** เนื่องจากผู้เชื่อมากมายไม่เข้าใจเป้าหมายของหนังสือฮีบรู พวกเขาจึงตีความหมายพระคำพระเจ้าที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ผิด และยังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ เพราะคิดว่าพระเจ้าทรงยกเลิกพระบัญญัติในส่วนที่เป็นพิธีกรรมเท่านั้น ฯลฯ
** ขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้เราได้รับการเปิดตา และพบสิ่งล้ำค่ามากมายในหนังสือเล่มนี้
I. ที่มาของหนังสือฮีบรู
1. ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเขียน
2. หนังสือเล่มนี้เขียนถึงชาวฮีบรู
3. ทำไมเขียนถึงผู้เชื่อชาวฮีบรู ทำไมไม่เขียนถึงยิวหรือชนชาติอิสราเอล
4. ฮีบรู รากศัพท์แปลว่า ผ่าน ข้ามผ่าน ซึ่งหมายถึงการข้ามแม่น้ำ หรือข้ามผ่านจากแผ่นดินหนึ่งสู่อีกแผ่นดินหนึ่ง อับราฮัมเป็นชาว ฮีบรู (ปฐก 14:13)
5. ชาวฮีบรูแท้ที่จริงลูกหลานอับราฮัมฝ่ายวิญญาณ คือผู้เชื่อทุกคนทั้งยิวและต่างชาติที่ได้ข้ามแม่น้ำจากแผ่นดินอาดัมมาสู่แผ่นดินของพระคริสต์ จากมนุษย์เนื้อหนังสู่มนุษย์วิญญาณ จากพันธสัญญาเดิม พระบัญญัติเดิม หลักการแห่งความชอบธรรมเดิม สู่พันธสัญญาใหม่ สู่พระบัญญัติใหม่ สู่หลักการแห่งความรอดใหม่ และหลักการได้เข้าในอาณาจักรสวรรค์แบบใหม่
6. การรับบัพติศมาของผู้เชื่อทุกคน คือการได้ข้ามผ่านชีวิตเก่าอาดัม สู่ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ พระเจ้าไม่ได้ไถ่เราให้รอดจากบึงไฟเท่านั้น คือความรอดของคริสเตียน ไม่ใช่รอดจากบึงไฟเท่านั้น แต่ความรอดคือรอดจากการปกครองครอบครองของซาตาน
7. เป้าหมายของหนังสือเล่มนี้ คือเพื่อหนุนใจให้ผู้เชื่อทั้งชาวยิว และต่างชาติให้ได้รู้และเข้าใจว่าเราได้…
a. ข้ามผ่าน ยุคเก่าสู่ยุคใหม่
b. ข้ามผ่านพันธสัญญาเดิมสู่พันธสัญญาใหม่ พระบัญญัติเดิมสู่พระบัญญัติใหม่
c. ข้ามผ่านชีวิตเก่าสู่ชีวิตใหม่
d. ข้ามจากอาดัมสู่พระคริสต์
e. ข้ามจากอาณาจักรของซาตานสู่อาณาจักรของพระบุตร
f. ข้ามจากการดำเนินชีวิตด้วยจิต (สายตา อารมณ์ ความรู้สึก) สู่การเดินด้วยความเชื่อ (เชื่อเอา ฮบ 11:1)
8. ผู้เชื่อควรเลิกกินแต่อาหารน้ำนมและหันมากินอาหารแข็งเพื่อการเติบโต
9. คริสเตียนยิวอย่ากลับไปสู่ศาสนายิวเพราะว่าพระเจ้าไม่รับเครื่องถวายบูชาไถ่บาปตามแบบในพันธสัญญาเดิมต่อไปแล้ว
สง่าราศีของพระบุตรและพระราชกิจของพระองค์
1:1 ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่างๆมากมายแก่บรรพบุรุษทางพวกศาสดาพยากรณ์
** พระเจ้า เป็นพระเจ้าที่ลึกลับ ไม่มีใครรู้จักและเข้าใจพระเจ้าได้ถ้าหากพระเจ้าไม่ตรัสหรือพูดกับทูตสวรรค์และมนุษย์ เรารู้จักพระเจ้าได้ โดยการ “ตรัส หรือ พูด” ของพระองค์
** พระเจ้าเลือกตรัสกับบางคนที่เชื่อและรับฟังพระเจ้า การเปิดเผยของพระเจ้า มาจากการพูดหรือตรัสของพระองค์จนทุกวันนี้และจนสิ้นยุค
** ก่อนพระบุตรเสด็จมา พระเจ้าตรัสผ่านผู้เชื่อ ผู้เผยพระวจนะ มนุษย์จึงเห็นและเข้าใจพระเจ้าทั้งน้ำพระทัยของพระเจ้าแบบไม่ครบถ้วน
1:2 แต่ในวันสุดท้ายเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
** "ในวันสุดท้าย" คือระยะสุดท้ายของยุคพระบัญญัติ คือเวลาที่พระเยซูเสด็จมาปรากฏต่อชนชาติอิสราเอล
** พระเจ้าเสด็จมาเพื่อพูดกับมนุษย์ด้วยพระองค์เองผ่านพระบุตร การพูดของพระบุตร คือการพูดของพระเจ้าเอง และการสำแดงพระบุตรก็คือการสำแดงของพระเจ้าเอง พระบุตรไม่เคยดำเนินชีวิตของพระองค์เองแต่คือพระบิดาที่ได้ปรากฏพระองค์ ต่อชาวยิวและต่างชาติเป็นเวลาสามสิบสามปีกว่า
** มรดกหรือสรรพสิ่งทั้งปวง โลก จักรวาล ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เมื่ออาดัมทำบาป เขาสูญเสียสิทธิอำนาจ มรดกที่พระเจ้าจัดเตรียมเพื่อประทานให้ การเป็นบุตรหรือทายาทของพระเจ้า ทุกสิ่งจึงตกเป็นของพระเยซูและเราทุกคนที่เป็นบุตรพระเจ้าทางความเชื่อ (โรม 8:17)
A1. "พระบุตร" คือพระเจ้าพระภาคพระบุตร เดิมทีไม่มีพระเจ้าพระบิดา ไม่มีพระเจ้าพระบุตร และไม่มีพระเจ้าพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ แต่มีพระเจ้าสามพระภาคทรงเป็นอยู่ด้วยกัน
- เหตุผลที่พระเจ้าทรงตรัสและผู้เขียนเขียนว่า พระเจ้าพระบิดา เพื่อให้ผู้เชื่อเข้าใจการทำงานของพระเจ้าแต่ละภาค เพราะว่าพระเจ้าทรงบริหารจักรวาลในฐานะของพระบิดา พระคัมภีร์เรียกพระเจ้าพระบุตรก็เพราะว่าพระเจ้าภาคหนึ่งจะลงมาถือกำเนิดเป็นมนุษย์และเป็นบุตรพระเจ้าที่กู้ทุกสิ่งที่อาดัมทำให้เสื่อมเสียตกต่ำคืนสู่สภาพที่ปกติ พระคัมภีร์เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ สาเหตุเป็นเพราะว่าพระเจ้าภาคหนึ่งจะลงมาทำงานกับมนุษย์เพื่อเตรียมมนุษย์ให้บริสุทธิ์เพื่อพระเจ้าจะเข้ามาสร้างบ้านในผู้เชื่อทุกคน
1:3 พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระบุตรได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงเดชานุภาพเบื้องบน
** "พระบุตร" (ดูคำอธิบาย A1)
** "พระเจ้าพระบุตร" เป็นพระเจ้าที่มีความชอบธรรมเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา
** ทุกสิ่งในจักรวาลเป็นอยู่ภายใต้พระดำรัสของพระองค์
** ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ ก็คือทรงอยู่ในพระบิดาและพระบิดาก็อยู่ในพระบุตร และทั้งสองพระภาคอยู่เคียงข้างในร่างกายของพระเยซู พูดง่ายๆ คือเราจะเห็นพระเจ้าทั้งสามพระภาคทรงใช้ร่างกายของพระเยซูเพื่อสำแดงพระองค์ต่อเหล่าทูตสวรรค์บนพระที่นั่งของพระองค์
พระบุตรทรงอยู่เหนือพวกทูตสวรรค์
1:4 พระองค์ทรงเป็นผู้เหนือกว่าเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ทรงรับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของทูตสวรรค์นั้นเป็นมรดก
** พระเยซูได้รับเกียรติจากพระบิดาให้มีสิทธิอำนาจเหนือทุกสิ่งทั้งเหล่าทูตสวรรค์ พระนามเยซูจึงถูกยกขึ้นเหนือนามใดๆ ในจักรวาล
1:5 เพราะว่ามีผู้ใดบ้างในบรรดาทูตสวรรค์ที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาในเวลาใดว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’ และยังตรัสอีกว่า ‘เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา’
** ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’ คือพระเจ้าให้กำเนิดแก่พระคริสต์เยซู ที่เป็นวิญญาณ ที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย พระคริสต์เยซูเป็นมนุษย์คนที่สอง เป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์วิญญาณเพื่อมาแทนที่อาดามที่เป็นเนื้อหนัง
1:6 และอีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีองค์ที่ได้บังเกิดนั้นให้เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ก็ตรัสว่า ‘ให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการท่าน’
** "พระบุตรหัวปี" คือพระเยซูที่เป็นผลแรกของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ พระองค์จะได้รับเกียรติจากพระบิดาเนื่องจากการยอมตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์โลก
** ทูตสวรรค์ทั้งหลายย่อมรู้ดีว่าพระเยซูคือใคร พวกเขาจึงยำเกรง รักเคารพ และนมัสการพระองค์
1:7 ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้น พระองค์ตรัสว่า ‘พระองค์ทรงบันดาลพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เป็นดุจวิญญาณ และทรงบันดาลผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวเพลิง’
** พระบุตรเป็นพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ขณะที่ทูตสวรรค์เป็นเหล่าวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
1:8 แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า ‘โอ พระเจ้าข้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์และเป็นนิตย์ ธารพระกรแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นธารพระกรเที่ยงธรรม
1:9 พระองค์ทรงรักความชอบธรรม และทรงเกลียดชังความชั่วช้า ฉะนั้นพระเจ้า คือ พระเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์ไว้ด้วยน้ำมันแห่งความยินดียิ่งกว่าสหายทั้งปวงของพระองค์’
** พระเจ้าของพระองค์ ความหมายคือ พระคริสต์เยซูในฐานะมนุษย์ (วิญญาณ) พระองค์มีพระเจ้าเป็นพระเจ้าและเป็นพระบิดาของพระองค์
** "เจิมไว้" คือถูกเลือกไว้เพื่อนำมนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า
** สหายทั้งปวงของพระองค์’ คือเหล่าทูตสวรรค์ชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
1:10 และ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
1:11 สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม
1:12 พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป แต่พระองค์ยังทรงเป็นเหมือนเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด’
** วิญญาณและชีวิตของพระเจ้ามีสภาพเป็นอมตะ ตายไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้
1:13 แต่แก่ทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้ตรัสในเวลาใดว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
** "จงนั่ง" คือการพักผ่อนจากการงานทั้งหมด เนื่องจากพระเยซูคริสต์ได้กระทำกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว งานชิ้นต่อไปก็คือพระเจ้าจะทำลายซาตานและลูกน้องของมัน
** พระบิดาจะทำให้ซาตานและลูกน้องของมันถูกกำจัดทำลายไปหลังยุคพันปี
1:14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ
** ทูตสวรรค์ถูกสร้างในฐานะบุตร แต่มีฐานะเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ แต่มนุษย์ถูกสร้างในฐานะเป็นบุตรที่เป็นทายาทรับมรดกจากพระเจ้า
** ผู้เชื่อทุกคนมีทูตสวรรค์ประจำตัวอย่างน้อยหนึ่งตน
พระบุตรทรงอยู่เหนือพวกทูตสวรรค์
1:4 พระองค์ทรงเป็นผู้เหนือกว่าเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ทรงรับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของทูตสวรรค์นั้นเป็นมรดก
** พระเยซูได้รับเกียรติจากพระบิดาให้มีสิทธิอำนาจเหนือทุกสิ่งทั้งเหล่าทูตสวรรค์ พระนามเยซูจึงถูกยกขึ้นเหนือนามใดๆ ในจักรวาล
1:5 เพราะว่ามีผู้ใดบ้างในบรรดาทูตสวรรค์ที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาในเวลาใดว่า ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’ และยังตรัสอีกว่า ‘เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา’
** ‘ท่านเป็นบุตรของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’ คือพระเจ้าให้กำเนิดแก่พระคริสต์เยซู ที่เป็นวิญญาณ ที่ฟื้นขึ้นมาจากตาย พระคริสต์เยซูเป็นมนุษย์คนที่สอง เป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์วิญญาณเพื่อมาแทนที่อาดามที่เป็นเนื้อหนัง
1:6 และอีกครั้ง เมื่อพระองค์ทรงนำพระบุตรหัวปีองค์ที่ได้บังเกิดนั้นให้เสด็จเข้ามาในโลก พระองค์ก็ตรัสว่า ‘ให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการท่าน’
** "พระบุตรหัวปี" คือพระเยซูที่เป็นผลแรกของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ พระองค์จะได้รับเกียรติจากพระบิดาเนื่องจากการยอมตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์โลก
** ทูตสวรรค์ทั้งหลายย่อมรู้ดีว่าพระเยซูคือใคร พวกเขาจึงยำเกรง รักเคารพ และนมัสการพระองค์
1:7 ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้น พระองค์ตรัสว่า ‘พระองค์ทรงบันดาลพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เป็นดุจวิญญาณ และทรงบันดาลผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวเพลิง’
** พระบุตรเป็นพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ขณะที่ทูตสวรรค์เป็นเหล่าวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
1:8 แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า ‘โอ พระเจ้าข้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์และเป็นนิตย์ ธารพระกรแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นธารพระกรเที่ยงธรรม
1:9 พระองค์ทรงรักความชอบธรรม และทรงเกลียดชังความชั่วช้า ฉะนั้นพระเจ้า คือ พระเจ้าของพระองค์ ได้ทรงเจิมพระองค์ไว้ด้วยน้ำมันแห่งความยินดียิ่งกว่าสหายทั้งปวงของพระองค์’
** พระเจ้าของพระองค์ ความหมายคือ พระคริสต์เยซูในฐานะมนุษย์ (วิญญาณ) พระองค์มีพระเจ้าเป็นพระเจ้าและเป็นพระบิดาของพระองค์
** "เจิมไว้" คือถูกเลือกไว้เพื่อนำมนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า
** สหายทั้งปวงของพระองค์’ คือเหล่าทูตสวรรค์ชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายที่อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์
1:10 และ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าข้า เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์
1:11 สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์ทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม
1:12 พระองค์จะทรงม้วนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป แต่พระองค์ยังทรงเป็นเหมือนเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด’
** วิญญาณและชีวิตของพระเจ้ามีสภาพเป็นอมตะ ตายไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้
1:13 แต่แก่ทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้ตรัสในเวลาใดว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’
** "จงนั่ง" คือการพักผ่อนจากการงานทั้งหมด เนื่องจากพระเยซูคริสต์ได้กระทำกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว งานชิ้นต่อไปก็คือพระเจ้าจะทำลายซาตานและลูกน้องของมัน
** พระบิดาจะทำให้ซาตานและลูกน้องของมันถูกกำจัดทำลายไปหลังยุคพันปี
1:14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอดเป็นมรดกมิใช่หรือ
** ทูตสวรรค์ถูกสร้างในฐานะบุตร แต่มีฐานะเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ แต่มนุษย์ถูกสร้างในฐานะเป็นบุตรที่เป็นทายาทรับมรดกจากพระเจ้า
** ผู้เชื่อทุกคนมีทูตสวรรค์ประจำตัวอย่างน้อยหนึ่งตน