คำสอนทั้งหมดของพระเยซูเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน
อาหารฝ่ายวิญญาณมีสองประเภท คือ ...
1. อาหารเด็ก (มานาที่เปิดเผย) หรืออาหารน้ำนม
2. อาหารผู้ใหญ่ (มานาที่ซ่อนไว้) หรืออาหารแข็ง
.....
1. อาหารเด็ก (มานาที่เปิดเผย) คือคำสอนเรื่อง ...
1. การกลับใจเสียใหม่ (จากการทำดีเพื่อให้ได้รอดแต่หันมาเชื่อเพื่อให้ได้รอด)
2. เรื่องการมาเชื่อในพระเจ้า - พระเยซู คือการต้อนรับพระองค์เป็นพระเจ้า
3. เรื่องบัพติศมา คือการจุ่มลงไปในน้ำ
4. เรื่องการวางมือ เน้นฤทธิ์เดช ล้มลงนอนที่พื้น ทำนาย นิมิตรฝันดูท้องฟ้า ฯลฯ
5. เรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของผู้เชื่อในอนาคต
6. เรื่องการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว
หกเรื่องดังกล่าวคืออาหารน้ำนมหรืออาหารเด็กที่คริสตจักรมากมายทุกวันนี้วางเป็นรากให้กับผู้เชื่อ ไม่ว่าคริสตจักรไหนๆ ก็สอนกัน และเมื่อเวลาผ่านไป ถึงเวลาที่เราควรจะโตและยังกินอาหารเด็กอยู่ ผลที่ตามมาก็คือเราจะเกิดมีอาการ หูตึง ตาบอด และ ไม่โต
"หูตึง" คือการไม่ยอมรับรู้รับฟังอะไรจากใครได้ง่ายๆ อีกต่อไปนอกจากสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังในหกเรื่องดังกล่าว
"ตาบอด" คือมองไม่เห็นอาหารผู้ใหญ่ขณะที่เขาอ่านหรือได้ยินคนกำลังพูดอยู่
"ไม่โต" คือชีวิตและนิสัยของผู้เชื่อที่ไม่มีถึงนิสัยพระคริสต์ คือพระคริสต์ไม่ได้ดำเนินชีวิตผ่านเขาในเขา ส่วนมากจะเป็นการกระทำดีเชื่อฟังที่ใช้ชีวิตเก่า (เสื้อเก่า) และเป็นเครื่องถวายที่ไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า
น้ำพระทัยของพระเจ้าต่อคริสตจักร คือการนำผู้เชื่อก้าวหน้าไปถึงความบริบูรณ์แห่งคำสอนของพระเยซูและนั่นก็คืออาหารผู้ใหญ่หรืออาหารแข็ง
.....
2. อาหารผู้ใหญ่ (มานาที่ซ่อนไว้) หรืออาหารแข็ง
อาหารแข็ง คือความรู้เรื่องอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้าที่เข้ามาแทนที่ความชอบธรรมที่ตายแล้วของเรา สองเรื่องดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นที่จะนำผู้เชื่อเข้าสู่การพลิกพระคำของพระเจ้าที่ได้รับการแปลจากคนหูตึงและตาบอดจนมีเชื้อเต็ม
(ฮบ 5:11-6:3; มธ 13:33)
ถ้าหากคุณยังสุขทุกข์ดีบาปชีวิตขึ้นลงๆ ไม่เคยพบสันติสุขทุกเวลาและเข้าสู่นิสัยของพระเยซูที่เติบโตในคุณ ค้นหามานาที่ซ่อนอยู่ พระเจ้าทรงเปิดเผยข้อลับลึกแห่งอาหารผู้ใหญ่ไว้ในนั้นเพื่อรอให้คุณมากินและดื่ม
จงละหลักการแห่งหลักคำสอนของพระคริสต์และก้าวไปถึงการเติบโตสู่ชีวิตพระคริสต์อย่างครบถ้วน
6:1 เหตุฉะนั้น โดยละถ้อยคำในเบื้องต้นของพระคริสต์ ขอให้พวกเราก้าวหน้าไปถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานแห่งการกลับใจเสียใหม่จากการงานต่าง ๆ ที่ตายแล้วอีก และเรื่องความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า
** ละ ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งหลักคำสอนที่เป็นอาหารน้ำนม แต่เราใช้เพื่อป้อนผู้เชื่อใหม่เท่านั้น ส่วนเราควรละคำสอนหกเรื่องใหญ่ๆ เพื่อสะสมอาหารผู้ใหญ่ให้มากเท่าที่จะมากได้เพื่อเราจะรับการชำระด้วยพระคำ และด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกลายเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้
** คำสอนเรื่องแรก ก็คือ คำอุปมา และเรื่องพระบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่างๆ
** กลับใจจากการงานต่างๆ ที่ตายแล้ว (1.) คือเมื่อผู้เชื่อได้ยินได้ฟังคำสอนของพระเยซูก็จะรีบนำไปปฏิบัติตาม และไม่รู้ว่าเขาตายแล้ว และทุกสิ่งที่เขากระทำคือการทำดีต่างๆ ที่ตายแล้วทั้งนั้น ผู้เชื่อควรกลับใจจากการทำดีที่ตายแล้วดังกล่าว
** ความเชื่อ (2.) คือเรื่องที่สองที่เป็นอาหารน้ำนม ซึ่งเราจะได้ยินอยู่เป็นประจำในคริสตจักรทั้งหลาย คือเชื่อและวางใจในพระเยซูเพื่อให้ได้รอดจากนรกบึงไฟ
6:2 เรื่องหลักคำสอนเกี่ยวกับพิธีบัพติศมาต่าง ๆ และเรื่องการวางมือ และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย และเรื่องการพิพากษาเป็นนิตย์
** พิธีบัพติศมา (3.) คือการรับบัพติศมาในน้ำเพื่อแสดงการกลับใจใหม่ เพื่อยอมรับว่าตนเป็นสมาชิกโบสถ์
** การวางมือ (4.) เราจะเห็นผู้เชื่อบางกลุ่มเน้นการวางมือ การอัศจรรย์ ซึ่งสำหรับพระเจ้ามองว่าเป็นอาหารเด็กเนื่องจากว่าสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้เชื่อมาถึงการเติบโตได้
** เรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย (5.) เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เชื่อมากมายให้ความสนใจ และเทศนาสั่งสอนกันเป็นประจำ
** เรื่องการพิพากษา (6.) คือเรื่องการตัดสินคนที่ไม่เชื่อในวันสุดท้าย
6:3 และพวกเราก็จะกระทำสิ่งนี้ได้ ถ้าพระเจ้าโปรดอนุญาต
** บางครั้งพระเจ้าอนุญาตให้สั่งสอน และกล่าวถึงอาหารน้ำนมหกเรื่องดังกล่าว แต่ไม่บ่อยจนเกินไป
6:4 เพราะว่าสำหรับคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รู้รสแห่งของประทานจากสวรรค์ และได้ถูกทำให้เป็นผู้มีส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์
6:5 และได้ชิมพระวจนะอันดีงามของพระเจ้า และฤทธิ์เดชทั้งหลายแห่งยุคที่จะมานั้น
** คือผู้เชื่อที่ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และรับเอาข่าวประเสริฐแล้ว ได้เห็นการอัศจรรย์ และสัมผัสรัก สันติสุขของพระเจ้าโดยการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เขาได้พบถ้อยคำของพระเจ้า และสิ่งยิ่งใหญ่ที่ทรงสำแดงแก่เขาคืออาณาจักร (ทางนิมิตร)
** มีส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือได้บังเกิดใหม่ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณแล้ว ทรงประทับตราแล้ว
6:6 ถ้าเขาเหล่านั้นจะหลงไป ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพาพวกเขากลับมาอีกสู่การกลับใจใหม่ โดยเห็นว่าพวกเขาตรึงพระบุตรของพระเจ้าเสียอีกสำหรับตนแล้ว และทำให้พระองค์ขายหน้าอย่างเปิดเผย
** หลงไป ในที่นี้ คือผู้เชื่อชาวยิวที่หลงทางกลับไปรักษาพระบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่างๆ และหลักการแห่งความรอดในพระคัมภีร์เดิม และเมื่อกลับมาก็ไม่ต้องกลับใจเสียใหม่ และต้อนรับพระเยซูอีกครั้งหนึ่ง เพียงแค่สารภาพบาปและเดินในฝ่ายวิญญาณต่อไป เพราะว่าถ้าหากผู้เชื่อชาวยิวกลับใจใหม่ต้อนรับพระเยซูอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนทำให้พระเยซูต้องกลับไปตรึงบนกางเขนเพื่อเขาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น
6:7 ด้วยว่าพื้นแผ่นดินที่ได้ดูดดื่มน้ำฝนที่ตกลงมาบนพื้นแผ่นดินนั้นเนือง ๆ และงอกขึ้นมาเป็นต้นผักทั้งหลายซึ่งเหมาะสำหรับคนทั้งหลายที่ได้พรวนดินนั้น ก็ได้รับพระพรจากพระเจ้า
** พื้นแผ่นดิน ในที่นี้ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับน้ำฝนจากพระเจ้าก็เป็นพระพรสำหรับเขา เมื่อเขากลับมาสู่ทางแห่งความจริง พระเจ้าจะไม่ให้กลับไปเป็นดินที่แห้งแล้งอีกเลย แต่มีพระพรสำหรับเขาอยู่เสมอ
6:8 แต่พื้นแผ่นดินที่งอกบรรดาหนามใหญ่และหนามย่อยก็ถูกปฏิเสธเสีย และเกือบจะถึงที่สาปแช่งแล้ว ซึ่งปลายทางของมันคือการถูกเผาไฟเสีย
6:9 แต่พวกที่รัก พวกเราเชื่อมั่นคงว่าพวกท่านจะได้สิ่งทั้งหลายที่ดีกว่านั้น และสิ่งต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับความรอด แม้พวกเรากล่าวอย่างนั้น
** ผู้เชื่อชาวยิวทั้งหลาย เมื่อหลงทาง และกลับมาก็ไม่สูญเสียความรอดเป็นอันขาด
6:10 เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรมที่จะทรงลืมการงานและการทำงานหนักแห่งความรักของพวกท่าน ซึ่งพวกท่านได้แสดงต่อพระนามของพระองค์ ในการที่พวกท่านได้รับใช้พวกวิสุทธิชนนั้นและยังรับใช้อยู่
** สำหรับพระเจ้า พระองค์จะไม่ลืมการงานทุกประการของผู้เชื่อ เราทำสิ่งไหนมากหรือน้อย ก็ย่อมมีผลตอบแทนแก่ทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการก่อขึ้นด้วยไม้ฟางหญ้าแห้ง พระองค์ก็ทรงให้พรแก่เขาในชีวิตนี้ตามสมควร
6:11 และพวกเราปรารถนาที่จะให้พวกท่านทุกคนแสดงความขยันขันแข็งแบบเดียวกันให้ถึงความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่แห่งความหวังนั้นจนถึงที่สุดปลาย
** เพราะฉะนั้น เราจึงควรขยันขันแข็งเรื่องการฝึกเดิน และการประกาศรับใช้ และปรนิบัติพระองค์อย่างเต็มที่เพื่อเราจะมีพระพรเป็นอันมากทั้งในสวรรค์และแผ่นดินโลก
6:12 เพื่อพวกท่านจะไม่เกียจคร้าน แต่เป็นผู้ดำเนินตามแบบอย่างของคนเหล่านั้น ผู้ซึ่งโดยทางความเชื่อและความอดทน ได้รับพระสัญญาเหล่านั้นเป็นมรดก
** คนเหล่านั้น ก็คือผู้เชื่อมากมายที่ได้รับความรอดโดยทางความเชื่อและอดทน (ไม่หนี-ไม่กลับไปเชื่อศาสนายิวและไม่ทิ้งความเชื่อในพระเยซู)
** พระสัญญา ในที่นี้ คือพระสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่ท่านอับราฮัม คือพระเจ้าทรงนับว่าเราเป็นคนชอบธรรมเท่ากับชาวยิวที่เคร่งศาสนา เราได้รอดโดยการเชื่อ และยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และพระผู้ไถ่ของเรา ซึ่งพระสัญญาที่มาทางพระเยซูก็จะเป็นของเรา