13:1 บัดนี้มีบางคนในคริสตจักรที่อยู่ที่เมืองอันทิโอก ที่เป็นพวกผู้พยากรณ์และพวกอาจารย์ เช่นบารนาบัส และสิเมโอนที่เรียกว่านิเกร์ และลูสิอัสชาวเมืองไซรีน และมานาเอน ผู้ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดผู้ว่าราชการ และเซาโล
** เมืองอันทิโอกอยู่ทางภาคเหนือ ห่างจากเยรูซาเล็มประมาณ 200 ไมล์ ข่าวประเสริฐมาถึงชาวเมืองนี้ในบทที่ 11)
** พวกผู้พยากรณ์ prophets คือผู้ที่มีของประทานในการเปิดเผยความจริงที่มาจากพระเจ้า
** พวกอาจารย์ ในที่นี้ก็คือ teachers / masters ซึ่งก็คือครูสอนที่มีของประทานในการสั่งสอนความจริงที่มาจากพระเจ้า พวกเขาควรได้รับความเคารพรัก แต่ไม่ใช่ต้องกราบไหว้ยกย่องอย่างมากมายเหมือนดั่งทุกวันนี้
13:2 ขณะที่คนเหล่านั้นกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า และอดอาหารอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสว่า “จงแยกตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้ให้เราสำหรับงานซึ่งเราได้เรียกพวกเขาให้กระทำนั้น”
** การตัดสินใจในบางครั้งและบางเรื่องจำต้องมีการอดอาหารเพื่อขอการนำพาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากว่า ในยุคคริสตจักร พระเจ้าพระภาคที่สามคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์มาเพื่อเป็นผู้นำพา สั่งสอน ชี้ทาง ตักเตือน ปลอบประโลม ขณะที่พระคริสต์ในเราเป็นคนตัดสินใจแทนเราในเรื่องการที่จะไปมาหรือทำอะไรในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นเรื่องการกระทำดี การกระทำทุกสิ่งทั้งการรับใช้ประกาศก็ต้องขึ้นอยู่กับการทรงนำของพระคริสต์ในเราและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนี่คือน้ำพระทัยของพระบิดา คริสตจักรไม่ได้วางกฏเกณฑ์ข้อบังคับตายตัวที่จะต้องทำตาม ช่วยเหลือ ให้ ประกาศ รับใช้ ฯลฯ
13:3 และเมื่อเขาทั้งหลายได้อดอาหารและอธิษฐาน และวางมือของพวกเขาไว้บนบารนาบัสกับเซาโลแล้ว พวกเขาก็ส่งท่านทั้งสองไป
13:4 ดังนั้นท่านทั้งสอง ซึ่งถูกส่งไปโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ออกเดินทางไปยังเมืองเซลูเคีย และจากที่นั่นท่านทั้งสองได้แล่นเรือไปยังเกาะไซปรัส
13:5 และเมื่อท่านทั้งสองอยู่ที่เมืองซาลามิสแล้ว ท่านทั้งสองได้ประกาศพระวจนะของพระเจ้าในธรรมศาลาทั้งหลายของพวกยิว และท่านทั้งสองมียอห์นเป็นผู้ช่วยเหลือของท่านทั้งสองด้วย
** พระเจ้าทรงเลือกเปาโลให้เป็นอัครสาวกหรืออัครทูต ที่ต้องออกเดินทางเพื่อไปประกาศและเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์เพื่อช่วยคนต่างชาติมากมายให้ได้รับความรอด เราพบว่าชาวยิวไม่ว่าจะไปอาศัยอยู่ที่ไหนพวกเขาก็สร้างธรรมศาลาเพื่อนมัสการพระเจ้าที่นั่น และมีหลายคนที่กลับใจเมื่อได้ยินข่าวประเสริฐจากเปาโล
คริสตจักรที่เมืองอันทิโอก อยู่ทางตอนเหนือของกรุงเยรูซาเล็ม 200 ไมล์ (กจ 13:1)
13:6 และเมื่อพวกท่านได้ผ่านตลอดเกาะนั้นไปถึงเมืองปาโฟสแล้ว พวกท่านได้พบคนหนึ่งเป็นคนทำเวทมนตร์ เป็นผู้ทำนายเท็จ เป็นคนยิว ซึ่งชื่อของเขาคือ บารเยซู
** บารเยซู กรีกแปลว่า บุตรของเยซู เป็นชื่อของเอลีมาสคนทำเวทมนตร์
13:7 ผู้ซึ่งอยู่กับผู้ว่าราชการเมืองชื่อ เสอร์จีอัสเปาโล เป็นคนรอบคอบ ผู้ซึ่งได้เชิญบารนาบัสกับเซาโลมา และปรารถนาที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้า
13:8 แต่เอลีมาสคนทำเวทมนตร์ (เพราะชื่อของเขาได้แปลอย่างนั้น) ได้ต้านทานท่านทั้งสอง โดยพยายามที่จะหันผู้ว่าราชการเมืองไปเสียจากความเชื่อนั้น
13:9 แล้วเซาโล (ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า เปาโล เช่นกัน) ที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพ่งตาของท่านดูเอลีมาส
13:10 และกล่าวว่า “โอ คนเต็มไปด้วยบรรดาอุบายและการประทุษร้ายทุกอย่าง เจ้า ลูกของพญามาร เจ้าเป็นศัตรูต่อบรรดาความชอบธรรม เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำบรรดาทางอันถูกต้องขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เขวไปหรือ
13:11 และบัดนี้ ดูเถิด พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็อยู่บนเจ้า และเจ้าจะเป็นคนตาบอด โดยไม่เห็นดวงอาทิตย์ชั่วขณะหนึ่ง” และทันใดนั้นหมอกและความมืดได้ตกอยู่บนเขา และเขาคลำหาบางคนที่จะจูงมือของเขาไป
** เซาโล (เปาโล) ได้รับถ้อยคำของพระเจ้าเรื่องเอลีมาส ท่านจึงกล้าที่จะพูดและเตือนเอลีมาสว่าถ้าหากไม่เชื่อฟังถ้อยคำเขาก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก สุดท้ายเขาก็กลับใจและได้รับความรอด
13:12 แล้วผู้ว่าราชการเมือง เมื่อท่านได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็เชื่อ โดยรู้สึกประหลาดใจกับหลักคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
13:13 บัดนี้เมื่อเปาโลกับพวกของท่านก็แล่นเรือออกจากเมืองปาโฟส พวกท่านมายังเมืองเปอร์กาในแคว้นปัมฟีเลีย และยอห์นซึ่งจากพวกท่านไปก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
** ผู้ว่าราชการเมือง และคนมากมายได้รับความรอดเนื่องจากว่าพวกเขาเชื่อฟังข่าวประเสริฐ ที่เป็นมาโดยพระวิญญาณ
** ชีวิตเปาโลเป็นแบบอย่างสำหรับการดำเนินชีวิต รับใช้ รวมถึงการประกาศเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะต้องพึ่งพาพระวิญญาณของพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจได้ ยุคพระคุณ เรามีพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตแทนเรา และพระวิญญาณเป็นผู้นำพาเรา เราเป็นอวัยวะเพื่อให้พระองค์ใช้เพื่อให้เกิดผล
คริสเตียนตามน้ำพระทัย จึงควรที่จะเรียนรู้และเข้าใจการคิดตัดสินใจแทนและการนำพาของพระวิญญาณ เราไม่อาจพูดว่าทำไมพระเจ้าลำเอียงช่วยบางคนและไม่ช่วยบางคน พระกายทุกส่วนควรให้ความรักและเคารพต่อการนำพาของพระวิญญาณ อย่าน้อยใจ อย่าคิดไปในทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่ขอบพระคุณพระเจ้าเพราะว่าบางครั้งคำตอบที่มาช้าอาจเป็นสิ่งดีกว่าที่เราไม่คาดคิดก็ได้
** เมื่อผู้ปกครอง ผู้ดูแลคริสตจักรได้ทำหน้าที่ตนให้ดีที่สุดแล้ว คือสนิทในพระคริสต์และสนิทในพี่น้อง รักทุกคน ถ่อมตน ไม่พยายามเป็นใหญ่และทำร้ายทำลายใคร การนำพาของพระวิญญาณก็จะเกิดขึ้นไม่มากก็น้อยในแต่ละวันจนเราโตสู่ระดับหนุ่มหรือพ่อเราจึงจะเห็นการนำพาของพระวิญญาณได้มากและชัดเจนยิ่งขึ้นในแต่ละวัน
1. เปาโลถูกเลือกให้เป็นอัครทูต เพื่อเดินทางไปประกาศและเป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์กับชาวต่างชาติทั่วทุกแห่งหน และเปาโลเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการดำเนินชีวิตและรับใช้โดยให้พระวิญญาณเป็นคนตัดสินใจและนำพาท่าน
2. คริสตจักรคือพระกายที่พระเยซูเป็นคนก่อตั้ง คริสตจักรเป็นพระกาย ไม่ใช่ศีรษะ การคิด ตัดสินใจ ไม่ว่าจะเรื่องใด ก็ต้องอยู่ที่พระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งนั้น เราจึงพบว่าพระเจ้าสั่งให้เราสนิทในพระคริสต์และเดินในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะเห็นการนำพาของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนในแต่ละวัน เรื่องการใช้เงินเพื่อการประกาศรับใช้และเลี้ยงดูผู้นำครูอาจารย์ เรื่องการช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสน ล้วนมาจากการนำพาของพระวิญญาณทั้งหมดเพื่อทุกสิ่งที่เรากระทำจะถูกนับว่าเป็นทองคำเงินและเพชรพลอย จึงขอย้ำว่าหน้าที่ของเราคือสนิทและเดินในพระวิญญาณส่วนหน้าที่ที่จะกระทำทุกสิ่งก็คือพระเจ้าเป็นคนกระทำในเราผ่านเรา เราไม่ทะเลาะ ไม่ถกเถียง ไม่น้อยใจ ไม่โกรธโมโห ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลหรือช่วยเหลือหรือการช่วยเหลือมาช้า พระเจ้าย่อมมีเหตุผลและการงานของพระเจ้าอาจนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่เราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์สัตย์ซื่อและไม่ทิ้งเราเป็นอันขาด ขอให้เราทำดีที่สุดเรื่องการเดินในพระวิญญาณและการสนิท และพระองค์จะทำหน้าที่ของพระองค์ตามเวลากำหนด
13:14 แต่เมื่อพวกท่านไปจากเมืองเปอร์กา พวกท่านก็มายังเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย และได้เข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโต และนั่งลง
13:15 และหลังจากการอ่านพระราชบัญญัติกับพวกศาสดาพยากรณ์แล้ว บรรดานายธรรมศาลาจึงส่งคนไปยังเปาโลกับบารนาบัส โดยกล่าวว่า “พวกท่านและพี่น้องทั้งหลาย ถ้าพวกท่านมีคำแห่งการเตือนสติใด ๆ สำหรับประชาชน ก็เชิญกล่าวเถิด”
13:16 แล้วเปาโลได้ยืนขึ้น และโดยส่งสัญญาณด้วยมือของท่านจึงกล่าวว่า “คนอิสราเอลทั้งหลาย และพวกท่านที่เกรงกลัวพระเจ้า จงฟังเถิด
13:17 พระเจ้าของคนอิสราเอลนี้ได้ทรงเลือกบรรพบุรุษของพวกเราไว้ และได้ทรงยกย่องประชาชนเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าในแผ่นดินอียิปต์ และด้วยพระกรอันทรงฤทธิ์ได้ทรงพาพวกเขาออกจากประเทศนั้น
13:18 และประมาณเวลาสี่สิบปี พระองค์ได้ทรงอดทนต่อลักษณะการประพฤติของพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร
13:19 และเมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายชนเจ็ดชาติออกเสียในแผ่นดินคานาอันแล้ว พระองค์ก็ทรงแบ่งแผ่นดินของชนชาติเหล่านั้นให้พวกเขาโดยการจับสลาก
13:20 และหลังจากนั้นพระองค์ได้ประทานพวกผู้วินิจฉัยแก่พวกเขา เป็นเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี จนถึงซามูเอลศาสดาพยากรณ์
13:21 และภายหลังเขาทั้งหลายได้ขอให้มีกษัตริย์ และพระเจ้าจึงได้ประทานซาอูลบุตรชายของคีชจากเผ่าเบนยามินแก่พวกเขา เป็นระยะเวลาสี่สิบปี
** ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของชนชาติอิสราเอลและพระองค์ครองราชย์เป็นเวลาสี่สิบปี อันที่จริงพระเจ้าจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา แต่พวกเขาต้องการมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์มาเป็นตัวแทนพระเจ้า เพื่อที่จะง่ายต่อการสื่อสาร พระเจ้าจึงเลือกซาอูล
13:22 และเมื่อพระองค์ได้ทรงถอดซาอูลแล้ว พระองค์ได้ทรงตั้งดาวิดขึ้นให้พวกเขา เพื่อเป็นกษัตริย์ของพวกเขา ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นพยานด้วย และตรัสว่า ‘เราได้พบดาวิดบุตรชายของเจสซี เป็นคนตามชอบใจของเรา ผู้ซึ่งจะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ’
13:23 จากเชื้อสายของดาวิดผู้นี้ พระเจ้า ตามพระสัญญาของพระองค์ ได้โปรดให้ผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูเกิดขึ้นแก่คนอิสราเอล
** กษัตริย์องค์ต่อมาก็คือดาวิด เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ถ่อมใจ พระองค์ไม่ใช่บุตรชายของซาอูล พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้พระคริสต์บังเกิดจากเชื้อสายของพระองค์ พระองค์จึงถูกเรียกว่า บุตรดาวิด (มธ 1:1 และ 21:9)
13:24 เมื่อยอห์นได้ประกาศครั้งแรก ก่อนการเสด็จมาของพระองค์ เรื่องบัพติศมาแห่งการกลับใจใหม่ให้แก่บรรดาคนอิสราเอล
** คำว่า กลับใจ หรือกลับใจจากบาป ที่ท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้กล่าวต่อชนชาติอิสราเอล ไม่ใช่เลิกทำบาปหรือละเมิดกฎพระบัญญัติ แต่คือการกลับใจจากสิ่งเดิมสู่สิ่งใหม่อย่างเช่นพระบัญญัติเดิมสู่พระบัญญัติใหม่ หลักการแห่งความรอดเดิมสู่ใหม่ คริสตจักรมากมายทุกยุคทุกสมัยต่างก็เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่เปิดตาให้เราได้รู้ว่า หลักการแห่งความรอดในยุคนี้คืออะไร รอดโดยพระคุณทางความเชื่อคืออะไร การต้องรักษาพระบัญญัติเดิมจะได้ผลเสียหายมากมายแค่ไหน อาณาจักรของพระเจ้าและการได้เข้าไปในอาณาจักรคืออะไร การดำเนินชีวิตคริสเตียนตามน้ำพระทัยคืออย่างไร
เมื่ออิสราเอลอพยพจากอียิปสู่ดินแดนคานาอัน พวกเขามีผู้เผยพระวจนะเป็นตัวแทนของพระเจ้า เพื่ออยู่ท่ามกลางพวกเขาและพระเจ้าเองที่เป็นกษัตริย์ของพวกเขาขณะที่ทุกชาติที่อยู่รอบข้างต่างก็มีกษัตริย์ อิสราเอลจึงขอให้มีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ พระเจ้าจึงยอมให้ซาอูลเป็น จากนั้นก็ดาวิดซึ่งตอนแรกก็ถ่อมใจ จากนั้นก็ซาโลมอนผู้ทำให้อิสราเอลเต็มด้วยศาสนาและพระอื่นมากมายผ่านภรรยาทั้งหลาย ฯลฯ กษัตริย์ทุกองค์ต่างก็ทำลายเกียรติ์พระเจ้าและสร้างความเสียหายมากมาย จนพระเจ้าต้องเสด็จลงมาเองเพื่อเป็นกษัตริย์ในสภาพของมนุษย์และจะก่อตั้งอาณาจักรสวรรค์ในอีกไม่ช้านี้ อย่ายกมนุษย์ขึ้นและอย่าไว้ใจในมนุษย์ แต่จงไว้วางใจในพระเยซูเท่านั้น ถ้าหากมีผู้ชนะเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเราก็จงขอบพระคุณและยกย่องพระบิดาของเรา
พระเยซูเลือกที่จะมาบังเกิดทางเชื้อสายของดาวิด พระองค์จึงถูกเรียกว่า บุตรดาวิด
การกลับใจเสียใหม่ที่ผู้เชื่อมากมายไม่รู้ก็คือ ไม่ใช่กลับใจจากบาปเหมือนที่เราคิด แต่คือการกลับใจจากระบบเดิม พระบัญญัติเดิม พันธสัญญาเดิม หลักการแห่งความรอดเดิม การถวายเครื่องบูชาแบบเดิม เข้าสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่พระเยซูสั่งสอนและสาวกที่เขียนโดยพระวิญญาณ ถ้าไม่กลับใจก็คือเราอยู่ในความบาปวันยังค่ำ
>> เรื่องหลักที่เราต้องกลับใจก็คือ
1) ไม่อยู่ใต้พระสัญญาเดิม แต่ใหม่
2) ไม่รักษาพระบัญญัติเดิม แต่ใหม่
3) ไม่พยายามเลิกทำบาปเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมแต่ชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
4) ไม่ถวายเครื่องบูชาแบบยิว แต่ถวายแบบใหม่
5) ไม่ดำเนินชีวิต รับใช้ และนมัสการพระเจ้าด้วยชีวิตเก่าแต่ด้วยคนใหม่ คนเก่าเราไม่มีแล้ว มันจบแล้วที่กางเขนของพระเยซู
13:25 และขณะที่ยอห์นกำลังทำหน้าที่ของตนให้สำเร็จ ท่านกล่าวว่า ‘ท่านทั้งหลายคิดว่า ข้าพเจ้าคือผู้ใด ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระองค์นั้น แต่ดูเถิด มีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมาภายหลังข้าพเจ้า ผู้ซึ่งสายรัดรองเท้าของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้’
** ยอห์นพูดเองว่าท่านไม่ใช่ ผู้ที่จะมานั้น หรือพระคริสต์ ยอห์นไม่เคยอวดตัวพูดหรือทำเกินหน้าที่ของท่าน และเมื่อพระเยซูเสด็จมาท่านก็ต้องต่ำลงและกิจการงานที่ท่านทำก็จบ
13:26 พวกท่านและพี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานแห่งเชื้อสายของอับราฮัม และผู้ใดก็ตามในท่ามกลางพวกท่านซึ่งเกรงกลัวพระเจ้า ถ้อยคำแห่งความรอดนี้ได้ถูกส่งมาถึงพวกท่านแล้ว
** พระสัญญาของพระเจ้าจะมาถึงยิวคือลูกหลานของอับราฮัมผู้ที่แสวงหาและยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น
13:27 ด้วยว่าคนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มกับพวกขุนนางของพวกเขา เพราะเหตุว่าพวกเขาไม่ได้รู้จักพระองค์ และยังไม่รู้จักบรรดาเสียงของพวกศาสดาพยากรณ์ ซึ่งถูกอ่านทุกวันสะบาโต พวกเขาจึงทำให้คำของพวกศาสดาพยากรณ์สำเร็จแล้วโดยการกล่าวโทษพระองค์
** พวกเขาไม่ได้รู้จักพระองค์ และยังไม่รู้จักบรรดาเสียงของพวกศาสดาพยากรณ์ สำหรับพระเจ้า พวกที่เคร่งศาสนาในกรุงเยรูซาเล็มไม่ได้เคร่งจริง พวกเขาดีได้แค่คำพูดแต่การกระทำ การรักษาพระบัญญัติจริงๆ ไม่มี พวกเขาไม่แสวงหาและไม่ได้ยำเกรงพระเจ้า จึงไม่เข้าใจในคำทำนายที่กล่าวไว้เรื่องพระคริสต์ที่จะเสด็จมา
13:28 และถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้พบสาเหตุแห่งความตายในพระองค์ พวกเขาก็ยังขอปีลาตให้พระองค์ถูกปลงพระชนม์เสีย
** ด้วยความที่ไม่รู้ พวกเขาจึงปองร้ายพระเยซู เหมือนศาสนาคริสต์ที่ปองร้ายผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณที่แสวงหาและพบพระเจ้า
13:29 และเมื่อพวกเขาได้กระทำทุกสิ่งที่ได้ถูกเขียนไว้แล้วเรื่องพระองค์ให้สำเร็จ พวกเขาก็เอาพระองค์ลงจากต้นไม้นั้น และวางพระองค์ไว้ในอุโมงค์
13:30 แต่พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
13:31 และพระองค์ได้ทรงถูกพบเห็นเป็นเวลาหลายวันโดยคนทั้งหลายซึ่งได้ขึ้นมาพร้อมกับพระองค์จากแคว้นกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ผู้ซึ่งเป็นพวกพยานฝ่ายพระองค์แก่ประชาชน
** พระเยซูอยู่กับสาวกทั้งหลายเป็นเวลาสี่สิบวัน (กจ 1:3)
13:32 และพวกเราประกาศข่าวประเสริฐนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาซึ่งได้ถูกกระทำแก่พวกบรรพบุรุษนั้น
13:33 พระเจ้าได้ทรงทำให้พระสัญญานั้นสำเร็จแก่พวกเราแล้ว ผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น ในการที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ ตามที่มีเขียนไว้แล้วเช่นกันในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดท่านแล้ว’
** “ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดท่านแล้ว” สดุดี บทที่ 2:7 คือคำทำนายเกี่ยวกับพระเยซูจะสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย จากนั้นก็บังเกิดเป็นมนุษย์คนที่สองหรือมนุษย์วิญญาณที่จะมาแทนที่มนุษย์คนแรกหรือมนุษย์ดินคืออาดัม พระเยซูจึงเป็นผลแรกที่พระเจ้าทรงพอพระทัย จากนั้นก็จะมีน้องๆ ของพระองค์เต็มโลกที่จะเป็นมนุษย์วิญญาณเหมือนพระองค์ในพระองค์
13:34 และเกี่ยวกับการที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น บัดนี้จะไม่กลับไปสู่ความเปื่อยเน่าอีกเลย พระองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ‘เราจะให้บรรดาความเมตตาอันแน่นอนของดาวิดแก่เจ้าทั้งหลาย’
** ไม่เปื่อยเน่า คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการพิพากษาผ่านพ้นไป
** ความเมตตา หรือ พระเมตตาอันแน่นอนของดาวิด ก็คือ พระคุณนั่นเอง
13:35 ดังนั้นพระองค์ตรัสเช่นกันในสดุดีอีกบทว่า ‘พระองค์จะไม่ทรงยอมให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เห็นความเปื่อยเน่า’
13:36 ด้วยว่าดาวิด หลังจากท่านได้ปฏิบัติชั่วอายุของท่านเองโดยน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ได้ล่วงหลับไป และถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษของท่าน และได้เห็นความเปื่อยเน่า
13:37 แต่พระองค์ ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่นั้น มิได้เห็นความเปื่อยเน่าเลย
** ดาวิดและมนุษย์ทุกคนต้องเปื่อยเน่าเมื่อตายไป แต่พระเยซูผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้พบความเปื่อยเน่าของร่างกาย และนี่คือพระสัญญาของพระเจ้าต่อผู้เชื่อทุกคนคือจะไม่เปื่อยเน่าเหมือนพระองค์
13:38 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงทราบเถิดว่า พวกท่านและพี่น้องทั้งหลาย โดยทางชายผู้นี้แหละจึงได้ประกาศการยกบาปทั้งหลายแก่พวกท่าน
** การยกโทษบาปได้มาถึงมนุษย์แล้ว หลังจากการสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นของพระเยซู ซึ่งก่อนหน้านั้นการยกบาปของพระเยซูจะยังมาถึงมนุษย์ผ่านพระเยซูก็ไม่ได้
13:39 และโดยพระองค์นั้น ทุกคนที่เชื่อก็ถูกนับว่าชอบธรรมจากสิ่งสารพัด ซึ่งจากสิ่งเหล่านั้นพวกท่านไม่สามารถถูกนับว่าชอบธรรมได้โดยพระราชบัญญัติของโมเสส
** เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับข้อนี้ คือ ทุกคน>> ที่เชื่อ>> ก็ถูกนับ>> ว่า>> ชอบธรรมจากทุกสิ่งทั้งภายนอกและภายในของเรา และพวกที่เคร่งศาสนารักษาชีวิตชอบธรรมก็จะไม่ถูกนับว่าชอบธรรมอีกต่อไปแล้ว ก็คือการเปลี่ยนจากยุคพระบัญญัติสู่ยุคพระคุณนั่นเอง
13:40 เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี เกรงว่าสิ่งนั้นจะมาถึงพวกท่าน ซึ่งถูกกล่าวถึงในพวกศาสดาพยากรณ์ว่า
13:41 ‘ดูเถิด เจ้าทั้งหลาย ผู้เหยียดหยาม และจงประหลาดใจและพินาศ ด้วยว่าเรากระทำกิจการอันหนึ่งในวันทั้งหลายของพวกเจ้า เป็นกิจการซึ่งพวกเจ้าจะไม่เชื่อเลย ถึงแม้ว่าผู้หนึ่งประกาศกิจการนั้นแก่พวกเจ้า’”
** ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะรับได้ พวกเขา และยังดูถูกเหยียดหยามว่าเป็นความเท็จอีกด้วย
13:42 และเมื่อพวกยิวได้ออกไปจากธรรมศาลาแล้ว พวกคนต่างชาติก็อ้อนวอนให้ถ้อยคำเหล่านี้ถูกเทศนาแก่พวกเขาในวันสะบาโตหน้า
13:43 บัดนี้เมื่อพวกที่มาชุมนุมกันนั้นแตกกลุ่มแล้ว พวกยิวหลายคนกับบรรดาคนเข้าจารีตที่เกรงกลัวพระเจ้าได้ตามเปาโลและบารนาบัสไป ผู้ซึ่ง เมื่อกล่าวกับพวกเขา ได้ชักชวนพวกเขาให้ดำเนินต่อไปในพระคุณของพระเจ้า
** เมื่อเปาโลประกาศในธรรมศาลาจบลง มีชาวยิวมากมายที่กลับใจ
ผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมา เมื่อถึงเวลาก็จะจากไปและการรับใช้ก็จบ และคนใหม่ก็จะถูกส่งมาอีก บางครั้งพระเจ้าส่งมาเป็นคู่และจากนั้นก็จากไปและการรับใช้ก็จบ เมื่อยอห์นออกมาประกาศ และพระเยซูเสด็จมา ยอห์นก็จากไปและงานการรับใช้ของท่านก็จบ สิ่งที่พวกเขามีก็คือถ่อมใจลงและเคารพต่องานรับใช้ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ทำ และเมื่อถึงเวลาก็จากไป ไม่คิดเสียดาย ไม่คิดจะอยู่ต่อ และใครที่เดินและรับใช้ตามน้ำพระทัยก็จะได้อยู่รับใช้ในหน้าที่ของตนจนครบกำหนด พระเจ้าจะเป็นคนเลือกและวางแผนทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์
คริสเตียนศาสนาอาจมาถึงความรอดในวันสุดท้าย แต่ผู้ที่แสวงหาและยำเกรงพระเจ้าจะได้รับการเปิดตาและเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์ได้
ความคิดที่ว่า ผมถูกคุณผิด มีมานานแล้ว แต่คนที่ประกาศโดยพระวิญญาณจะทำให้คนที่ฟังข่าวประเสริฐกลับใจได้
พระเยซูเป็นบุตรหรือผลแรกของพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดแก่พระองค์ คือการกลายเป็นมนุษย์เผ่าพันธุใหม่ หรือมนุษย์วิญญาณ ทำให้คำทำนายใน สดุดี 2:7 สำเร็จ
พระเมตตา ความเมตตา หรือ ความสงสาร ของพระเจ้าต่อดาวิด มาถึงพวกเราโดยทางพระคริสต์และเรียกว่า พระคุณ นั่นเอง
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ กจ 13:39 คือยุคพระคุณนี้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ ซึ่งไม่เหมือนชาวยิวที่ต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม และหลักการแห่งความชอบธรรมนี้ไม่มีอีกแล้ว
บทความเพิ่มเติม: คนงานของพระเจ้า จะต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติแบบไหน ลักษณะอย่างไร
13:44 และวันสะบาโตหน้า คนเกือบสิ้นทั้งเมืองได้มาชุมนุมกันเพื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า
** ข้อที่ 14 จนถึง 43 คือการประกาศของเปาโลต่อชาวยิวในธรรมศาลาของยิวในเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย
13:45 แต่เมื่อพวกยิวเห็นคนมากมายเหล่านั้น พวกเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉา และพูดต่อต้านสิ่งเหล่านั้นซึ่งถูกกล่าวโดยเปาโล โดยโต้แย้งและพูดคำสบประมาท
13:46 แล้วเปาโลกับบารนาบัสมีใจกล้า และกล่าวว่า “แต่ก่อนเป็นสิ่งจำเป็นที่พระวจนะของพระเจ้าควรถูกประกาศแก่พวกท่านก่อน แต่เมื่อเห็นว่าพวกท่านปัดทิ้งพระวจนะของพระเจ้าเสียจากพวกท่าน และตัดสินว่าพวกท่านเองไม่สมควรที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ ดูเถิด พวกเราจะหันไปหาคนต่างชาติ
** ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติก็เพราะชาวยิวมากมายไม่รับกษัตริย์ของพวกเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือแผนการของพระเจ้าเพื่อให้คนทุกชาติได้รับพระคุณของพระเจ้า
13:47 ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาพวกเราอย่างนี้ โดยตรัสว่า ‘เราได้ตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างของคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะได้เป็นอยู่สำหรับความรอดจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก’”
13:48 และเมื่อพวกคนต่างชาติได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็ดีใจ และได้สรรเสริญพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทุกคนที่ได้ถูกตั้งไว้แล้วให้มาสู่ชีวิตนิรันดร์ก็ได้เชื่อ
13:49 และพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถูกประกาศไปตลอดทั่วเขตแดนนั้น
** งานการประกาศกับยิวเป็นหน้าที่ของเปโตรและสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนงานการประกาศกับคนต่างชาติจึงเป็นของเปาโลและเพื่อนร่วมงานของท่าน
13:50 แต่พวกยิวได้ยุยงพวกสตรีที่นมัสการพระเจ้าและมีเกียรติ กับผู้ชายที่เป็นใหญ่ในเมืองนั้น และทำให้เกิดการข่มเหงต่อเปาโลกับบารนาบัส และไล่ท่านทั้งสองออกจากเขตแดนทั้งหลายของพวกเขา
** เกียรติหน้าตาชื่อเสียงผลประโยชน์เป็นสิ่งที่คนที่ต่อต้านข่าวประเสริฐใช้เพื่อให้เกิดการข่มเห็งผู้ประกาศ
13:51 แต่ท่านทั้งสองสะบัดผงคลีดินจากเท้าของตนออกเพื่อต่อว่าพวกเขา และมายังเมืองอิโคนียูม
** การสะบัดผงคลีดินออกจากเท้า คือสิ่งที่พระเยซูสั่งให้ทำกับชาวยิว และสาวกหลายคนก็ทำ รวมถึงเปาโลและเพื่อนร่วมงานของท่าน
13:52 และพวกสาวกก็เต็มเปี่ยมด้วยความปีติยินดี และด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
** คำว่า เต็มล้น ในที่นี้ คือ เพ-เราะ-โอ การเต็มล้นภายใน ทั้งความชื่นชมยินดีและพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อการเติบโตของชีวิตภายใน
1. เรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ
a. ถ้าหากเรามีของประทาน
b. เราฝึกใช้ของประทาน ความเหมาะสมในการพูด
ไม่พูดยาวน้ำท่วมทุ่ง
เรื่องที่พูดและไม่ควรพูด
ไม่ตัดสินดูถูกศาสนาและความเชื่อของใคร ยกเว้นเมื่อเขาถามแต่ต้องพูดด้วยระมัดระวัง
ต้องเรียนรู้ที่จะฟังและทำตามการนำพาของพระวิญญาณ
หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้มีการถกเถียงเกิดขึ้น
ดูที่อาการที่ผู้ฟังตอบสนองว่าสนใจอยากฟังต่อหรือไม่ หรือสังเกตการเตือนของพระวิญญาณ
เรียนรู้การอธิษฐานอย่างเหมาะสม ไม่ยาว ไม่ขัดแย้งความเชื่อ
c. เราประกาศทั้งเรื่องอาหารเด็กและอาหารผู้ใหญ่ แต่ไม่สนับสนุนคำสอนที่แปลผิด
d. การเริ่มต้นบางครั้งเราขออธิษฐานเผื่อปัญหาของเขาหรือขออวยพรเขาด้วยการชวนอธิษฐาน
e. การทำหน้าที่ที่เป็นเหมือนคน ‘ส่งจดหมาย’ ไม่เสียใจเมื่อเขาไม่รับ
f. เมื่อรับก็มีการติดตาม เมื่อไม่รับก็อธิษฐานเผื่อและไม่สาปแช่งเขา เพราะมันคือการเริ่มต้น
g. เราประกาศตามขนาดของความเชื่อ กำลัง เวลา และทุนที่มี ไม่ขอความช่วยเหลือถ้าไม่จำเป็นหรือสามัคคีธรรมกับพี่น้องตามความเหมาะสม
h. เราไม่หวังผลหรือทำในลักษณะเป็นรายได้เงินเดือนหรือธุรกิจ เพื่อจะเป็นทองคำเงินและเพชรพลอย
i. การประกาศแบบศาสนาจะได้ผลตอบแทนในโลกนี้เท่านั้น แต่การประกาศด้วยชีวิตใหม่หรือคนใหม่บวกกับ ข้อ a จนถึง f เราจะถูกเรียกว่าผู้ชนะและมีส่วนครอบครองอาณาจักร่วมกับพระเยซู ดูเพิ่มเติมในคลิป การประกาศมานา
2. อย่าน้อยใจเสียใจ หรือท้อ เมื่อคนที่ไม่เชื่อและพี่น้องคริสเตียนด้วยกันข่มเหงเรา
- เพราะเขายังไม่ได้ถูกเปิดตา และตกหลุมแห่งตัญหา และขัดขวางเราเพราะเหตุกลัวเสียชื่อเสียงตำแหน่งผลประโยชน์ พระเจ้าให้การข่มเหงเกิดขึ้นเพื่อการฝึกเดิน และสำแดงชีวิตที่ต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบของพระคริสต์ในเรา และสุดท้ายก็เข้าส่วนในการครอบครองชั่วนิรันดร์ร่วมกับพระองค์
=> การข่มเหงและปัญหา คือแสงแดดในมัทธิว 13:6 เพื่อการเติบโตและเข้มแข็งของเรา เราควรขอบพระคุณแทนที่จะบ่น ท้อ หรือน้อยใจ
=> พระเยซู สาวก และผู้รับใช้ คริสเตียน ทุกคนที่บังเกิดที่ใหม่อย่างแท้จริงจะถูกข่มเหงไม่มากก็น้อยเป็นระยะๆ เมื่อเราถูกข่มเหง ทางออกก็คือการสนิทบอกรักเพื่อที่เราจะเต็มล้นด้วยพระวิญญาณเพื่อเข้าสู่ความชื่นชมยินดีในพระคริสต์
3. การสะบัดผงคลีดินที่คริสเตียนศาสนาหลายคนมักทำกัน
=> เชื่อพระเยซูสั่งให้สาวกทำกับยิวเท่านั้น (มธ 10:6-15)
=> เมื่อชาวต่างชาติไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐสาวกก็ไม่ทำ แต่เปาโลได้กระทำกับชาวยิวในเมืองนี้ (กจ 13:51)
=> การสะบัดฝุ่นออกจากเท้าของสาวกต่อชาวยิวที่ไม่เชื่อข่าวประเสริฐและไม่ต้อนรับพวกเขา คือการปล่อยให้พวกเขาเป็นคนบาปต่อไป พวกเขาจะไม่ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตซึ่งการยกโทษบาปก็จะมาไม่ถึงพวกเขา
4. การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณและความชื่นชมยินดีภายใน คืออะไรเพื่ออะไร (กจ 13:52)
5. เรื่องการเต็มล้นภายในเพื่อความชื่นชมยินดี
a. พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคนแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้
b. การเต็มล้นภายในและเราเป็นอยู่เสมอนั้น เกิดจากการสนิท บอกรักทุกวัน ผลที่ได้รับก็คือความชื่นชมยินดี อาการดีใจ (Joy-rejoice) รักอะกาเป และการก่อชีวิตของพระคริสต์ขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนเลิกทำบาปได้มากขึ้น เมื่อเราสนิทบอกรักและอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา ปัญหาและการข่มเหงจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เราจะเกิดมีอาการไม่กลัว กังวลและวิตก