โลกนี้มีทั้งหมด 4 ยุคด้วยกันครับ คือ
ยุคบาป
ยุคพระบัญญัติ
ยุคพระคุณ (ยุคคริสตจักร)
ยุคราชอาณาจักรสวรรค์ หรือราชอาณาจักรของพระเจ้า
...
ยุคบาป เริ่มตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส
...
ยุคพระบัญญัติ เริ่มตั้งแต่โมเสสจนถึงพระเยซูคริสต์
...
ยุคพระคุณ ก็คือยุคนี้ เริ่มตั้งแต่พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาเพื่อเพื่อก่อตั้งราชอณาจักรในโลกนี้
...
ยุคราชอาณาจักรสวรรค์ เป็นเหตุการณ์หลังสงครามอามาเกดโดน หรือเหตุการณ์หลังช่วงระยะเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน ซึ่งยุคที่สี่นี้มีระยะเวลาแค่หนึ่งพันปีเท่านั้น และเรียกว่างานเลี้ยงแต่งงาน งานอภิเษกสมรส ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูโลก หรือยุคสุดท้ายนั่นเอง
ถามว่าจำเป็นไหมที่เราจะต้องเรียนรู้เรื่องยุคนี้ ยุคหน้า หรือยุคที่หนึ่ง สอง สาม ตอบ สำคัญและจำเป็นครับ โดยเฉพาะสิ่งที่เราควรจะได้รู้ ก็คือยุคนี้ไม่ใช่ยุคสุดท้าย ซึ่งพี่น้องคริสเตียนมากมายสอนหรือเทศนาว่ายุคนี้คือยุคสุดท้ายแล้ว และพระเยซูกำลังจะมาล้างโลก และฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น อันนี้ไม่ใช่ครับ ยังมีอีกยุคหนึ่งที่รอเราอยู่ครับ และต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผมจะอธิบายเล็กน้อย ซึ่งอาจจะไม่ครบ
...
คือยุคบาปได้ผ่านไปแล้ว ยุคพระบัญญัติก็ผ่านไปแล้ว ยุคนี้คือยุคพระคุณ (ยุคคริสตจักร) และยุคหน้าคือยุคอาณาจักร ซึ่งพระเยซูจะนำอาณาจักรของพระองค์ลงมาอยู่ในโลกนี้ และผู้เชื่อจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรก คือผู้ชนะ จะได้เข้าไปข้างใน และกลุ่มที่สอง คือผู้ไม่ชนะหรือผู้แพ้ จะได้อยู่ข้างนอกเพื่อใช้หนี้ให้ครบ ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ถูกตีสอน และถูกบ่มให้สุกแบบไม่สุกตามธรรมชาติ
...
คริสเตียนเหล่านี้พระเจ้าเมตตาเขา ต้องการให้พี่น้องเหล่านี้ทุกคนสุกงอม และได้รอดเข้าในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ แต่น่าเสียดาย ที่พี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ต้องถูกบังคับให้สุกงอม ถูกบ่ม และถูกตีสอนและลงโทษ แล้วจึงได้เข้าไปในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ และไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลอะไรเลย คือไม่มีรางวัลให้ ซึ่งเป็นการรอด แต่เหมือนรอดผ่านไฟ
เราจะเห็นพระคัมภีร์หลายตอนที่กล่าวถึงการรอดผ่านไฟ ซึ่งอยู่ใน 1 คร 3:12–15 และ 1 คร 5:5 และอีกหลายๆ ตอนเรื่องการใช้หนี้ให้ครบ
...
เมื่อยุคนี้ผ่านไป ยุคอาณาจักรก็เริ่มต้นขึ้น แต่ก่อนที่จะถึงยุคอาณาจักร ในช่วงเวลาที่เจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมานเกิดขึ้น ผู้เชื่อที่ชนะแล้วก็จะถูกรับขึ้นไป แต่ผู้เชื่อที่ยังไม่ชนะก็จะต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกขับไล่ และถูกข่มเหงจากพระคริสต์เทียมเท็จ และจากซาตานที่ร่วมมือกันไล่ล่าฆ่าฟันคริสตจักร
และหลังจากช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมานผ่านไป ก็จะเกิดมีสงครามอารมาเกดโดน ซึ่งพระคริสต์เทียมเท็จ ซาตาน และผู้คนมากมายที่ไม่เชื่อพระเจ้า จะร่วมมือกันเป็นกองทัพ และมาต่อสู้กับกองทัพของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเสด็จลงมาจากสวรรค์กับผู้ชนะ
...
การต่อสู้ของพระเยซูคริสต์ไม่ได้ยากครับ การต่อสู้กับมารซาตานและพระคริสต์เทียมเท็จไม่ได้ใช้เวลายาวนานมากเท่าไหร่ เพราะว่าเป็นการต่อสู้ที่พระเจ้าใช้อำนาจด้วยพระแสง หรือพระคำของพระเจ้าที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ทำให้มารซาตาน พระคริสต์เทียมเท็จ และลูกน้องของมันถูกฆ่าตายหมด
และหลังจากสงครามอารมาเกดโดนผ่านไป ก็จะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ก็คือพระเยซูคริสต์จะตัดสินพิพากษาผู้เชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนที่ไม่เชื่อครับ คือผู้เชื่อทุกคนจะยืนอยู่ต่อหน้าพระคริสต์ และรับการพิพากษา เพื่อจะถูกเลือกคนหนึ่งเข้าไปข้างใน และอีกคนหนึ่งไว้ข้างนอก (มธ 7:21–23; 2 คร 5:10; โรม 14:10)
...
ผู้เชื่อมากมาย และผู้รับใช้หลายคนที่มายืนต่อหน้าพระเยซู และรู้ตัวแล้วว่าตนไม่ได้เข้าไปข้างใน ก็เลยต่อว่าว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไล่ผีออก รับใช้ และทำทุกสิ่งในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ” แต่พระเยซูตรัสว่า “จงถอยไปจากเรา เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าไม่เคยอยู่ใต้พระบัญญัติ เจ้าผู้ละเมิดกฎหมาย” (มธ 7:21–23)
และในช่วงยุคพันปี คนที่เชื่อทุกคน ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ข้างในหรือข้างนอกก็ตาม ผู้เชื่อทุกคนก็จะมีกายทิพย์และไม่ตาย และชาวโลกคนที่ไม่เชื่อที่รอดตายมาจากช่วงเจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมานก็จะดำเนินชีวิตต่อไป
...
สำหรับผู้เชื่อที่ชนะจะอยู่ในอาณาจักร และมีส่วนครอบครองร่วมกับพระเยซูเป็นเวลาพันปี และตำแหน่งการครอบครองของเขาก็จะสืบต่อไปจนถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ และชั่วนิรันดร์ ในขณะที่ผู้เชื่อที่ไม่ชนะก็จะเป็นแค่ประชากรของฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เท่านั้น
ขอให้เราพิจารณาดูชีวิตของเราครับว่า ทุกวันนี้เราเป็นคริสเตียนผู้ชนะหรือผู้แพ้กันแน่ เราดูได้นะครับ จากชีวิตของเราเอง ผู้ชนะ ก็คือผู้ที่สามารถมีสันติสุขทุกวันเวลาทุกนาที และมีความสงบสุขอยู่ในชีวิตกับพระเจ้า คือไม่กลัวพระเจ้าอีกแล้ว และชีวิตของเขาสนิทอยู่กับพระคริสต์ และสร้างความสัมพันธ์ให้มากขึ้น ยิ่งสนิทมากเท่าไหร่ ยิ่งบอกรักมากเท่าไหร่ และยิ่งส่งรักให้พระเจ้า พระเจ้าก็จะส่งชีวิตมาให้เรา และเราก็จะสามารถส่องสว่าง
...
ชีวิตนั้นเป็นน้ำมัน นั่นคือชีวิตของพระเจ้า เมื่อเรามีชีวิตของพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตของพระเจ้า มีคุณสมบัติของพระเจ้า มีความชอบธรรมของพระเจ้า และมีผลของพระวิญญาณผ่านตัวเรา และมนุษย์ทั้งโลก พี่น้องคริสเตียน ครอบครัว และคริสตจักรจะได้เห็นพระเจ้าในเรา ไม่ได้เห็นเราเอง นี่คือชีวิตของผู้ชนะครับ
...
แต่ถ้าชีวิตของเราทุกวันนี้ยังขึ้นลงๆ ดีบาปๆ สุขทุกข์ๆ ไปจนตาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความดีก็พอมีอยู่แต่เล็กน้อย และการเชื่อฟังก็พอมีอยู่แต่เล็กน้อย การรับใช้ก็ทำเล็กน้อย และการมีส่วนในคริสตจักรก็เล็กน้อย ชีวิตเรานี้ไม่มาถึงการเปลี่ยนแปลง และไม่เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงเสียที และถ้าถึงเวลาที่ระเบิดก็จะระเบิด ถ้าถึงเวลาโกรธก็โกรธ ถ้าถึงเวลาโมโหก็โมโห ถ้าถึงเวลาโลภ โกรธ หลงเข้ามามันก็ระเบิดขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่สื่อให้เราเห็นได้ว่าเราไม่ปกติ เราเป็นคริสเตียนแพ้หรือผู้แพ้ หรือถ้าเรียกง่ายๆ คือคริสเตียนเด็กนั่นเองครับ
...
พี่น้องอย่าคิดนะครับว่าการที่เราเป็นคริสเตียนมานาน และเข้าโบสถ์นานแล้วหลายปี มีตำเเหน่งในคริสตจักร และเราก็ดูดีในคริสตจักร อย่าคิดว่าเราเป็นผู้ใหญ่ หรือผู้ชนะแล้ว อันนี้ไม่ใช่ครับ การที่เราเข้าโบสถ์นาน เชื่อพระเยซูนาน และมีส่วนรับใช้ มีตำแหน่งเป็นศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล หรืออะไรก็ตาม ตำแหน่งและช่วงเวลาที่ได้เข้าโบสถ์นานนั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นระดับบุตร หรือระดับพ่อ
...
แต่ชีวิตและผลของพระวิญญาณ สันติสุขทุกวันเวลานาที และการเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นตัวบ่งบอก และพระเจ้าเป็นผู้เปิดตาเขามากขึ้นๆ รับการเปลี่ยนแปลงด้วยการถูกเปิดตา ด้วยการเปลี่ยนความคิด และมีความคิดที่ถูกต้องต่อพระวจนะคำของพระเจ้า มีการแปลหรือการตีความหมายพระคำของพระเจ้าที่ถูกต้อง และรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า เราดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า อยู่ใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู และให้พระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณที่อยู่ในเราเป็นคนทำแทน
...
ถ้าหากเราทำตามสิ่งเหล่านี้ และชีวิตของเราสนิทอยู่ในพระคริสต์ ไม่สนใจและไม่ใส่ใจเรื่องการเชื่อฟัง แต่เราใส่ใจเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า บอกรัก และสนิทกับพระคริสต์ เมื่อสนิทมากเท่าไหร่ เราก็ได้รับน้ำมันหรือชีวิตพระเจ้า แล้วเราก็จะสามารถที่จะนำมาเกิดผลให้พระเจ้า และพระเจ้าได้รับเกียรติ
พระเกียรติเป็นของพระเจ้า ส่วนบำเหน็จเป็นของเรา เพราะว่าเราถวายชีวิตนี้ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้ว (โรม 6:13) เรามอบอวัยวะที่เหมือนดังคนที่เป็นขึ้นมาใหม่แล้วให้พระเจ้าใช้ พระเจ้าก็จะใช้เรา และสำแดงพระองค์ออกมาผ่านเรา มนุษย์จะเห็นคุณสมบัติของพระเจ้าคือคุณสมบัติ 4 ประการของพระเจ้า คือ รัก, ความจริง, ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์ นี่คือคุณสมบัติที่จะสำแดงผ่านเรา เป็นรสเค็มที่ผ่านเกลือนี้
...
และอีกประการหนึ่ง คือความชอบธรรม ความดี การทำดี และทุกสิ่งที่เป็นผลของพระวิญญาณ (กท 5:22–23) พระเจ้าจะสำแดงพระองค์ผ่านเรา มนุษย์จะเห็นความชอบธรรมเหล่านี้ และมนุษย์ถวายเกียรติแด่พระเจ้า มนุษย์กลับใจเชื่อพระเจ้า มนุษย์รักพระเจ้า และพระเจ้าได้รับเกียรติ เราซึ่งเป็นผู้ที่มอบชีวิตให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้จะได้รับบำเหน็จรางวัล เป็นบุตรที่รัก และมีส่วนครอบครองกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันดร์
...
เนื่องจากว่ามนุษย์เรามีจิตใจที่ต้องการเห็นผลเร็วๆ และถ้าทำไปแล้วไม่เห็นผลก็จะท้อแท้หรือถดถอย ขอพี่น้องอย่าท้อแท้ หรืออย่าถดถอยเมื่อเราเข้าสู่ความจริงและความไพบูลย์แห่งพระคำของพระเจ้า
...
เมื่อเรามาถึงจุดนี้ เราเห็นว่าเราเลิกกลัวพระเจ้า เรารู้จักคุณค่าของพระโลหิตของพระเยซู และเราเข้ามาหาพระเจ้าได้ทุกเมื่อ ทุกวัน และทุกเวลานาที เราสารภาพเมื่อเราทำบาป และไม่กลัวพระเจ้าอีกแล้ว เรารู้ว่าพระเจ้ารักเรามาก เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ และความรักซ้อนความรัก เพราะฉะนั้น เราอยู่ในชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำ เราสามารถรับน้ำแห่งชีวิต รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับความรักของพระเจ้า และรับการทำงานของพระเจ้าเข้ามา และอีกไม่นานเราก็จะโตและเกิดผลให้พระเจ้า
...
ยอห์น 15:5 “ถ้าผู้ใดสนิทอยู่ในเรา เขาก็จะเกิดผล และก็จะเกิดผลมาก” เป็นเคล็ดลับที่ง่ายๆ และเป็นเคล็ดลับที่พระเยซูตรัส และเราก็อ่านเจออยู่บ่อยๆ แต่เราไม่เข้าใจใช่ไหมครับ เรานึกไม่ออกว่าการสนิทในพระคริสต์คืออะไร “อ้อ! คือการเชื่อฟังเหรอ?” ไม่ใช่ครับ การสนิทไม่ใช่การเชื่อฟัง การเชื่อฟังก็คืออีกเรื่องหนึ่ง
การสนิท ก็คืออยู่ในพระคริสต์ ติดสนิทอยู่ในพระองค์ คือการพูดคุย สนทนา และทำความรู้จักสนิทสนมกับพระองค์ และเมื่อพูดคุยในแต่ละวัน เราเชื่อว่าพระเยซูฟังเราอยู่ เราเชื่อว่าพระเยซูมองดู และเฝ้าดูแลทุกสถานการณ์และทุกเหตุการณ์ พระเยซูอนุญาตให้ทุกสิ่งเข้ามาถึงเรา มันจึงเข้ามาได้
...
เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตที่ไว้วางใจในพระเจ้า เชื่อมั่นว่าทรงรักเรา และทรงดูแลเราอยู่ และเชื่อว่าเราอยู่ในพระวิญญาณ สนิทอยู่กับพระองค์ คือการพูดคุยสนทนา ถึงแม้ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร จะดีหรือร้ายไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะว่าเรามีความผูกพัน และมีความรักลึกซึ้งกับพระเยซูคริสต์แล้ว จะเป็นหรือตายอย่างไรพระเจ้าอนุญาต เรารู้แล้วเราก็ขอบพระคุณพระเจ้า
ทั้งโลกนี้ การข่มเหง ความตาย การถูกตี การถูกเฆี่ยน หรือการถูกจับขังคุก ไม่มีอะไรที่จะเปรียบได้กับสง่าราศีที่จะมาภายหลัง ซึ่งอีกไม่นานนี้พระเยซูจะนำมาและจะมอบให้เรา