาก็ดิ้นรนเเสวงหาว่า เอ๋ ทำยังไง ฉันถึงจะเป็นคริสเตียนที่ดีเหมือนคนอื่นได้ ฉันจึงจะเชื่อฟังพระเจ้า ทำได้เหมือนคนอื่นเขาทำกัน เเล้วเขาก็เเสวงหา ดิ้นรน ฟื้นฟูที่ไหน งานที่ไหน จัดค่ายประชุมสัมมนาที่ไหน นมัสการที่ไหนที่มีอาจารย์ดังๆ มาเขาก็ไป เขาเเสวงหาดิ้นรน กระตือรือร้นในการเเสวงหา
นี่คือความหมายของคำว่า "หิวเเละกระหายความชอบธรรม" คือคนที่มันเเบบว่า.. คือไม่ได้กินข้าวหลายวัน ไม่ได้ดื่มน้ำหลายวัน หิวมาก กระหายมาก คือเขาไม่มี
สำหรับคนที่เขาคิดว่าดีเเล้ว คือมีครอบครัวอบอุ่น ประสบความสำเร็จในชีวิตใช่ไหม คนเหล่านี้ไม่มีโอกาสที่จะได้รับความชอบธรรม ได้รับการอิ่มบริบูรณ์ คือพระคริสต์จะไม่มีโอกาสดำเนินชีวิตเเทนเขา เพราะว่าเขาก็คิดว่า เอ่อ ฉันก็มีดีอยู่น่ะ ฉันก็ไม่เบาน่ะ คือความดีของฉัน ความชอบธรรมของฉัน ฉันก็เชื่อฟังพระเจ้าได้ ประสบความสำเร็จ คือมีชีวิตที่ไม่เหมือนคนอื่นเขา เเละนี่คือปัญหาที่เขาไม่มาถึงการได้รับการอิ่มบริบูรณ์ที่พระเจ้าจะประทานให้
ส่วนคนที่มีประวัติ มีชีวิตมีปัญหาเรื่องความดี ความชอบธรรม ก็จะมีโอกาส มีโอกาศได้กลายเป็นคนชอบธรรม เเละได้พบข้อลึกลับเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์อยู่ในเรา พระคริสต์ทำแทนเรา
ใครที่เขาคิดว่าดี เขาจะไม่สนใจในเรื่องการให้พระคริสต์ทำแทน เเละเขาไม่รู้เขาไม่สนใจ คือขอพระวิญญาณนำ ขอพระวิญญาณเสริมกำลังเพราะว่าตอนนี้ขาดกำลังนิดหน่อย ก็ขอเสริมกำลัง
เเต่เเท้ที่จริงเเล้ว พระเจ้าต้องการคนที่ยอมจำนนร้อยเปอร์เซ็นต์ ยอมจำนนว่า "ข้าพระองค์คือไม่มีอะไรดี ข้าพระองค์เป็นบาป บาปมากๆ ไม่มีสิ่งดีเลยในชีวิตของข้าพเจ้า" คืออาจารย์เปาโลเมื่อก่อนชาวยิวมากมายคิดว่าเขาเป็นคนที่เข้มเเข็ง เเต่เเท้ที่จริงเขาเปิดเผยอยู่ในโรมบทที่ 7 ว่าเขาเป็นคนที่อ่อนเเอที่สุดเลย ท่ามกลางชาวยิวทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติ เขาอ่อนเเอที่สุด เเละเขายอมรับความจริง เเละในที่สุดพระเจ้าเปิดตาเขา พระเจ้าให้เขาได้พบความชอบธรรมที่เเท้จริง เเละเขาก็ได้อิ่มครบบริบูรณ์
• คุณสมบัติประการที่ 5. ของประชาการเเห่งราชอาณาจักรสวรรค์ ก็คือบุคคลผู้ใด มีใจเมตตา ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
ในพระคัมภีร์ข้อนี้เน้นที่การยกโทษให้ผู้อื่น คำว่าได้รับ "พระกรุณาจากพระเจ้า" ก็คือการรับการยกโทษ การอภัยโทษบาปให้ ซึ่งพระเยซูเน้นถึงเรื่องการได้เข้าอาณาจักร เราจำเป็นที่จะต้องยกโทษให้ผู้อื่น 70×7 เลยน่ะ คือไม่กำหนด ไม่มีขีดจำกัด คือการยกโทษที่แบบว่าไม่มีเหตุผล ฉันจะยกโทษให้เธอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรมากน้อยเเค่ไหนก็ตาม เเละการยกโทษจะก็ไม่จดจำความผิดของเขาด้วย เป็นการยกโทษเเบบ "อากาเป"
สำหรับเรื่องการที่จะได้รอดในวันสุดท้าย เรารอดแน่นอนโดยทางพระคุณทางความความเชื่อ โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราให้กลายเป็นคนชอบธรรมเเล้ว
แต่การที่จะได้เข้าไปในราชอาณาจักร จำเป็นที่จะต้องมีการกระทำ มีการเชื่อฟัง มีการดำเนินชีวิตใหม่ให้โลกได้เห็นพระคริสต์ผ่านเรา
เเละในพระคัมภีร์ข้อนี้ คุณสมบัติประการที่ 5 ก็คือบุคคลผู้ใดมีใจเมตตา มีจิตใจเมตตา ก็คือยกโทษให้ผู้อื่น ยกโทษๆๆๆ ยกโทษเลยน่ะ ยกโทษไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีขีดจำกัด ไม่มีกำหนด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามยกโทษหมด ถ้าหากเราทำได้เราได้รับรางวัล เราจะได้รับพระกรุณาจากพระเจ้า พระเจ้าจะเมตตาเรา ยกโทษเราเหมือนกัน เเล้วเราน่ะก็จะมีโอกาสได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์
• คุณสมบัติประการที่ 6. สำหรับประชาการของอาณาจักรสวรรค์ ก็คือการมีใจเดียว Pure in heart / pure คือคำว่า บริสุทธิ์ ในที่นี้ไม่ใช่ Holy heart หรือว่า righteous heart ไม่ใช่จิตใจที่บริสุทธิ์ไม่มีบาป หรือจิตใจที่ชอบธรรม ทำดีๆๆๆ ตลอด ไม่ใช่..
ในพระคัมภีร์ข้อนี้ใช้คำว่า pure ไม่ใช่คำว่า บริสุทธิ์ หรือ ชอบธรรม แต่ใช้คำว่า pure / pure ก็คือ สดๆ ล้วนๆ มีสิ่งเดียวไม่มีอะไรเจือปน ถ้าจะเป็นข้าว ก็เป็นข้าวเท่านั้นไม่มีอะไรมาผสม ถ้าจะเป็นทอง สร้อยทองคำก็จะไม่มีตะกั่วฝังอยู่ข้างในเพื่อให้ได้น้ำหนักมาก
กลับมาพูดถึงคำว่า pure / pure ก็คือใจเดียว ไม่หลายใจ เหมือนกับเราดูหนังดูทีวีดูอะไรก็ตาม เราดูช่องเดียวเท่านั้น ตั้งเเต่เริ่มต้นจนจบ เราจะรู้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ แต่ถ้าหากเรากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เปลี่ยนๆๆๆ ไปเราจะไม่สามารถที่จะเข้าใจ อันนั้นคืออาการของคนหลายใจคือเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เวลานมัสการพระเจ้าเราก็คิดถึงสิ่งอื่น คิดถึงบ้าน คิดถึงรถ คิดถึงแฟน คิดถึงอะไรก็ตาม เป็นอาการหลายใจ
เเต่ใครก็ตามที่จดจ่อปักใจที่พระบิดาที่พระเจ้า พระเยซูสัญญาว่า เขาก็จะได้เห็นพระเจ้า นี่คือความหมายของคำว่า pure in heart หรือว่าบุคคลผู้ใดมีใจเดียว เเต่ภาษาไทยภาษาลาวภาษาหลายๆ ภาษาใช้คำว่า บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ พี่น้องคริสเตียนก็เข้าใจกันว่า อ๋อ ใจบริสุทธิ์ นี่ก็คือการไม่ทำบาป ถ้าหากเราไม่ทำบาป เราก็จะเห็นพระเจ้า ไม่ใช่.. ไม่เกี่ยว.. การที่ไม่ทำบาปก็ดีอยู่เเล้ว.. เป็นเรื่องอื่น เเต่ในข้อนี้ในข้อนี้พระคัมภีร์เน้นที่การมีใจเดียวไม่หลายใจ ถ้าหากเรามีใจเดียว เราก็จะเห็นพระเจ้า
• คุณสมบัติประการที่ 7. ก็คือ peacemaker ก็คือบุคคลผู้ใดสร้างสันติ ก็คือการไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ทะเลาะเบาะเเว้ง ไม่มีปัญหาถกเถียงกับใคร ถ้าใครมาคุยกับเราเรื่องพระคัมภีร์ เรื่องอะไรก็ตาม ถ้าหากเขาไม่ยอมฟังเรา เเละเราอาจจะรับสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ เราก็หลีกเลี่ยงการถกเถียง คือเราถอย
ซึ่งพี่น้องคริสเตียนส่วนมากทุกวันนี้ เราจะไม่ค่อยยอมกันใช่ไหม? คือการถกเถียงไม่มีวันสิ้นสุด เราจะถกเถียงกันไปเรื่อยๆ เเละในที่สุด ก็เกิดมีอาการบาดหมางภายในจิตใจของเเต่ละคน และมองหน้ากันไม่ได้ซะด้วยซ้ำ
เเละถ้าหากบุคคลผู้ใด เราไม่ถกเถียง เราไม่ต่อสู้ เราไม่ทะเลาะเบาะเเว้ง เราสร้างสันติกับทุกคน ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่เป็นคนที่ชอบหาเรื่องใคร พระเจ้าก็จะเรียกเราเป็นบุตร
ทุกคนเป็นบุตรพระเจ้า ใช่.. เเต่คำว่า บุตร ในข้อนี้ในที่นี้ ก็คือการเป็น "บุตรที่รัก" เป็นบุตรที่โตขึ้นมา คือบุตรของพระเจ้ามีหลายระดับ บุตรคือเป็นเด็กก็มี เเละบุตรเป็นผู้ใหญ่ก็มี เเละในที่นี้ก็คือ "บุตรที่เป็นผู้ใหญ่" บุตรที่พระเจ้ารักมากกว่า คือพระเจ้าเห็นการประพฤติของเขาสำแดงชีวิตที่ถวายเกียรติเเด่พระเจ้าโดยการที่ไม่ตอบโต้ ไม่ถกเถียง ไม่ต่อสู้ ไม่อาละวาด ไม่หาเรื่องใคร ไม่ก่อเรื่องกับใคร อันนี้พระเจ้าจะยอมรับเรา เรียกเราว่าเป็นบุตร
• คุณสมบัติประการที่ 8. ของประชากรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ ก็คือบุคคลผู้ใดยอมถูกข่มเหง เพราะเหตุเห็นเเก่พระนามของพระเยซู เเละเห็นแก่ข่าวประเสริฐ บุคคลผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับอาณาจักรสวรรค์
ผู้ชนะมีสองแบบ:
- ผู้ชนะเเบบที่ 1. ก็คือทุกคนที่ถูกฆ่าตาย ถูกข่มเหง เขาจะกลายเป็นผู้ชนะทันที พระเจ้าจะรับเขาขึ้นไป เขาจะมีตำแหน่งใหญ่โตในอาณาจักร เเละตลอดไปเป็นนิตย์
- เเต่ผู้ชนะอีกแบบหนึ่ง ก็คือผู้ชนะที่อยู่ในหนังสือมัทธิวที่พระเยซูกล่าวถึง ทุกคนที่กระทำตามน้ำพระทัย ดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้กฏหมายใหม่ของพระเยซู ในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7 เเละโดยเฉพาะในหนังสือวิวรณ์บทที่ 2 และบทที่ 3 กล่าวถึงผู้ชนะ ซึ่งพระเยซูตรัสถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด
เราจะเห็นว่าการถูกข่มเหงเพื่อพระเจ้า คือพระเจ้าอนุญาตให้เกิดจึงเกิดได้ ไม่ใช่ว่าใครจะมาข่มเหงเราเเละพระเจ้าไม่เคยมองดู ไม่เคยเหลียวเเล ไม่เคยใส่ใจ ไม่ใช่.. ทุกคนที่ถูกข่มเหง ทุกคนที่ถูกฆ่าตาย ทุกคนที่ถูกเฆี่ยนตี จับขังคุก คือพระเจ้าเห็นเเละพระเจ้าอนุญาต เเละพระเจ้ายอมให้เขาทำ เเละบรรดาผู้คนเหล่านี้ที่ถูกข่มเหงที่ต้องถูกฆ่าตายเขาจะมีส่วนร่วมครอบครองกับพระเยซู การกระทำทุกสิ่ง การดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้า ไม่มีอะไรที่ฟรีน่ะ คือพระเจ้าจะให้ผลตอบแทนอย่างล้นเหลือ อย่างมากมายทีเดียว
เราขอบพระคุณพระเจ้าเเละเราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านั้นที่ถูกข่มเหง เเต่สิ่งหนึ่งที่เรารับการหนุนใจจากพระเจ้าได้ ก็คือพี่น้องเหล่านั้นไม่ได้ตายฟรี ไม่ได้ถูกข่มเหงฟรีๆ น่ะ คือทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีผลตอบเเทนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เเล้ว อีกอย่างความตายความเจ็บปวด การถูกข่มเหง การอดอยากเพื่อข่าวประเสริฐ เเละเพื่อเห็นเเก่พระนามของพระเยซู ในโลกนี้เราไม่สามารถที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับสง่าราศีที่จะมาภายหลัง
• คุณสมบัติประการสุดท้ายประการที่ 9. ก็คือ Rejoice / Rejoice ก็คือจงชื่นชมยินดี
ถามว่า.. ปัญหามันอยู่รอบข้างเรา ชีวิตเราก็ไม่ค่อยจะราบรื่น การงานก็ไม่ดี เงินเดือนก็ไม่เท่าไหร่ อาจจะไม่พอกินด้วยซ้ำบางคน คือชีวิตมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหมายไว้ การเรียนก็เหมือนกัน การทำงานก็เหมือนกัน ครอบครัวก็เหมือนกัน เเล้วเราจะมีความสุขได้ยังไง?
คำว่า Rejoice (จงชื่มชมยินดี) ของพระเยซู มีฤทธิ์เดช มีฤทธิ์อำนาจ คำว่าจงชื่นชมยินดีเถิดของพระเยซู ถ้าหากเราเชื่อ เราก็จะได้รับ เพราะว่าพระเยซูสัญญาในยอห์นบทที่ 4:14 เเละในฟีลิปปี 4:4 เเละอีกหลายๆ ข้อ คือสันติสุขที่เราให้ไม่เหมือนโลกให้ เเละบ่อน้ำพุที่อยู่ในตัวท่าน ท่านจะไม่กระหายอีกเลย
เเละพระเจ้าตรัสผ่านอาจารย์เปาโลว่า "จงชื่นชมยินดี ทุกวันเวลาเถิด" ถ้าหากเราเชื่อ เราไม่จำเป็นที่จะต้องรอ ว่าชีวิตต้องราบรื่นก่อน ประสบความสำเร็จในการงานก่อน ในการเงินก่อน มีบ้านหลังใหญ่ คือจ่ายผ่อนรถหมดก่อน เรียนจบก่อน มีครอบครัวที่อบอุ่นก่อน ไม่ใช่.. ไม่ว่าจะเป็นลักษณะไหน สภาพไหน ถูกข่มเหงมากมายเเค่ไหน ทุกข์ยาก ไม่มีเงินใช้ จะเป็นยังไงก็ตาม เราสามารถมีสันติสุขได้ สันติสุขเป็นของเเถม เป็นรางวัลเป็นพระพร เป็นของขวัญที่พระเจ้าให้เรา เมื่อเราเชื่อพระเยซู
พี่น้องคริสเตรียนมากมายทุกวันนี้ไม่รู้น่ะว่าเราสามารถมีสันติสุขได้ ซึ่งเป็นของขวัญให้เราฟรีๆ เพียงเเต่เราเชื่อ เชื่อ เชื่อทุกวันว่า "โอ้ ขอบพระคุณพระเยซู ขอบพระคุณที่ข้าพระองค์มีเเล้ว ในจิตใจ ในวิญญาณของข้า มีบ่อน้ำพุ เป็นเเหล่งเป็นบ่อน้ำพุที่อยู่ในข้าพระองค์ ซึ่งก็คือพระองค์เองที่มาอยู่ในข้าพระองค์ เเละกลายเป็นบ่อน้ำพุ ให้ข้าพระองค์ได้กิน ได้ดื่ม ได้รับจากพระองค์ กระจายขยายเข้ามาสู่จิตใจ ให้ชุ่มชื้นชุ่มฉ่ำ" ถ้าหากเราเชื่อทุกวัน เราสามัคคีธรรม สนิทในพระคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถสัมผัสได้ เห็นสันติสุขนี้ได้
ถ้าหากพี่น้องฝึกฝน ลองทำดู อธิษฐานว่า "ขอบพระคุณพระเยซู ข้าพระองค์เป็นคนใหม่เเล้ว ข้าพระองค์เป็นคนชอบธรรมเเล้ว เเละพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เเละพระองค์มีบ่อน้ำพุอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะไม่กระหายอีก พระองค์สัญญาเเล้ว ข้าพระองค์ต้องได้" พระเจ้าสัญญาพระองค์ไม่เคยผิดสัญญาน่ะ คือพระเจ้าเป็นผู้ที่สัตย์ซื่อเเละเที่ยงธรรม พระองค์สัญญาว่าจะทำอะไร พระองค์ก็จะทำสิ่งนั้นให้เรา เเละเมื่อพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนน์ พระองค์เข้ามาอยู่กับเรา พระองค์เป็นบ่อน้ำพุอยู่ในเรา เเละเราสามารถกินดื่มได้ทุกวันเวลา เราไม่กระหายอีกเลย
1. ยากจนในวิญญาณ เเละเราก็จะได้รับราชอาณาจักรสวรรค์เป็นของเรา
2. โศกเศร้า (สลดใจ) คือเราเห็นคริสเตียนไม่เป็นคริสเตียน ครอบครัวไม่เป็นครอบครัว คริสตจักรไม่เป็นคริสตจักร เหล่านี้คือเชื่อเเต่คำพูด เเต่การกระทำไม่มี เราอธิษฐานเผื่อเขา เเละเราเศร้าสลดใจได้ เศร้าสลดใจได้ขณะที่ใจอีกส่วนจิตใจอีกส่วนหนึ่งเรามีสันติสุขอยู่กับพระเจ้า อยู่ในความสงบสุขกับพระคริสต์ทุกเวลา
เเต่อีกส่วนหนึ่งเราเเบ่งมาเศร้าสลดใจในเรื่องเหล่านั้น เพราะว่าโลกนี้หันหลังให้พระเจ้า ซาตานครอบครองโลกนี้ โลกนี้ไม่ได้เดินไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเเละแผนการบริหารงานของพระเจ้า ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย พระนามของพระเจ้าถูกดูหมิ่น พระวิญญาณถูกดับ พระเยซูคริสต์ถูกปฏิเสธ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราเศร้าสลดใจได้
3. ไม่ตอบโต้ (Meek) ไม่ต่อสู้ใคร เราเป็นคนที่ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ไม่ใช่อ่อนโยนสุภาพ ในข้อนี้ไม่ใช่
4. หิวเเละกระหายความชอบธรรม (อยากเป็นผู้ชนะ) ก็คือเราคิดว่าเรามีปัญหา เราคิดว่าเราจิตใจเรามันป่วย เราคิดว่าเราไม่ดีพอ ไม่มีอะไรดีที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ เมื่อเรายอมจำนน เมื่อเรายอมรับความจริงนี้ เราขอความชอบธรรมของพระเจ้าเข้ามาเป็นความชอบธรรมของเรา เราขอพระคริสต์เข้ามาทำแทนเรา เราก็จะได้อิ่มบริบูรณ์ อิ่มบริบูรณ์หรืออิ่มครบก็คือการที่พระเยซูทำแทนเรา ให้เกิดผลเเห่งพระวิญญาณในกาลาเทีย 5:22-23 เเล้ว เเละต่อมาความรัก "ฟีเลโอ" ของเราก็จะกลายเป็นความรัก "อากาเป" ในที่สุด
ซึ่งการดำเนินชีวิตของคริสเตียนเป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลามาก ต้องใช้เวลา ขอย้ำอีกครั้งน่ะ.. ว่าต้องใช้เวลา.. คือเราจะล้มลุก ล้มลุก บ่อยมาก จนในที่สุดเรามาถึงการเติบโตได้ พระเจ้าต้องให้เราล้ม เพื่อเราจะเห็นค่าของความยิ่งใหญ่ความรักของพระเจ้า
5. ความเมตตา มีเมตตา (ยกโทษทุกคน) คือพระเยซูเน้นที่การยกโทษให้ผู้อื่น เพราะว่าพระองค์ใช้คำว่า "ผู้นั้นก็จะได้รับพระกรุณาตอบ" ก็คือถ้าหากเรายกโทษให้ผู้อื่น พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรานะครับ ถ้าหากเราไม่ยกโทษให้ผู้อื่น เรารอดในวันสุดท้ายแน่นอน เเต่เราจะไม่มีโอกาสได้รับการยกโทษจากพระเจ้าให้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ การเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ต้องยกโทษให้ผู้อื่นก่อน
6. มีใจเดียว pure in heart ก็คือใจเดียว ไม่หลายใจ เรารักพระเจ้า เราใจเดียว เรามีจิตใจให้พระเจ้า เราใจเดียว เราจดจ่อที่พระวิญญาณจอจ่อที่พระเจ้า เรามีใจเดียว ไม่เเบ่งใจให้สิ่งอื่น เเล้วเราก็จะได้เห็นพระเจ้า
7. สร้างสันติ ไม่ก่อเรื่อง ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ถกเถียงใคร เขาจะพูดอะไรมา เรายอมแพ้ ถ้าเขาจะถกเถียงเราไม่จบไม่สิ้นสักที คือ.. ฉันจะต้องเป็นฝ่ายเอาชนะให้ได้.. เรา.. ก็ยกพระคัมภีร์มาใส่.. คือต่างคนต่างยกพระคัมภีร์มาถกเถียงกันทะเลาะกันใหญ่เลย
อันนี้เป็นการที่ไม่ถวายเกียรติเเด่พระเจ้า เป็นการที่ไม่สร้างสันติ ในที่สุดเราก็มองหน้ากันไม่ได้ ถ้าหากเราทำได้พระเจ้าก็จะเรียกเราว่าเป็นบุตรเป็นผู้ใหญ่ ยอมรับเราว่าเป็น "บุตรที่รัก" ของพระองค์
8. ถูกข่มเหง ก็คือการที่เรายอมถูกข่มเหง เราเข้าใจว่า โอ้ ชีวิตในโลกนี้ไม่ใช่จะต้องมีพระพรฝ่ายร่างกาย เเต่การดำเนินชีวิตที่เเท้จริง เราจะต้องถูกข่มเหง การเป็นผู้ชนะต้องมีการข่มเหงตามมาไม่มากก็น้อย เเละการถูกข่มเหงนี้ เป็นสิ่งที่จะนำเราเข้าสู่การได้รับรางวัล บำเหน็จ การครอบครองร่วมกับพระเยซู
9. ชื่นชมยินดีอยู่ทุกเวลา ก็คือการที่เราชื่นชมยินดี อยู่ทุกวันทุกเวลานาที ขณะที่เรามีปัญหาเรื่องครอบครัว เรื่องการเงิน การงาน เรื่องอะไรก็ตาม ที่เข้ามาสู่ชีวิตของเราในเเต่วัน เราก็สามารถมีสันติสุขได้ เพราะว่าสันติสุขนี้เรารับจากภายใน ไม่ใช่รับจากภายนอก ไม่ใช่ว่าเห็นอะไรที่เรามันถูกตาถูกใจเรา เราก็มีความสุข อันนั้นไม่ใช่
คือชื่นชมยินดี สันติสุข ในที่นี้ ก็คือการรับสันติสุขจากพระวิญญาณ ที่อยู่ในวิญญาณของเรา กระจายมาสู่จิตใจเเละเราก็ชื่นชมยินดี มีสันติสุขอยู่ในการสนิทกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ