1. การเชื่อเท่านั้น ทำให้เราได้รับความรอด
2. การเชื่อเท่านั้น ทำให้เราได้รับพระวิญญาณ
3. การเชื่อ… ทำให้เราได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า
4. การเชื่อ… ทำให้เราได้รับการก่อร่างขึ้นของพระคริสต์ในเรา เพื่อเราจะมีจิตใจใหม่ และทำได้ทุกสิ่ง (มีผลของพระวิญญาณ)
เปาโลกล่าวว่า ผู้ที่สอนและเชื่อว่า เชื่อไม่พอ ยังต้องรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมและได้รอด ถ้าไม่รักษาพระบัญญัติ และเลิกทำบาปก็จะไม่รอด คือพวกเขา
- เชื่อข่าวประเสริฐอื่น
- บิดเบือนข่าวประเสริญของพระเยซูคริสต์
- คือพี่น้องจอมปลอม
- หล่นจากพระคุณ
- จะถูกสาปแช่งเพราะโง่เขลา
- คำสอนเรื่อง เชื่อไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ และเชื่อฟังด้วยจึงจะรอด ได้แพร่ขยายไปทั่วโลก มาจนถึงทุกวันนี้
- ข่าวประเสริฐของพระเยซู ก็คือเชื่อเท่านั้นก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรม มากกว่าผู้เชื่อยิวที่เคร่งพระบัญญัติเสียอีก (Justify by Faith Alone)
- เปาโลไม่ได้เรียนรู้ หรือรับฟังข่าวประเสริฐจากผู้ใดเลย แต่พระเยซูเป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งทั้งหลายให้แก่ท่าน
- เปาโลยืนยันว่า ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวก เพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และทุกสิ่งที่ท่านสอน ก็คือหลักความจริง
- คริสเตียนที่เชื่อว่า เชื่อเท่านั้นก็ได้รอด ก็หลุดพ้นจากการเป็นทาส ส่วนคริสเตียนที่ไม่เชื่อก็ยังเป็นทาส คือชีวิตและการรับใช้ต้องแบกภาระหนัก
- แอกก็หนัก และกางเขนก็หนักมาก
- ไม่ว่ายิวหรือต่างชาติ ทุกคนก็เป็นคนบาปทั้งนั้น ถ้าหากไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ การรักษาพระบัญญัติ ไม่ได้ช่วยให้ชาวยิวกลายเป็นคนชอบธรรมเลย
- พระเยซูทรงนับเราเข้าในการตายของพระองค์ เราจึงตายต่อพระบัญญัติแล้ว และเมื่อเราได้บังเกิดใหม่เป็นคนใหม่ เราจึงมีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า
- เราถูกตรึงกับพระคริสต์ เราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา นี่คือหลักการการดำเนินชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน
- หลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ คือเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่…
- เชื่อและเชื่อฟัง รักษาพระบัญญัติ
- เชื่อและอธิษฐาน อ่าน ไปโบสถ์
- เชื่อและถวายสิบลด
- เชื่อและรับบัพติศมา
- เราได้รับพระวิญญาณเมื่อเชื่อ ไม่ใช่โดยการขอ อดอาหาร หรือรักษาพระบัญญัติ
- ผู้เชื่อมากมายเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ แต่ก่อชีวิตและรับใช้ จบลงด้วยเนื้อหนัง
- การทำงานของพระเจ้าเกิดขึ้นได้ เพราะความเชื่อของเรา “เชื่อเอา” คือกุญแจ
- พระเจ้านับ “ความเชื่อ” ของเราว่า เป็น “ความชอบธรรม”
- ยิวรักษาพระบัญญัติ-เป็นคนชอบธรรม แต่เราเชื่อ เราก็ได้เป็นคน “ชอบธรรม”
- เราดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อเอาก่อน
- พระพรของอับราฮัม มาถึงพวกเรา ผู้ซึ่ง “เชื่อ”
- ผู้ใดรักษาพระบัญญัติไม่ครบ จะถูกสาปแช่ง
- โดยพระบัญญัตินั้น ไม่มีสักคนเดียวที่ชอบธรรม ไม่มีเลย
- ปฐมกาลบทที่ 12 พระเจ้าสัญญาจะประทานมรดก ให้แก่ท่านอับราฮัมและลูกหลาน
- 430 ปีต่อมา ทรงประทานพระบัญญัติ เพื่อกักขังชนชาติอิสราเอลไว้ชั่วคราว และ 2,000 ปีต่อมา พระคริสต์ก็นำพระพรมาสู่พวกเรา แค่เชื่อเราก็ได้รับมรดกนั้น
- น่าเสียดาย ที่ชาวยิวมากมายไม่รับพระเยซู จึงไม่ไมีโอกาสได้รับมรดก ผ่านทางความเชื่อนี้
- “ผู้เชื่อ” ไม่ได้รักษาพระบัญญัติอีกต่อไป แต่เราพึ่งพระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณ รักษาพระบัญญัติแทนเราในเรา
- พระโลหิตจ่ายหนี้บาปครบแล้ว
- การวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ ก็คือ
การเชื่อว่า เชื่อไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ และเชื่อฟังจึงจะได้รอด
การดำเนินชีวิต และรับใช้ด้วยตัวเก่า (เนื้อหนัง)
- พระเยซูไม่ได้มาเพื่อลบล้างพระบัญญัติ แต่พระองค์มาเพื่อทำให้พระบัญญัติสำเร็จ
- พระบัญญัติเดิมก็กลายเป็น “ใหม่”
- พระบัญญัติของโมเสส ก็กลายเป็นของพระเยซู
เรากลายเป็นบุตรทางความเชื่อ การก่อขึ้นของพระคริสต์ในเรา คือการรับมรดกอย่างครบถ้วน
การบังเกิดในเนื้อหนังและในพระวิญญาณ การหว่านในย่านเนื้อหนัง และในย่านพระวิญญาณ
- ชาวยิวต้องรอพระเยซูเสด็จมา เพื่อรับมรดกผ่านทางพระองค์
- ผู้ปกครอง (ชั่วคราว) ก็คือพระบัญญัติเดิม
- “อับบา” เล็งถึงความผูกพัน เราไม่ใช่ศาสนาคริสต์ แต่เราคือบุตรพระเจ้า
- ผู้ที่ยังรักษาพระบัญญติเพื่อให้ได้รอด “ก็เป็นทาส” ส่วนผู้ที่เชื่อเพื่อให้ได้รอด “ก็เป็นไท”
- การแตกแยกเกิดขึ้นได้ เนื่องมาจากการเชื่อไม่เหมือนกัน อย่าห่วงเลย
- เราผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณไม่เอาอกเอาใจ และไม่ประจบประแจงเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อเรา แต่เรากล่าวโดยพระวิญญาณ
- การก่อชีวิตของพระคริสต์ในเรา คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ (ข้อที่ 19)
- ผู้ที่เชื่อเพื่อให้ได้รอด คือ “ลูกไท” และผู้เชื่อที่รักษษพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด คือ “ลูกทาส”
- ถ้าหากเรายังร่วมกระทำทุกสิ่งกับพี่น้องที่เชื่อ และเชื่อฟังเพื่อให้ได้รอด และดำเนินชีวิตด้วยตัวเก่า เราก็กลับไปเป็นทาสเหมือนพวกเขา
- พระคริสต์จะไม่มีประโยชน์ต่อผู้เชื่อที่เชื่อข่าวประเสริฐอื่น และเป็นเนื้อหนัง
- “หล่นจากพระคุณ” คือการรักษาพระบัญญัติ และเชื่อฟังเพื่อให้ได้รอด
- เชื่อเท่านั้นก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรม ไม่มีทางอื่น
- การวิ่งแข่ง คือการแข่งขันเข้าอาณาจักร คือการรับการเปิดตาให้ได้เห็นพระคำล้ำลึก มานาที่ซ่อนไว้ เพื่อเราจะมีสันติสุขทุกวันเวลา และเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงได้
- “เชื้อยีสต์” เพียงนิดเดียว ก็ทำให้แป้งฟูขึ้นเป็นก้อนใหญ่ได้ คือคำสอนที่ผิดสามารถแพร่ขยายไปทั่ว ทำลายพระกายของพระเยซูได้ เนื่องจากผู้เชื่อเชื่อผิดและเดินหลงทาง จึงไม่โต
- พระวิญญาณต่อสู้กับเนื้อหนัง และเนื้อหนังก็ต่อสู้กับพระวิญญาณ เนื้อหนังตัวบาปไม่ได้ต่อสู้กับเรา หน้าที่ของเรา คือสนิท และปักใจไปที่ฝ่ายวิญญาณที่พระคริสต์ เพื่อเราจะเอาชนะบาปได้
- ชีวิตและผลของชีวิตของเรา แท้ที่จริงก็คือชีวิต และผลของชีวิตพระคริสต์ ที่เกิดผลในเราผ่านเราในแต่ละวัน (กท 2:20)
- มีชีวิตในพระวิญญาณ (Live in The Spirit) คือการใช้ชีวิตอยู่ในความจริงของพระเจ้า
- เดินในพระวิญญาณ (Walk in The Spirit) คือการเดินในความจริงของพระเจ้าในทุกย่างก้าว
10 ข้อที่สำคัญในหนังสือกาลาเทียบทที่ 6
เราช่วยพี่น้องที่มีชีวิตอยู่ในการบาปด้วยอ่อนสุภาพ และไม่ตัดสินเขา
เราผู้ชนะไม่ถือตัวว่าสำคัญ และไม่ยกใคร
เราใส่ใจในการสำรวจตนเองเรื่องการฝึกเดิน เราไม่เปรียบกับใคร
หน้าที่ของเรา คือสนิท บอกรัก และผูกพันกับพระเยซูในเรา เพื่อการเลิกทำบาปได้มากขึ้น
กาารหว่านในย่านเนื้อหนัง คือเดินด้วยตัวเก่า ส่วนในย่านพระวิญญาณ คือเดินและทำทุกสิ่งด้วยตัวใหม่ และสนิทในพระคริสต์ ปักใจที่ฝ่ายวิญญาณ
บุตรพระเจ้าไม่เมื่อยล้า ท้อแท้ ถดถอยในการทำดี และจะทรงมีบำเหน็จแก่เรา
เราช่วยเหลือผู้เชื่อก่อน จากนั้นก็คนที่ไม่เชื่อ