ขอบพระคุณในความรักในพระคุณในชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ที่พระองค์ประทานแก่พวกเรา ขอบพระคุณสำหรับความเข้าใจใหม่ ความเข้าใจที่ถูกต้อง การแปลความหมายพระคำที่เป็นความจริงเป็นชีวิตและเป็นฤทธิ์เดชสำหรับพวกเรา
เมื่อเรารับพระคำนี้เราจึงกลายเป็นไทมีอิสระและเข้าสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และขอบพระคุณที่นำเราทั้งหลายออกจากคอกซึ่งเป็นที่กักขังชาวยิวชั่วคราว และเรามาถึงทุ่งหญ้าที่เขียวสด พระองค์เป็นประตู พระองค์เป็นทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์เป็นอาหาร พระองค์เป็นผู้เลี้ยง พระองค์เป็นผู้รักเราทุกๆ คน สรรเสริญพระเยซู
เมื่อเราเชื่อสมัยที่เราได้ยินและได้รับข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เราเชื่อและปรากฏว่าเราได้ชิมสันติสุข เราไปโบสถ์เราชื่นชมยินดีซาบซึ้งในพระคุณในความรักของพระเจ้า เราจึงอยากเชื่อฟัง อยากทำให้พระเจ้าพอพระทัยในชีวิตของเรา ด้วยการพยายามทำ เชื่อฟัง เลิกทำบาป
และเมื่อเราเป็นทุกข์ เราก็ขอสันติสุขจากพระเจ้า และเราก็พยายามทำให้ชีวิต รักษาชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะรับสุขและพลังดังกล่าว เป็นความเชื่อที่เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตอนที่เชื่อใหม่ๆ ซึ่งผู้นำทั้งหลายเขาก็หวังดีกับเรา เขาก็พยายามช่วยเราให้เป็นคนดีให้เป็นคริสเตียนที่ดี
แต่เราไม่รู้และเขาก็ไม่รู้ ว่าคือการเดินทางที่หลงทาง เราจึงพบว่ามีแต่ความล้มเหลวที่เข้ามาสู่ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตในความเชื่อและการรับใช้พระเจ้า เราไม่รู้ว่าเราป่วยและอ่อนแอ เราไม่รู้ตัวเรากลายเป็นคริสเตียนศาสนา นับถือศาสนาคริสต์เหมือนกับศาสนาทุกๆ ศาสนาทั่วโลก
เราไม่เคยเข้าสู่ชีวิตและการสนิทในพระเยซู ปากเราบอกรักพระเยซู แต่เราไม่ได้รักพระเยซูจริงๆ เราเน้นที่การทำๆๆๆ รับใช้ๆๆๆ ขยันทำงาน แต่สุดท้ายเรามาพบว่าสิ่งที่เราทำเพื่อเราเอง เพื่อเกียรติ ชื่อเสียง หน้าตา หวังผลประโยชน์ และเราเองภายในก็คือแบกทุกข์ มีพระบัญญัติที่เราต้องแบกเป็นภาระหนักมาก
เราพยายามรักษาพระบัญญัติ พยายามเลิกทำบาป พยายามเชื่อฟังพระเจ้า เรากลายเป็นแกะที่ติดอยู่ในคอกออกจากประตูไม่มีประตูที่จะออกไปไหนนานหลายปี จนสุดท้ายเราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เมตตาเรา เลือกเราให้พบประตู เราพบประตูแล้ว ซึ่งขณะที่ผู้เชื่อมากมายยังไม่เห็นประตูนี้ ยังไม่พบประตูนี้
และพระเยซูเองเป็นประตูที่เราได้ออกมา และพระองค์นำเราออกมา เราได้ยินเสียงของพระเยซูอย่างชัดเจน ซึ่งคลิปที่เราได้ยิน เสียงที่เราได้ยินไม่ใช่อาจารย์.. แต่เป็นเสียงของพระเยซู ขอบพระคุณพระเจ้า
และเมื่อเราออกมาเราพบทุ่งหญ้าที่เขียวสด เต็มด้วยอาหาร คือใครบ้างที่รับพระคำล้ำลึกของพระเจ้ารับมานาแล้วไม่ได้กินอาหารที่เต็มแบบนี้?
คือมันเต็ม มันอิ่ม มันอร่อยมาก ไม่เหมือนความรู้ความเข้าใจไม่เหมือนพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อก่อนที่กินแล้วง่วงนอน อ่านแล้วไม่เข้าใจ สับสน คือกินเข้าไปแล้วมันเคี้ยวยากมาก เต็มไปด้วยความสับสนและไม่เข้าใจและกลัว อ่านไปแล้วพบว่าต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องเชื่อฟัง ควักตาออก ตัดมือทิ้ง คือมันน่ากลัวมาก พระคำพระเจ้าทำให้เป็นแบบนี้ แล้วเรามองพระเจ้าเหมือนพระเจ้าที่เป็นเหมือนพระอื่นๆ ที่น่ากลัว
แต่วันนี้เราพบพระคุณที่น่ารักมาก น่ารักมาก เพราะว่าพระองค์เป็นประตูและนำเราออกจากคอก และนำเราเข้ามาสู่ทุ่งหญ้าที่เขียวสด และพระองค์เองที่เป็นทุ่งหญ้าเขียวสดนั้น ให้เราได้ดื่มกินจนเต็มอิ่ม "มีสันติสุขมากและมีพลังมาก สองสิ่งนี้เราขาดไม่ได้เมื่อเราพบทุ่งหญ้า สันติสุขมากและพลังมาก"
เราสรรเสริญพระเจ้า ปรากฏว่าเราไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากว่าเราเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ เราเข้าสู่พระสัญญาที่พระเจ้ามีต่ออับราฮัมในปฐมกาลบทที่ 12 และพระเยซูนำเราออกมาจากพระบัญญัติเข้าสู่พระสัญญา ซึ่งคอกที่ชาวยิวถูกกักขังอยู่นานหลายปี 420 ปี ที่ชาวยิวถูกกักขัง และเขาพยายามรักษาพระบัญญัติ พยายามทำให้ชีวิตพบสันติสุขและชีวิตได้รับความรอด เขาพยายามทำตนให้กลายเป็นคนชอบธรรม
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม ก็คือรอดโดยทางความเชื่อ เรากลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ เราเชื่อเท่านั้น เราเชื่อเท่านั้น เราก็ได้กลายเป็นคนที่ชอบธรรมเท่ากับชาวยิวที่เคร่งศาสนามาก สรรเสริญพระเยซู สรรเสริญพระเจ้า
ผมเชื่อเท่านั้นผมก็กลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากับยิวที่เคร่งศาสนาแล้ว และพี่น้องที่เชื่อก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากับยิวที่เคร่งศาสนาแล้ว เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย และเราก็เต็มด้วยความบาป พระเจ้าก็ยกโทษให้เรา พระเจ้าไม่มองเห็นความบาปความผิดบาปของเรา พระเจ้านับนะครับเป็นบุตรของพระเจ้าให้เราได้บังเกิดใหม่ ให้เรามีพระคริสต์เป็นเสื้อที่ดีที่สุดที่เราสวมใส่ มีอาหารที่เอร็ดอร่อย มีสันติสุขที่อิ่มหนำ เป็นชีวิตที่เกินคำบรรยาย เมื่อเราได้รับการเปิดตา
เราขอบคุณพระเยซู เรามีพลังยิ่งใหญ่ ก็คือชีวิตพระคริสต์ที่เป็นพลังนั้น เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เป็นชีวิตที่เข้ามาอยู่ในเราและดำเนินชีวิตแทนเราเพื่อเรา
ขอบพระคุณพระเจ้าพระบัญญัตินะครับซึ่งเป็นพระบัญญัติเดิมพระเยซูนำเราออกมา และนำเราเข้าสู่ทุ่งหญ้าเขียวสดและมีพระบัญญัติใหม่ แต่พระเจ้าไม่เคยให้เราแตะพระบัญญัติใหม่นั้น พระองค์เป็นคนที่จะรักษาให้ เราไม่ต้องทำอะไรเราเชื่อเรายอมรับการทรงครอบคลุมครอบครองบังคับจิตใจชีวิตของเรา เราก็รักษาพระบัญญัติได้ และพระบัญญัติข้อที่ใหญ่ที่สุด ก็คือรักพระเจ้า รักได้แล้ว เราบอกรักพระเยซูทุกวัน และจากนั้นเราก็รักเพื่อนบ้าน รักศัตรู เรารักคนที่ไม่น่ารัก เรารักคนที่แช่งด่าเรา เรารักคนที่เกลียดเรา เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เราทำได้โดยมีพระคริสต์เป็นพลังที่อยู่ภายในเรา
เมื่อก่อนผมและผู้เชื่อทุกคน อันนี้เรารู้กันดีเราอ่านหนังสือยอห์นบทที่ 10 เราไม่เข้าใจ เป็นการแปลความหมายของผู้นำที่ผิดและทำให้เราหลงเชื่อคำสอนที่ผิดมานานหลายปี ถ้าเขาสอนว่า คอก ก็คือคริสตจักร แล้วทำไมพระเยซูมาเป็นประตูและนำคริสเตียนออกมาจากคริสตจักร แสดงว่าพระเยซูขัดแย้งกับคริสตจักรหรอ ไม่ใช่.
พระเยซูสนับสนุนให้เราอยู่ในคริสตจักร อยู่ในพระกายของพระองค์ แต่ต้องเป็นพระกายเที่ยงแท้ พระเยซูเป็นศีรษะ เป็นฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้นเราที่จะเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ไม่เป็นศาสนา ก็คือเราจะต้องเป็นมนุษย์วิญญาณที่มาร่วมกันรวมกัน สรรเสริญ ยกย่อง นมัสการ พระเจ้าในฐานะของตัวใหม่ของบุคคลคนใหม่ ก็คือมนุษย์วิญญาณ ซึ่งจะต่อติดกับศีรษะที่เป็นพระเยซูได้
เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับการแปลที่นำเราเข้าสู่ความจริงของพระองค์ เราจะเห็นนะครับว่ายอห์นบทที่ 10 ก็คือเป็นเรื่องของ คอกแกะ เป็นเรื่องของพระบัญญัติเดิม ซึ่งทำไมพระเยซูต้องนำเราออกมาจากพระบัญญัติเดิม อันนี้กาลาเทียบทที่ 3 ข้อ 23 คือคำตอบ (เพื่อกักขังชาวอยู่ชั่วคราว)
พระบัญญัติไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราที่เป็นคริสเตียนที่เป็นสาวกของพระเยซูรักษา เป็นสิ่งที่อยู่ชั่วคราว เป็นครูที่สอนยิวชั่วคราว เป็นสิ่งชั่วคราวเท่านั้น เป็นเงา
และเมื่อพระเยซูเสด็จมาพระบัญญัติก็หมดหน้าที่ เราจำกันได้นะครับทำไมพระเจ้าไม่ให้เรารักษาพระบัญญัติเดิม คำตอบก็คือ พระบัญญัติเดิมอ่อนแอ ในฮีบรู 7:8 พระบัญญัติเดิมไม่ได้มีประโยชน์อะไร ฮีบรู 7:18
พระบัญญัติเดิมไม่ครบถ้วน พระเยซูต้องมายกระดับให้สูงขึ้นเพื่อให้ครบถ้วนและสมบูรณ์ เราเห็นในมัทธิว 5:22,28,32,39,44) พระเยซูตรัสว่าท่านทั้งหลายได้ยินว่า.. และหลังจากนั้นพระเยซูตรัสต่อไปว่าเราบอกท่านทั้งหลายว่า.. แล้วพระเยซูก็แก้พระบัญญัติ คือยกระดับ จากมาตรฐานของมนุษย์ สู่มาตรฐานของพระเจ้า คือเมื่อก่อนพระบัญญัติเดิมยังไม่สำเร็จยังไม่ครบถ้วนยังไม่สมบูรณ์ และพระเยซูมาเพื่อทำให้พระบัญญัติสมบูรณ์
และพระบัญญัติเดิมชาวยิวหรือคนชาติอิสราเอลต้องรักษาพระบัญญัติให้ครบ ถ้าผิดข้อเดียว เรารู้ใช่ไหมครับในยากอบบทที่ 2 ข้อที่ 10 ถ้าผิดข้อเดียวก็ถือว่าผิดทั้งหมดเลย แล้วจะมีใครล่ะที่จะรักษาพระบัญญัติให้ครบได้ ไม่มี.
และเราขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระบัญญัติเดิมก็จบ และถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพระบัญญัติใหม่ พระบัญญัติของโมเสสก็จบ และถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู มีหลักฐานยืนยันในยอห์น 13:34 / โรม 10:4 พระบัญญัติเดิมจบแล้ว และถ้าใครที่ยังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ก็จะถูกสาปแช่ง ในกาลาเทีย 3:10
และใครที่ยังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ ก็ถือว่าเขาหล่นจากพระคุณเสียแล้ว กาลาเทีย 5:4
และใครที่ยังรักษาพระบัญญัติเดิม ก็กลายเป็นคริสเตียนเนื้อหนัง เป็นศาสนาคริสต์ไม่ใช่คริสเตียนวิญญาณหรือคริสเตียนฝ่ายวิญญาณอีกต่อไปแล้ว ในโรม 7:14-24
เขายังไม่ได้ตายจากพระบัญญัติ แต่ขอบคุณพระเจ้าโรมบทที่ 7:4 พูดถึงเราตายจากพระบัญญัติแล้ว เอเมนสรรเสริญพระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ที่ทำให้เราตายจากพระบัญญัติ ขอบคุณพระองค์ที่ประหารชีวิตเก่าเราที่กางเขน เพื่อให้เราหลุดพ้นจากพระบัญญัติ และเราเข้าสู่ชีวิตเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสดจนถึงทุกวันนี้
สำหรับยอห์นบทที่ 10 เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูนำชีวิตที่ครบบริบูรณ์มาสู่เรา เนื่องจากว่าอาดัมเอวาและลูกหลานไม่มีโอกาสได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์นี้ เนื่องจากเขาไม่มีโอกาสได้กินผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต ที่พระเจ้าใส่ชีวิตของพระองค์เอาไว้ในต้นไม้แห่งชีวิตนั้น อาดัมเอวาไม่มีโอกาสได้แตะและไม่มีโอกาสได้กิน เขาจึงเป็นชีวิตที่มีชีวิตที่ไม่ครบไม่เต็ม
แต่ทุกวันนี้สรรเสริญพระเยซู ที่เราบางคนที่พระเจ้าเลือกและเปิดตาเปิดเผยความจริงให้เราได้รู้ และทุกวันนี้เรามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์อยู่ในเราแล้ว ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งสง่าราศี
เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องอีกมากมายนะครับ ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ และยังมีชีวิตที่ไม่ครบ เต็ม ทั้งๆ ที่พระเจ้าเป็นชีวิตที่ครบอยู่ในเขาแล้ว แต่เขาไม่รู้ และเรื่องที่สอง ก็คือการที่เราไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป แต่เราอยู่ใต้พระคุณ ก็คือพระคริสต์เป็นคนทำแทนเรา เราอยู่ใต้พระบัญญัติก็คือเราต้องรักษาพระบัญญัติเอง
สำหรับหนังสือยอห์นเราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดเผยความหมายฝ่ายวิญญาณให้แก่เรา
บทที่ 1 ก็คือพระเยซูทรงแนะนำพระองค์เองต่อโลก คือพระองค์เป็นพระวาทะ มีชีวิตที่ครบและถ้อยคำของพระเจ้าเป็นชีวิตนั้นที่มาถึงพวกเรา และอยู่ท่ามกลางพวกเรา และเป็นตัวตน เป็นบุคคล เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งก็คือพระเจ้าเองที่เสด็จลงมา
บทที่ 2 ก็คือพระเยซูเป็นคำตอบเรื่องพระองค์เปลี่ยนความตายให้เป็นชีวิตได้ เนื่องจากว่ามนุษย์อยู่ในความตาย มนุษย์ตายแล้ว แต่พระเจ้าเสด็จมาเพื่อนำมนุษย์ออกจากความตาย และเข้าสู่ชีวิตและมีชีวิตที่ครบเต็มครบบริบูรณ์ได้
บทที่ 3 เราจะเห็นว่าพระเยซูเป็นคำตอบเรื่อง พระองค์เท่านั้น มนุษย์บังเกิดใหม่ได้ วิญญาณซึ่งมนุษย์เมื่อก่อนตายไปแล้วถูกตัดขาดจากพระเจ้า ติดต่อเชื่อมโยงกับพระเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้เมื่อเราเชื่อพระเยซู เราได้รับการดลบันดาลโดยพระวิญญาณให้ได้บังเกิดใหม่ และเป็นมนุษย์วิญญาณและได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้าเที่ยงแท้
บทที่ 4 เราจะพบว่าพระเยซูให้คำตอบเป็นคำตอบเรื่อง พระองค์เป็นสันติสุข พระองค์เป็นแม่น้ำแห่งชีวิต ที่เมื่อเราดื่มกิน เราจะไม่ต้องกระหายอีก เราขอบคุณพระเจ้าท่ามกลางผู้เชื่อเล็กน้อยกลุ่มหนึ่งในทั่วโลกที่ได้พบแม่น้ำแห่งชีวิตและได้กินดื่ม จนไม่ต้องกระหายอีก ขอบคุณพระเยซู
บทที่ 5 เราพบว่าพระองค์เป็นผู้รักษาอาการป่วยของร่างกายได้ และไม่ใส่ใจเรื่องผิดถูก เรื่องกฎเกณฑ์ เรื่องพระบัญญัติทั้งหลาย แต่นำมนุษย์ออกจากกฎเกณฑ์เหล่านั้นและรูปแนวศาสนา เข้าสู่รูปแนวชีวิต
บทที่ 6 ก็คือพระเยซูคือคำตอบเรื่อง อาหารฝ่ายวิญญาณที่ต้องกินประจำ เพื่อการเต็มล้นและเติบโตสู่นิสัยของพระเจ้า อย่าลืมนะครับ คริสเตียนเรามาถึงพระคำพระเจ้าที่เป็นความจริงนี้ สิ่งที่เราขาดไม่ได้ ก็คือเราต้องอ่านพระคัมภีร์ และเข้าใจความหมายที่ถูกต้อง ทุกครั้งที่เราอ่าน ทุกครั้งที่เราอธิษฐาน เราเชื่อว่าเรากินพระคำ เรากินอาหารฝ่ายวิญญาณอยู่ เมื่อเราเชื่อแบบนี้ เราจะพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เคลื่อนไหวในเรา คือความอิ่มเต็ม คืออาการที่อิ่ม คืออาการที่เบาสบาย คืออาการที่ไม่หิวกระหายอีก ขอบคุณพระเยซู
ซึ่งต่างจากเมื่อก่อน คือเมื่อเราอ่าน เมื่อก่อนเราบอกว่า เอ่อ.. เข้าใจแล้วอ่านเพื่อเรียนเพื่อรู้นะ แต่ตอนนี้เราอ่านเพื่อกินเพื่อโต สรรเสริญพระเยซู
บทที่ 7 หนังสือยอห์นเราจะพบว่าพระเยซูคือคำตอบเรื่อง ดินแดนแห่งพันธสัญญาในยุคหน้าและนิรันดร์ เราไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป ถ้าหากเราเข้าใจหนังสือยอห์นบทที่ 7 เราจะพบว่าชีวิตของเราจะปล่อยปลงวางได้ในโลกนี้ในชีวิตนี้ คือมันเป็นที่อยู่ชั่วคราวของเรา เราจะมีบ้านหลังเล็กหลังใหญ่ เราจะเป็นคนยากจนหรือร่ำรวย แต่สำหรับพระเจ้ามอง เราก็คือเป็นคนที่เร่ร่อนอยู่ในโลกนี้ เพราะมันคือสิ่งที่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าหากใครที่ยังปล่อยปลงวางไม่ได้ กลับไปอ่านหนังสือยอห์นบทที่ 7 และทำความเข้าใจในการแปลความหมายให้ถูกต้อง
บทที่ 8 ก็คือพระเยซูคือคำตอบเรื่อง การยกโทษบาปให้มนุษย์ที่มีบาปได้ ไม่มีมนุษย์คนไหนไม่มีมนุษย์หน้าไหนในโลกนี้ที่ยกโทษให้มนุษย์ได้จริงๆ แต่พระเยซูเท่านั้นที่พระองค์ทรงยกโทษบาปได้ และนำมนุษย์ออกจากการพิพากษาของพระเจ้า สู่ชีวิตนิรันดร์และเป็นชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดไปเป็นนิจ
บทที่ 9 พระเยซูคือคำตอบเรื่อง รักษาอาการบอดในฝ่ายวิญญาณ และออกจากการเดินในความมืด มาสู่ความสว่างได้ อาการหล่นจากพระคุณชีวิตที่อยู่ในรูปแนวศาสนา พระองค์นำเราออกมาโดยพระองค์ให้ยาทาตา และพระองค์เปิดตา และพระองค์รักษาตาของเราให้หายบอด
ขอบคุณพระเยซูที่เราพบมานาที่ซ่อนไว้ คือมันเป็นชีวิตที่ประเสริฐมาก เป็นชีวิตที่ดีมากๆ เป็นชีวิตที่หาอะไรเปรียบไม่ได้อีกแล้ว รักษาชีวิตนี้ให้ดี รักษาถ้อยคำนี้ให้ดี อย่าให้มารมาล่อลวง อย่าให้ซาตานดึงเราออกจากชีวิตนี้ เพราะว่าชีวิตที่ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
...
และสุดท้ายก็คือยอห์นบทที่ 10 ที่เรารับจากพระเจ้าในวันนี้ก็คือ พระเยซูเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เป็นพระบิดาที่เลี้ยงดูเรา รักษาเราให้เรากินอิ่มสำราญ มีชีวิตที่ครบเต็ม เรามีสันติสุขที่ไม่กระหาย เรามีพลังของพระเจ้าที่เหมือนระเบิดไดนาไมต์ ที่ทำอะไรก็ได้ไม่มีอะไรที่บุตรพระเจ้าทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ขอบคุณพระเยซู
คิดๆ ดูแล้วเราก็สงสารเห็นใจพี่น้องอีกมากมาย ทั้งผู้นำด้วยที่ยังอยู่ใต้พระบัญญัติ ที่ยังแบกภาระหนัก ที่ยังใส่หน้ากากเพราะว่าจำเป็น จำเป็นต้องเสแสร้ง ต้องยิ้มต่อหน้าพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ปลดปล่อยเรา และเราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านั้นอย่าลืม
ถาม.
แกะนี่คือ เราไม่ได้อยู่ในคอกแล้ว เราคือแกะนอกคอกใช่ไหมคะ
ตอบ.
ตอนนี้นะครับเราอยู่นอกคอกแล้วนะครับ เราเป็นแกะนอกคอก แล้วถามว่าแกะนอกคอกหรือแกะในคอก อันไหนคือแกะที่เป็นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่าลืมนะครับพระเยซูตรัสว่าเราเป็นประตูและแกะเหล่านั้นก็ตามเรามา ก็คือออกจากคอก แล้วไปเจอทุ่งหญ้า
เพราะฉะนั้นน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับแกะ ก็คือนำเราออกจากคอก ก็คือนำเราออกจากพระบัญญัติเดิม เราไม่ต้องรักษาพระบัญญัติเดิมแล้ว พระบัญญัติเดิมเป็นสิ่งชั่วคราว ซึ่งเป็นครูสอนชาวยิว และเป็นสิ่งที่กักขังเป็นคอกที่กักขังชาวยิวชั่วคราวเท่านั้น คือเป็นสิ่งที่ใช้ชั่วคราว
และตอนนี้นะครับเราไม่มีคอก เราอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด แต่ไม่ได้หมายความว่า อย่าลืมนะครับการแปลว่า คอก คือคริสตจักร คือการแปลผิด
ทุ่งหญ้าที่เขียวสด ก็คือในนั้นถ้าหากว่า แกะมารวมตัวกันมาร่วมกันเมื่อไหร่ ตรงนั้นทุ่งหญ้าที่นั่น ก็คือคริสตจักรของพระเจ้าคริสตจักรของพระเยซู เราไม่ต้องอยู่ในคอกนะครับ เรานั่งร่วมกันรวมกันในทุ่งหญ้าที่เขียวสด ก็คือเราอยู่ในคริสตจักรเที่ยงแท้ที่มีอาหารฝ่ายวิญญาณเต็มให้เรากินดื่มจนอิ่ม
ถ้าหากเราได้ฟังได้ยินและได้กินได้รับเข้าไป ก็คือตอนนี้เรากำลังรับอาหารที่เป็นหญ้าเขียวสดที่เป็นมาโดยพระเยซูผ่านพวกเรา เอเมน
คิดถึงตอนที่เราไปนั่งที่คริสตจักรศาสนาในโบสถ์ เราฟังคำสอนคำเทศนานานถึง 30 นาที 45 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เรานั่งเนี่ยเราได้กินได้ดื่มไหม? ไม่..ใช่มั้ย เราจะเห็นว่าเราไม่รู้สึกว่าได้สัมผัสชีวิตเราไม่ได้กินอะไรเลย แต่ปรากฏว่าหลายครั้งที่เราไปนั่ง ก็คือเราถูกพูดประชดประชัน ผู้นำอาจจะเห็นเราทำผิดอะไรบางอย่างก็พูดประชดประชันเรา หรือตัดสินเรา พิพากษาเรา แล้วก็พี่น้องก็มองเรา หรือว่าเราเองก็มองพี่น้องเมื่อ อจ. พูด สอน เทศนาเรื่องโกหก เราก็จะมองไปที่บางคนที่เขาชอบโกหก เมื่อ อจ. หรือผู้นำพูดถึงเรื่องคนที่ทำบาปเล่นชู้ เราก็จะไปมอง เอ่อใครเล่นชู้บ้างในที่นี้ใช่ไหม!!
ก็คือมันมีการตัดสินจะมีสายตาที่มอง มองไปที่ผู้เชื่อที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ใช่การที่จะเข้าไปรับชีวิต รับชีวิตที่เต็มที่เติมเต็มและรับสันติสุขจากพระเจ้า
คริสตจักรของพระเจ้าจริงๆ ก็คือเราเข้ามาแล้ว เรามองทุกคนในฝ่ายวิญญาณ เราไม่เห็นความผิดของใคร เราจดจ่อที่ถ้อยคำที่เป็นอาหารที่เป็นชีวิต เป็นหญ้าที่เขียวสดที่เรากินเข้าไปเพื่อรับสันติสุข และรับพลังจากพระเจ้า ถ้าจะพูดอีกแง่หนึ่งใช้คำนี้ก็ได้เราเป็นคริสเตียนนอกคอก เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เราเป็นคริสเตียนนอกคอก
...
ถาม.
ตั้งแต่ผมพบมานาแล้วก็ก่อนพบมานาฯ ผมจะชอบฝันตลอดว่าผมสอบตกเวลาที่เข้าโรงเรียนไม่ทันเพื่อนเลยอะไรประมาณนี้ตลอด แต่เมื่อเริ่มฝึกเดินกับพระเยซูเกี่ยวกับบอกรัก ก็ไม่ฝันแบบนั้นอีก ความฝันนั้นมันหมายถึงอะไรครับ
ตอบ.
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความฝันนี้ คือมันตรงกับบทเรียนที่เรารับจากพระเจ้าในวันนี้ คือสำหรับพระคำพระเจ้าที่สอนเราในยอห์นบทที่ 10 คือพระบัญญัติเดิมเป็นครูและเป็นสิ่งที่กักขังเรา เป็นคอก ให้เรายอมแพ้ ให้เราพ่ายแพ้ ให้เราเป็นผู้พ่าย พูดง่ายๆ ก็คือพระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้แพ้
ใครที่เป็นผู้แพ้บ่อยๆ ใครที่เป็นผู้แพ้ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน เรื่องชีวิตครอบครัวอะไรก็ตาม เราพ่ายแพ้เราเป็นผู้แพ้ เราเป็นคนที่อกหัก ผิดหวังอะไรบ่อยๆ เรามาถูกทางครับ เพราะว่าพระเยซูคือคำตอบ พระเยซูคือผู้ชนะในเรา แทนเรา เพื่อเรา
ถามว่าพระเจ้าประทานพระบัญญัติให้แก่ชนชาติอิสราเอลเพื่ออะไร รู้ไหมครับ? ไม่ใช่เพื่อรักษานะ..เพื่อให้ชาวยิวพ่ายแพ้ คือพระเจ้าประทานสิ่งที่ยากๆ ให้เขา เพื่อให้เขาทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้เขาก็จะยอมแพ้และร้องขอต่อพระเจ้า ช่วยด้วย เมตตาด้วยไม่ไหวแล้ว แล้วพระเยซูก็เสด็จมา พระเยซูคือคำตอบสำหรับผู้ที่พ่ายแพ้ มานาฯ เป็นสิ่งที่ช่วยผู้แพ้ คนที่พ่ายแพ้ คนที่อกหัก คนที่ผิดหวัง
ถ้าคุณอกหักคุณเป็นไม้อ้อ ไม้อ้อที่หักแล้ว คุณมาถูกทาง
คุณเป็นตะเกียงที่จวนจะดับแล้ว คุณมาถูกทาง
ถ้าไม้อ้อยังไม่หักและตะเกียงที่ยังไม่จวนจะดับ ก็คือไปต่อเลยได้ไม่เป็นไร
แต่เมื่อไหร่ที่เราเป็น มีคุณสมบัติ 2 สิ่งนี้ ก็คือเป็นไม้อ้อที่หักแล้ว แล้วเป็นตะเกียงที่จวนจะดับแล้ว ก็คือมาหาพระเยซู
แล้วพระเยซูจะให้เราจากอกหักกลายเป็นสมหวัง จากพ่ายแพ้ ผู้แพ้เป็นผู้ชนะได้
ผมเชื่อนะครับว่าเราหลายคนในที่นี้เคยพ่ายแพ้เคยอกหักเคยผิดหวังเคยหนี แต่สุดท้ายพอพระเจ้าเปิดตานำเรามาสู่ความจริงนี้ เรากลับมาสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง มีความหวังอีกครั้งหนึ่ง มีชีวิตที่มีเป้าหมายอีกครั้งหนึ่ง กลับมารับใช้พระเจ้าอย่างมีคุณภาพ อย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง
...
ถาม.
ในเมื่ออาจารย์บอกว่าพระบัญญัติเดิมกักขังยิว แล้วก็ถูกยกเลิกไปแล้ว เลยอยากถามว่าในพระคัมภีร์สดุดี บทที่ 150 จงสรรเสริญพระเจ้าๆ อย่างนี้เรายังเอามาใช้ได้อยู่ไหมคะ ในเมื่อถูกยกเลิกไปแล้ว
ตอบ.
สำหรับพระบัญญัติเดิมหลายข้อเรายังใช้ได้นะครับ ถ้าหากไม่ขัดแย้งกับพระบัญญัติใหม่ ถ้าในพระบัญญัติเดิมกษัตริย์ซาโลมอนหรือดาวิดเขียนว่าจงสรรเสริญพระเจ้า จงให้ทุกสิ่งสรรเสริญพระเจ้า ก็คือไม่ได้ขัดแย้งกับพระบัญญัติใหม่ เพราะว่าการสรรเสริญพระเจ้าเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการและเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเยซูสั่งให้เราทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า เราทำต่อไปครับ
และอยากขโมย ขโมยในพระคัมภีร์เดิมสอนไว้ ในพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูตรัสนะครับว่า อย่าขโมย ก็คือเราทำต่อไปได้
ในพระบัญญัติเดิมตรัสไว้ใช่ไหมครับว่า ข้อแรกคือรักพระเจ้าหมดหัวใจสุดจิตสุดใจของเราสุดกำลังของเรา ในพระบัญญัติใหม่ก็คือเราทำต่อไป เนื่องจากว่าเราต้องรักพระเจ้ารักพระบิดา คนแรกที่เราต้องรัก ก็คือพระเจ้านะครับ
แต่ถ้ามีคนจะบอกนะครับว่า จงถวายสิบลดต่อไป อันนี้ในพระบัญญัติใหม่คำสอนของพระเยซู เปาโลไม่ได้พูดถึงนะครับ แต่พูดว่าจงให้ตามขนาดของความเชื่อ ไม่ใช่ให้ 10% เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เราก็หยุดนะครับ
และเมื่อก่อนเราถือวันสะบาโตวันเสาร์ แล้วก็เราถือวัน ถือเดือน ถือปี แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโลบอกว่า จงอย่าถือวัน อย่าถือเดือน อย่าถือปี เราทำยังไงครับ เราเลิกเอเมน
เราต้องดูนะครับว่าพระบัญญัติเดิมที่ยังไม่ขัดแย้งกับพระบัญญัติใหม่เราใช้ต่อไปได้