12:1 ในคราวนั้นพระเยซูเสด็จไปในนาในวันสะบาโต และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเริ่มเด็ดรวงข้าวมากิน
12:2 แต่เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า เขาจึงทูลพระองค์ว่า "ดูเถิด สาวกของท่านทำการซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไว้ในวันสะบาโต"
12:3 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่าน และพรรคพวกหิว
12:4 ท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า รับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ ซึ่งพระราชบัญญัติห้ามไว้ไม่ให้ท่านและพรรคพวกรับประทาน ควรแต่ปุโรหิตพวกเดียว
12:5 ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านในพระราชบัญญัติหรือ ที่ว่า ในวันสะบาโตพวกปุโรหิตในพระวิหารย่อมดูหมิ่นวันสะบาโตแต่ไม่มีความผิด
12:6 แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีผู้หนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก
12:7 ถ้าท่านทั้งหลายได้เข้าใจความหมายของข้อที่ว่า `เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' ท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด
** "ประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา" คือพระเจ้าต้องการให้เราประดับจิตใจเราด้วยรักอากะเป อดทนนาน ต่ำถ่อมและยอมเสียเปรียบ ไม่ใช่เครื่องบูชามากมายที่ยิวนำมาถวาย (แต่เขาไม่มีรักเมตตาต่อเพื่อนบ้าน) หรือ ตึก อาคาร สถานที่นมัสการที่สวยหรู ใหญ่โต
12:8 เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันสะบาโต"
** "เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือแม้แต่วันสะบาโต" คือการเปลี่ยนความสำคัญของวันมาที่บุคคลคือพระคริสต์
** ผู้เชื่อไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพระวิหารและวันนี้วันโน้นอีกต่อไป แต่เน้นการใส่ใจที่ พระคริสต์ เพราะว่ายุคนี้และทุกยุค พระเยซูคือคำตอบของทุกสิ่ง และทางออก ที่เราต้องการ
บทความเพิ่มเติม : "เราประสงค์ความเมตตา เราไม่ประสงค์เครื่องบูชา เพราะทุกวันนี้หายากมาก..."
12:9 แล้วเมื่อพระองค์ได้เสด็จไปจากที่นั่น พระองค์ก็เข้าไปในธรรมศาลาของเขา
12:10 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า "การรักษาโรคในวันสะบาโตนั้นพระราชบัญญัติห้ามไว้หรือไม่" เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้
12:11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ถ้าผู้ใดในพวกท่านมีแกะตัวเดียวและแกะตัวนั้นตกบ่อในวันสะบาโต ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ
12:12 มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากเท่าใด เหตุฉะนั้นจึงถูกต้องตามพระราชบัญญัติให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”
** "ยุคพระคุณ" พระเจ้าสำแดงพระเมตตาคุณต่อเรามากกว่าที่จะคำนึงถึงกฏเกณฑ์
12:13 แล้วพระองค์ตรัสกับคนมือลีบนั้นว่า "จงเหยียดมือออกเถิด" เขาก็เหยียดออก และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง
12:14 ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันถึงพระองค์ว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้
12:15 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบ พระองค์จึงได้เสด็จออกไปจากที่นั่น และคนเป็นอันมากก็ตามพระองค์ไป พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หายโรคสิ้นทุกคน
12:16 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเขามิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด
12:17 ทั้งนี้เพื่อคำที่ได้กล่าวไว้แล้วโดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จ ซึ่งว่า
12:18 `ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ ที่รักของเรา ผู้ซึ่งจิตใจเราโปรดปราน เราจะเอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้ ท่านจะประกาศการพิพากษาแก่พวกต่างชาติ
12:19 ท่านจะไม่ทะเลาะวิวาท และไม่ร้องเสียงดัง ไม่มีใครได้ยินเสียงของท่านตามถนน
12:20 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก ไส้ตะเกียงเป็นควันแล้วท่านจะไม่ดับ กว่าท่านจะทำให้การพิพากษามีชัยชนะ
12:21 และพวกต่างชาติจะวางใจในนามของท่าน'
** "ไม้อ้อ" ชาวยิวสมัยนั้นเอามาใช้ทำขลุ่ย ถ้ามันช้ำก็มีแต่จะเอาไปทิ้งไม่มีประโยชน์อะไร...
** "ขลุ่ยไว้เพื่อเป่า" คือเรามีลิ้นใหม่เพื่อสรรเสริญพระเจ้า และเพื่อประกาศ ทั้งพูดกับทุกคนเพื่อเสริมสร้างเขา
** "ลิ้นเรา" คำพูดเราเสื่อมตกต่ำ พระเจ้าไม่รับ พระเยซูก็จะไม่ทำลาย แต่ประทานลิ้นใหม่ให้เรา
** "ไม้อ้อช้ำแล้ว" คือมนุษย์ ที่ตกต่ำแล้ว จะทำอะไรเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าก็ไม่ได้ แต่พระเยซูจะไม่ทิ้งเราทรงทำให้เราเป็นไม้อ้อใหม่หมด ดีหมด ไม่ช้ำ เพื่อนำเรามาทำขลุ่ยเพื่อเกิดผลแด่พระเจ้า
** "ตะเกียง ใส้ตะเกียง" ดับไม่ดับ เป็นเรื่องของการส่องสว่าง คือสำแดงชีวิตอันชอบธรรมต่อมนุษย์ (มธ 5:13-14 / กท 5:22-23)
สรุป...
ไม้อ้อ ก็คือ การใช้ลิ้นเก่าคำพูดแบบเก่าของมนุษย์เนื้อหนังอาดัมนี้ ใช้ไม่ได้ พระเจ้าจึงสร้างเราให้เป็นไม้อ้อใหม่ ก็คือ การใช้ลิ้นการใช้คำพูดในพระคริสต์ที่พูดโดยพระวิญญาณโดยพระคริสต์พูดแทน เพื่อสรรเสริญพระเจ้ายกย่องพระเจ้า นมัสการพระเจ้าและเพื่อเสริมสร้างกันและกัน
ส่วนไส้ตะเกียง เป็นเรื่องของความสว่าง คือชีวิตของเราความดีของเรามันเป็นความดีที่ตายแล้ว คือมันจวนจะดับแล้ว มันใช้ไม่ได้ ถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าต้องการแสงสว่างที่ส่องจ้า ก็คือ ความสว่าง ความดี ความชอบธรรม ของพระคริสต์ที่ทำผ่านเรา
12:22 ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งมีผีเข้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์ทรงรักษาให้หาย คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดจึงเห็นได้
12:23 และคนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจถามกันว่า "คนนี้เป็นบุตรของดาวิดมิใช่หรือ"
12:24 แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า “ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้น”
** นี่คือการหมิ่นประมาทพระเยซู เพราะอ้างว่าพระองค์ใช้อำนาจผีมาปราบผี
- "เบเอลเซบูล" คือชื่อของพระในพระคัมภีร์เดิม
- การที่ฟาริสีใช้คำว่า นายผีไล่ผีออก คือการดูหมิ่นและปฏิเสธพระเยซูอย่างใหญ่หลวง
- เบเอลเซบูล มาจาก (2 พกษ 1:2)
12:25 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสกับเขาว่า “ราชอาณาจักรใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันเองก็จะรกร้างไป เมืองใด ๆ หรือครัวเรือนใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันเองจะตั้งอยู่ไม่ได้
12:26 และถ้าซาตานขับซาตานออก มันก็แตกแยกกันในตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้
** อาณาจักรของซาตานอยู่บนฟ้าอากาศ (อฟ 2:2)
** มารซาตานครอบครองโลกนี้ (ยอห์น)
12:27 และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน
12:28 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว
12:29 หรือใครจะเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมาก และปล้นเอาทรัพย์ของเขาอย่างไรได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้
12:30 ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้กับเราก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป
** "เรือน" คือโลกนี้ที่มารครอบครอง
** "ปล้น" คืองานของเรา มาปล้นเอาคนบาปที่เป็นของมาร
** "จับคนที่มีกำลังมาก" คือพระวิญญาณจะครอบคลุมไม่ให้มารทำอะไรได้ เพื่อคนที่ได้ฟังข่าวประเสริฐจะมีโอกาสตัดสินใจว่าจะรับเชื่อหรือไม่
** "โลกนี้" คืออาณาจักรที่มันยึดจากอาดัม ทำให้เป็นอาณาจักรแห่งความมืด และมันมีอำนาจเหนืออาณาจักรนี้ (คส 1:13)
12:31 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้
12:32 ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ทั้งยุคนี้ และยุคหน้า
** เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ นี่คือบาปของคนที่ไม่เชื่อ และไม่ยอมรับว่าเป็นการทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณ ถึงแม้ว่าพระเจ้าต้องการยกโทษก็ยกให้ไม่ได้เพราะเขาอยู่นอกเหนือการยกโทษของพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าจะไม่ยกโทษ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่ให้โอกาสพระเจ้ายกโทษ
12:33 จงกระทำให้ต้นไม้ดีแล้วผลของต้นไม้นั้นดี หรือกระทำให้ต้นไม้เลวแล้วผลของต้นไม้นั้นเลว เพราะเราจะรู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน
** พระเยซูเน้นถึง "ผลดี" คือ "ผลพระวิญญาณ" ไม่ใช่ผลดีของอาดัม
** "รู้จักต้นไม้ด้วยผลของมัน" คือรักที่อดทนได้นานๆๆๆ ยกโทษไม่มีกำหนด ๆลๆ
12:34 โอ ชาติงูร้าย เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร ด้วยว่าปากนั้นพูดจากสิ่งที่มาจากใจ
12:35 คนดีก็เอาของดีมาจากคลังดีแห่งใจนั้น คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังชั่ว
12:36 ฝ่ายเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำซึ่งมนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องให้การสำหรับถ้อยคำเหล่านั้นในวันพิพากษา
12:37 เหตุว่าที่เจ้าจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ก็เพราะวาจาของเจ้า"
** ในที่นี้ เน้นถึงตัดสินแบบตัดสินพระเยซู
** เมื่อเราพูดถึงความผิดของพี่น้องบางท่านบางกลุ่ม เรารัก เป็นห่วงเขา และพูดในแง่ศึกษา ไม่ใช่โจมตี ไม่ผิด (ในใจเราจะฟ้อง ว่าตอนนั้นรักไหมหวังดีกับเขาอยู่ไหมขณะที่พูดอยู่)
12:38 คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมาทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน"
12:39 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า “คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์
** การสิ้นพระชนม์สามวันและเป็นขึ้น คือหมายสำคัญที่พระเจ้าจะเปิดเผยให้พวกเขาที่จิตใจแข็งกระด้างได้เห็น
12:40 ด้วยว่า `โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลาวาฬสามวันสามคืน' ฉันใด บุตรมนุษย์จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น
12:41 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดูเถิดผู้เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ที่นี่
** ผู้เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ที่นี่ ท่านโยนาห์...
1. พระเจ้าส่งมาเตือนประกาศกับชาวเมืองนีนะเวห์ แต่พระเยซูถูกส่งมาเตือนและประกาศกับยิวและชาวต่างชาติทั่วโลก
2. โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวัน แต่พระเยซูอยู่ในท้องแผ่นดินโลกสามวัน
3. การออกจากท้องปลา ช่วยได้แต่เฉพาะชาวเมืองนีนะเวห์เท่านั้น แต่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูช่วยคนมากมายให้ได้รอด และเป็นผู้ชนะได้
12:42 นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ผู้เป็นใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่
12:43 เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดาร เพื่อแสวงหาที่หยุดพักแต่ไม่พบเลย
12:44 แล้วมันก็กล่าวว่า `ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ข้าได้ออกมานั้น' และเมื่อมันมาถึงก็เห็นเรือนนั้นว่าง กวาดและตกแต่งไว้แล้ว
12:45 มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็ตกที่นั่งร้ายกว่าตอนแรก คนชาติชั่วนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น"
** มันจึงไปรับเอาผีมาอีกเยอะเพราะกลัวว่าคนนั้นจะรับเชื่อ และมันจะไม่มีที่อยู่หรือถูกไล่หนี คราวนี้ คนที่ไม่เชื่อคนนั้นจะมีโอกาสรอดน้อยมาก คือ
1. "เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว" "ผี" ในที่นี้ คือผีมารที่เป็นเจ้าของชีวิตของคนที่ไม่เชื่อที่อยู่กับเขาตั้งแต่กำเนิด
2. "ออกจาก" คือถูกไล่ออกจากเขา ตอนที่พระวิญญาณนำคนมาประกาศกับเขา เพื่อให้เขาได้ยินข่าวประเสริฐ
3. เพื่อแสวงหาที่หยุดพักแต่ไม่พบเลย ทุกที่ทุกแห่งหน มีผีมารจองกันหมดแล้ว มันจึงไม่มีที่อยู่ (ทุกคนที่ไม่เชื่อก็มีผีมารจองแล้ว)
4. ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ข้าได้ออกมานั้น' และเมื่อมันมาถึงก็เห็นเรือนนั้นว่าง กวาดและตกแต่งไว้แล้ว คือ "คนนี้ไม่รับข่าวประเสริฐ"
- "สะอาด" คือพระวิญญาณขับไล่มารนั้นออกไปจนรับฟังได้แต่เขาไม่รับ ไม่เชื่อ และตอนนั้นยังไม่มีผีมารตัวไหนเข้ามาอยู่จึงยังสะอาดอยู่
- เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ คริสเตียน เพราะว่าเมื่อเราเชื่อ พระวิญญาณจะเข้ามาจองวิญญาณ และชีวิตเรา ผีมารที่หนีไปและกลับมาดู มันก็เข้ามาไม่ได้อีกแล้ว
- เรื่องนี้เน้นที่ฟาริสีก่อนเพื่อน เพราะว่าตอนนั้นพระเยซูพูดกับเขาที่ดูหมิ่นพระวิญญาณอยู่ พระวิญญาณหมดโอกาสทำงานในเขาแล้ว
5. มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็ตกที่นั่งร้ายกว่าตอนแรก คนชาติชั่วนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น” มันจึงไปรับเอาผีมาอีกเยอะ เพราะกลัวว่าคนนั้นจะรับเชื่อ และมันจะไม่มีที่อยู่หรือถูกไล่ให้หนี แล้วคราวนี้คนที่ไม่เชื่อคนนั้นจะมีโอกาสรอดน้อยมาก
12:46 ขณะที่พระองค์ยังตรัสกับประชาชนอยู่นั้น ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์พากันมายืนอยู่ภายนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์
12:47 แล้วมีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า "ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ยืนอยู่ข้างนอกประสงค์จะสนทนากับพระองค์"
12:48 แต่พระองค์ตรัสตอบผู้ที่ทูลพระองค์นั้นว่า “ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา”
12:49 พระองค์ทรงชี้ไปทางพวกสาวกของพระองค์ และตรัสว่า "ดูเถิด นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา
12:50 ด้วยว่าผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา"
** เมื่อเราเกิดมาในโลกนี้มีพ่อแม่พี่น้องเป็นมนุษย์ฝ่ายเนื้อหนัง แน่นอนที่สุดเราย่อมมีความผูกพันที่ลึกซึ้ง แต่เมื่อเราพบกันอีกครั้งในราชอาณาจักร
ทั้งในสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เราจะไม่มีความผูกพันแบบเดิมอีกแล้ว เราอาจจำกันได้นิดเดียว และความรู้สึกที่เป็นพี่เป็นน้องฝ่ายวิญญาณจะมีมากกว่า เพราะฝ่ายวิญญาณคือชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์
** "ใครเป็นมารดาของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา" เรื่องนี้ใครๆ ก็รับไม่ได้ หรือรับได้ยากมาก
** เมื่อเราอยู่ใราชอาณาจักรและสวรรค์ใหม่ เราจะไม่มีความสัมพันธ์แบบในโลกนี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะพ่อ แม่ ลูก ที่รักกันมากมายแค่ไหนก็ตาม