ความเชื่อ และการเชื่อเอาไม่ใช่อันเดียวกัน
ความเชื่อมีสองความเชื่อ และการเชื่อเอาก็มีสองเชื่อเอา
- ความเชื่อ คือการยอมรับว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้นมีจริง คือการเชื่อในอำนาจของพระเจ้าว่าทำได้ เชื่อว่ามีพระเจ้า
- เรามีความเชื่อ และใช้ความเชื่อของเราก่อน เมื่อเป็นคริสเตียน พระเยซูจะเชื่อแทนเรา เราจึงย้ายภูเขาได้ (เห็นการอัศจรรย์)
- ความเชื่อแรก คือเชื่อของเรา เรามีก่อนเชื่อ ส่วนความเชื่อที่สอง เรามีตอนที่รับเชื่อ แต่ต้องรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า เราจึงจะเห็นความเชื่อที่สองนี้ปรากฏ
...
การเชื่อเอา
เมื่อรับมานา เราเริ่มได้รู้ และเข้าใจความหมายของคำว่าเชื่อเอาคืออะไร เพื่ออะไร และการนำใช้มัน แต่การเชื่อเอาดังกล่าว คือการเชื่อเอาของเราเอง เพราะว่าเราต้องฝึกเชื่อเอานี้นานพอสมควร เพื่อจะเข้าสู่การเชื่อเอาแทนของพระเยซู
ขั้นตอนในการฝึก เพื่อจะได้เห็นการเชื่อเอาของพระคริสต์มาแทนที่การเชื่อเอาของเรานั้น ต้องผ่านขั้นตอน คือ นับ ถวายตัว สนิท และสะสมมานาในแต่ละวัน
...
ทำไมการฝึกสี่ขั้นตอนดังกล่าวดูเหมือนยากและหนัก เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เราเห็นอย่างชัดเจน และยอมรับว่า ความเชื่อและการเชื่อเอาของเรามันใช้ไม่ได้ และการเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตพระคริสต์มันต้องใช้เวลา เราจะดีกว่า หรือเก่งกว่าเปาโล และผู้ชนะอื่นๆ ไม่ได้ สุดท้ายทุกสิ่งก็จะง่ายขึ้น
พี่น้องที่รับมานาในเมืองไทย เพิ่งมีประสบการณ์ชีวิตล้ำลึกนี้ได้ไม่ถึงสี่ปี เมื่อฝึกและไม่เห็นผลมากพอ เราอย่าเพิ่งสรุปว่า บทเรียนผู้ชนะใช้ไม่ได้ เนื่องจากเรายังไม่มีตาเหมือนนกอินทรีย์
...
“มานาที่ซ่อนไว้” ซึ่งในอเมริกาเรียกว่า “ความรู้ล้ำลึก” (Deeper Knowledge) ไม่ใช่มาจากผม (อาจารย์เจ) เริ่มจากผม หรือผมเป็นคนวางรากฐานเพื่อให้เรารับและฝึก แต่พี่น้องผู้ชนะในอเมริกานำไปใช้ และเห็นผลมานานแล้ว
แต่มีพี่น้องหลายคนที่ตายังไม่เปิดมากพอ แต่กลับหลงไปคิดว่ารู้ หรือพระเจ้าเปิดตาโดยพระวิญญาณ จึงคิดว่ามานาไม่ดี และเมื่อฝึกด้วยวิธีที่ตนคิดว่าได้ผล จึงไม่สุกงอม แต่กลับกลายเป็นเหมือนกลุ่มฟื้นฟู ที่หลุดออกไปจากความรอบรู้ในการฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า
ขอให้เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องทุกคนให้ถ่อมถึงดิน และเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อเราจะมีมงกุฎแห่งสง่าราศีในอาณาจักรแห่งสวรรค์
...
ขอบคุณพี่น้อง… ที่เอ่ยถึงคำว่า “กรีก” และ “ภาษาไทย” ว่าไม่ตรงกัน
และสิ่งที่พวกเราตามหามากที่สุด ก็คือ “รอบรู้ในการฝ่ายวิญญาณ”
โคโลสี 1:9 เพราะเหตุนี้พวกเราเหมือนกัน นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน ก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานขอเพื่อท่าน และปรารถนาให้ท่านเต็มไปด้วยความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ในสรรพปัญญา และในความเข้าใจ “การฝ่ายวิญญาณ”
...
1. เราไม่มีตัวตนจริงหรือ แต่พระคริสต์เป็นตัวใหม่ของเราเท่านั้นหรือ
ตอบ:
ไม่จริง เราก็มีชีวิต มีตัวตน คือวิญญาณใหม่ จิตใหม่ และร่างกายใหม่ ซึ่งพระคริสต์เป็นผู้ครอบครอง (ใน กท. 2:20 มีสี่คน สองคนเก่าตายที่กางเขน และสองคนใหม่เป็นอยู่ที่นี่)
...
2. เมื่อทำบาป ตัวบาปทำในเรา เราไม่ได้ทำ เพราะว่าเราใหม่แล้วจริงหรือ
ตอบ:
ไม่จริง เพราะว่าในพระคริสต์ไม่มีการทำบาป ในพระคริสต์ไม่มีช่องว่าง ไม่มีห้อง ไม่มีที่อยู่ให้คำว่า “ทำบาป” คือทำบาปไม่ได้ เหมือนเรือที่ไม่อาจจะจมน้ำได้ เพราะว่ามันไม่รั่ว เมื่อตัวบาปทำบาปในเรา
ก็คือเราเนื้อหนังในอาดัม ไม่ใช่ในพระคริสต์
...
3. ทำไมเราเชื่อเอาทุกวันว่าใหม่ แต่เรายังไม่เห็นชีวิตพระคริสต์ทำแทน
ตอบ:
ก็เพราะว่าเรายังเชื่อเอาด้วยการเชื่อเอาของเราเอง พระคริสต์ยังไม่มาเชื่อเอาแทนเรา เราจะเชื่อเอาร้อยครั้งพันครั้งต่อวัน ก็ไม่อาจนำประสบการณ์พระคริสต์ทำแทนเข้ามาได้
...
4. การเชื่อเอาสิ่งเดียว ซึ่งปราศจากการระลึก (นับ) สนิท สะสมมานา และถ่อมถึงดินต่อผู้ที่มีของประทานเปิดเผยการฝ่ายวิญญาณ ก็จะสำเร็จไม่ได้ เราต้องรับการเปิดตาจริงๆ การฝึกของเราจึงจะเบา และนำไปสู่ความสำเร็จได้
...
5. ทำไมเราต้องนับว่าตาย แทนที่จะเชื่อเอา
ตอบ:
คือพระเยซู และเปาโลสั่ง (ลก. 9:23; โรม 6:11) ว่าต้องนับ
...
6. ทำไมเราต้องสารภาพ เพราะเราเชื่อเอาว่าเราใหม่แล้ว ไม่ใช่ตัวเก่า เราไม่ทำบาปแล้ว เราอย่าจดจ่อปักใจที่เนื้อหนัง
ตอบ:
เวลาที่คนคนนี้ทำบาป คนนี้ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์จริงๆ เพราะว่าชีวิตผู้ชนะในพระคริสต์ทำบาปไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนนี้ทำบาปจึงเป็นเนื้อหนัง จนกว่าการฝึกเดินจะเติบโต การที่เราพูดว่า ตัวเก่าของเราทำบาป หรือหลุดไปเป็นเนื้อหนัง ไม่ใช่ว่าเราปักใจที่เนื้อหนัง การปักใจจดจ่อไปที่เนื้อหนัง
คือการรักชอบในสิ่งของฝ่ายโลกนี้ต่างหาก
...
7. เราไม่ควรใส่ใจจดจ่อที่การสารภาพ เพราะจะทำให้เราฟ้องผิด เรามัวแต่สารภาพ และไปทำบาป และกลับมาสารภาพอีก วนอยู่อย่างนี้ เราก็จะไม่ไปถึงไหน…
ตอบ:
ไปถึงครับ เราจะไปถึงการชำระด้วยพระวิญญาณ เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้เราวนอยู่อย่างนั้น เรายิ่งสารภาพ เราก็รับการทำงานของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าไม่อยากให้การสารภาพเป็นภาระหนัก เราก็สารภาพทีเดียว พูดคำเดียวว่า “ทุกสิ่งที่ข้าทำผิดในวันนี้ ข้าขอโทษ” เราจะไม่มานั่งนับ และสารภาพทีละอย่างเหมือนคริสเตียนศาสนาเขาทำกัน