คริสเตียนจงยอมอยู่ใต้การปกครองของผู้มีอำนาจ
13:1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจ เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น
13:2 เหตุฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ขัดขืนอำนาจนั้นก็ขัดขืนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะนำพระอาชญามาสู่ตนเอง
13:3 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ทำความดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำความชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงประพฤติแต่ความดี แล้วท่านจะได้รับการสรรเสริญจากผู้มีอำนาจนั้น
13:4 เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่ท่าน แต่ถ้าท่านทำการชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นหาได้ถือดาบไว้เฉยๆไม่ ด้วยว่าท่านเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นผู้กระทำการแก้แค้นแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว
13:5 เหตุฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา มิใช่เพราะเกรงพระอาชญาสิ่งเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดและชอบด้วย
13:6 เพราะเหตุผลอันเดียวกันท่านจึงได้เสียส่วยอากรด้วย เพราะว่าผู้มีอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่
13:7 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ ส่วยอากรควรจะให้แก่ผู้ใด จงให้แก่ผู้นั้น ภาษีควรจะให้แก่ผู้ใด จงให้แก่ผู้นั้น ความยำเกรงควรจะให้แก่ผู้ใด จงให้แก่ผู้นั้น เกียรติยศควรจะให้แก่ผู้ใด จงให้แก่ผู้นั้น
** "ผู้ที่มีอำนาจ" ในที่นี้ คือเจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองบ้านเมือง ทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้มีอำนาจเหล่านี้มีอำนาจ ผู้ชนะจะยอมเชื่อฟังพวกเขาในส่วนที่เป็นการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติบ้านเมือง ผู้ชนะจะไม่ขัดขืนขัดแย้งต่อต้าน และถ้าหากจะมีการดำเนินชีวิตและรับใช้ที่ขัดแย้งต่อน้ำพระทัยพระเจ้า พระวิญญาณก็จะนำเราและมีทางออกให้เราเสมอ
"เราจะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง" ได้อย่างไร
13:8 อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่นก็ทำให้พระราชบัญญัติสำเร็จแล้ว
** ผู้ชนะจะไม่เป็นหนี้อะไรใคร เนื่องจากพระบิดาดูแลเขาอยู่และเขาจะไม่มาถึงความยากลำบากที่เกินความอดทนของเขาหรือไม่มีทางออก ส่วนผู้เชื่อที่อยู่ในระดับเด็กเมื่อขัดสน เราก็ควรยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพราะเห็นแก่อาการเด็กฝ่ายวิญญาณที่ต้องถูกตีสอนอยู่เสมอ
13:9 พระบัญญัติกล่าวว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘ท่านจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
** พระบัญญัติมากมาย รวมอยู่ในข้อเดียว คือ "รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"
13:10 ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย เหตุฉะนั้นความรักจึงเป็นที่ให้พระราชบัญญัติสำเร็จแล้ว
** ถ้าหากพระคริสต์ก่อร่างขึ้นในเรา เราจะเน้นการกระทำทุกสิ่งด้วย "ความรัก" การกระทำทุกสิ่งโดยไม่มีความรักก็ไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับพระเจ้า แต่การกระทำทุกสิ่งด้วยความรัก เราก็ได้ทำให้พระบัญญัติสำเร็จแล้วในชีวิตของเรา
13:11 นอกจากนี้ท่านควรจะรู้กาลสมัยว่า เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่เราควรจะตื่นจากหลับแล้ว เพราะว่าบัดนี้ความรอดนั้นใกล้กว่าเวลาที่เราได้เริ่มเชื่อนั้น
** "ตื่นจากหลับ" คือฟื้นขึ้นมาจากชีวิตที่ตายแล้ว เลิกใช้ชีวิตอาดัมได้แล้ว หรือออกมาจากการกระทำที่ตายแล้ว และตื่นจากความอ่อนแอที่เป็นผลมาจากความตาย
** "ความรอดนั้นใกล้กว่าเวลาที่เราได้เริ่มเชื่อ" คือความรอดที่ครบถ้วน คือร่างกายได้รับสง่าราศี ซึ่งเป็นเวลาที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาแล้ว
13:12 กลางคืนล่วงไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา เหตุฉะนั้นเราจงเลิกการกระทำของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง
** "กลางคืน" คือยุคแห่งความชั่วร้ายเสื่อมทราม
** "รุ่งเช้า" คือเวลาแห่งการเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่คือยุคพันปี
** "ความสว่าง" คือความจริงของพระเจ้าในพระคริสต์ ถ้าหากผู้เชื่อที่ยังไม่ได้พบมานาที่ซ่อนไว้ก็ยังไม่มีอาวุธจริงๆ
13:13 เราจงดำเนินชีวิตให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก มิใช่วิวาทริษยากัน
** "ชีวิตของคนกลางวัน" คือการฝึกดำเนินชีวิตในพระคริสต์ที่มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราให้มากขึ้นด้วยการเน้นที่สนิทบอกรักจนหลงรักพระเยซูในแต่ละวัน
13:14 แต่ท่านทั้งหลายจงประดับตัวด้วยพระเยซูคริสต์เจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำเรอเนื้อหนัง เพื่อจะให้สำเร็จตามความปรารถนาของเนื้อหนังนั้น
** "ประดับตัวด้วยพระเยซูคริสต์เจ้า" ก็คือให้ชีวิตของเราสำแดงพระคริสต์ออกมา
** สิ่งที่เราเก็บสะสมเอาไว้เพื่อบำเรอเนื้อหนัง เราต้องขอพระเจ้าให้ชำระจิตใจเราเพื่อจะไม่เหลือจิตใจที่ยังรักชอบฝ่ายเนื้อหนังอีกต่อไป