ขอบคุณพระเยซูสำหรับความรักพระคุณ พระคุณซ้อนพระคุณพระเมตตาที่พระองค์กระทำเพื่อไถ่เราทั้งหลายที่เคยเป็นคนบาป
ขอบพระคุณพระเยซูที่วันนี้เราคนเก่าตายไป เราคนใหม่เป็นอยู่และเรานำอวัยวะ ของคนใหม่คนนี้มาเพื่อถวายแด่พระองค์เพื่อให้เป็นเครื่องใช้ ในการสำแดงความชอบธรรมของพระองค์ผ่านเรา สรรเสริญพระเยซู
เราขอถวายชีวิตใหม่ ขอถวายความรักจากหัวใจของพวกเราทุกคนเพื่อให้เป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระองค์ เอเมน
ขอบคุณพระเยซูที่ปลดปล่อยเราให้เข้าสู่ชีวิตอิสระ ที่ได้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของพระบัญญัติ จากการกลัวที่จะไม่รอด กลัวเมื่อทำบาปในแต่ละวัน กลัวพระเจ้า กลัวไปหมด กลัวทุกสิ่ง และวันนี้เราเป็นอิสระแล้ว พระองค์ปลดปล่อยเราขอบพระคุณพระเยซู เอเมน
เราขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับกาลาเทียบทที่ 2 ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญมากๆ และเป็นหลักการการดำเนินชีวิตของคริสเตียน แต่ก่อนใช่ไหมเราเชื่อเรารู้จักพระเจ้า เรารู้จักพระเยซูเราไปโบสถ์เราอธิษฐานอ่านพระคัมภีร์ฟังคำเทศนาสั่งสอน ต่อมาก็พยายามเชื่อฟังพระเจ้าพยายามรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ไม่ทำบาป
แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนเราไม่มั่นใจนะครับว่า เอ๋..เชื่อพระเยซูถ้าหากพระยซูมาวันนี้เนี่ยเราจะรอดไหมไม่น่าจะรอดนะ แล้ววันไหนที่เราเชื่อฟังพระเจ้า รักษาพระบัญญัติทำดีไม่ทำบาป เราก็ดีใจนะครับและมั่นใจนะครับ ว่าพระเยซูมาวันนี้ฉันรอดแน่นอน นี่คือความคิดของคริสเตียนทั่วไปเนื่องจากว่าเราได้รับคำสอนที่มาจากข่าวประเสริฐอื่น
สำหรับข่าวประเสริฐอื่นสรุปง่ายๆ แบบนี้ ก็คือมาจากพี่น้องที่สอนผิด เราจะใช้คำว่า พี่น้องจอมปลอม เหมือนภาษาไทยแปลก็ได้ หรือจะใช้คำที่เหมาะกว่าก็ได้ ก็คือ false brothers ก็คือสอนผิด ผิดเพี้ยนจากความจริง เพราะฉะนั้นมีคำหนึ่งที่น่าสนใจ กลุ่มพี่น้องจอมปลอมหรือพี่น้องที่สอนผิดเนี่ย ไม่ใช่กลุ่มเทียมเท็จ ไม่ใช่พยานพระยะโฮวาห์ หรือมอร์มอน หรือใครก็ตาม ที่มีพระเยซูเป็นพระเจ้า หรือเป็นผู้เผยพระวจนะ
แต่พี่น้องจอมปลอม ในที่นี้ ก็คือคริสเตียนเรานี่เอง ทำไม เนื่องจากว่าเปาโลใช้คำว่า พี่น้อง เห็นไหมครับพี่น้องที่สอนผิด
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่เป็นพี่น้องของเรา ที่เป็นผู้เชื่อนี่แหละ ที่เรียกว่าคริสเตียนนี่เเหละ เมื่อสอนผิดก็ถูกเรียกโดยพระเจ้าว่าเป็นพี่น้องจอมปลอม หรือพี่น้องที่สอนผิดเพี้ยน และปัญหาใหญ่ของพี่น้องจอมปลอมในหนังสือกาลาเทีย ก็คือชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสเตียน
อย่าลืมว่าเปาโลเองก็เป็นชาวยิวเหมือนกัน และมีชาวยิวมากมายหลายพันคนที่กลับใจในตอนนั้น และเขาก็ยังสับสนในความเชื่อ เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐ เขาเมื่อก่อนชาวยิวนับถือศาสนายิวแล้วก็ต้องไปที่พระวิหารเพื่อถวายเครื่องบูชาต่างๆ และต้องถือ 3 สิ่งนี้ สำหรับชาวยิวรักษากฎเกณฑ์พระบัญญัติ และมี 3 สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เขาถือรักษาปฏิบัติ
เรื่องที่ 1. ก็คือเรื่องการเข้าสุหนัต ยิวทุกคนจะต้องเข้าสุหนัตไม่เข้าไม่ได้ ซึ่งเป็นผู้ชาย
เรื่องที่ 2. ก็คือเรื่องสะบาโต การรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับชาวยิว 1. ก็คือเรื่องสุหนัต 2. ก็คือสะบาโต
เรื่องที่ 3. ก็คือเรื่องการถือวันเดือนถือปี เช่นเทศกาลต่างๆ กินการดื่ม การถือวันเดือนปี การกินการดื่ม 3 สิ่งนี้
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก สำหรับยิวและเมื่อเขาเป็นคริสเตียนเขาก็ไม่ทิ้งสิ่งเหล่านี้เนื่องจากว่าเขาไม่เข้าใจ แล้วเขาก็นำไปสอนผู้เชื่อคริสเตียนที่กลับใจ
เนื่องจากว่าเปาโลเดินทางไปทั่ว แล้วก็ไปประกาศสั่งสอนเรื่องข่าวประเสริฐ แต่ไม่อธิบายมากนัก พอได้รับข่าวประเสริฐอื่นจากคริสเตียนยิว เขาก็เริ่มรักษาเริ่มปฏิบัติและกลัว มีความหวาดกลัวอย่างมากถ้าหากไม่เข้าสุหนัต หรือไม่รักษาสะบาโต หรือไม่ถือการฉลองการกินการดื่ม เพื่อรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ เขาอาจจะไม่รอดเขาคิดแบบนั้น
เราพบว่าทุกวันนี้ ข่าวประเสริฐอื่นก็มาถึงพวกเราใช่มั้ย หลายคนคิดว่าถ้าเชื่อฟังพระเจ้าไม่ได้ รักษาพระบัญญัติยังไม่ครบ การถวายยังไม่ดีพอ ฉันอาจจะไม่รอดหรือไม่รักษาสะบาโต หลายคนเห็นมั้ยก็คือเคร่งในการถือวันอาทิตย์ใช่มั้ย พอถึงวันอาทิตย์ก็จะไม่ค้าขาย ไม่เดินทางไม่ทำอะไรมาก
แต่เน้นที่การนมัสการ และไปโบสถ์ ขาดการประชุมการไปโบสถ์ไม่ได้เป็นอันขาด เนื่องจากว่าผู้สอน หรือครูสอน อาจารย์ ศิษยาภิบาลทั้งหลาย เขาก็เน้นว่าต้องมาโบสถ์ต้องมาคริสตจักร ต้องมาร่วมกับพี่น้อง ทำให้พี่น้องคริสเตียนมากมายมีความหวาดกลัว และกลัวไม่มั่นใจเรื่องความรอด
แต่วันนี้ เราขอบพระคุณพระเจ้า โคโลสีบทที่ 2 ข้อที่ 11 ถึงข้อที่ 12 เราจะอ่านกันสักเล็กน้อยกลัวว่าพี่น้องจะไม่เห็นภาพที่ชัดเจน ให้พระคำพระเจ้าเป็นที่ประจักษ์แก่ตาพวกเรา โคโลสีบทที่ 2 :11-12 และข้อที่ 16 ,17
โคโลสี 2:11 ในพระองค์นั้น ท่านได้รับเข้าสุหนัต ซึ่งเป็นการเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำ โดยที่ท่านได้สละกายแห่งความบาปของเนื้อหนังเสีย โดยการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์
โคโลสี 2:12 ได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในบัพติศมา ซึ่งท่านได้เป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วย โดยความเชื่อในการกระทำของพระเจ้า ผู้ได้ทรงบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
โคโลสี 2:16 เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องการถือเทศกาล วันขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต
โคโลสี 2:17 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์
เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขน ก็คือ 1. ตายเพื่อไถ่บาปเราทุกคน 2. การบัพติสมา
1. พระเยซูตายเพื่อไถ่บาปพวกเรา
2. ก็คือการที่พวกเราเชื่อในพระองค์ และยอมรับบัพติสมาเพื่อยืนยันว่าชีวิตของเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ร่วมตายกับพระเยซู และร่วมเป็นขึ้นมากับพระเยซู
เพราะฉะนั้นสองสิ่งนี้ 1. การตายของพระเยซู และ 2. การรับบัพติสมาของเราเพื่อยอมรับความจริง ก็คือทำให้พวกเราได้เข้าส่วนในพระคริสต์ เข้าไปมีชีวิตในฝ่ายวิญญาณ และจากนี้ไปเรากลายเป็นมนุษย์วิญญาณ เราไม่ถือวันเดือนปี เทศกาลต่างๆ เราไม่ฉลอง
และสะบาโตของเราทุกวันนี้ พระเยซูเป็นสะบาโตของเรา เราถือสะบาโตทุกวัน ก็คือมีสันติสุขทุกวันทุกเวลา ถ้าหากเรามีทุกข์ กลุ้มใจ กระวนกระวาย นั้นคือการไม่รักษาสะบาโตฝ่ายวิญญาณของพวกเรา
และสิ่งที่ 2. เราเข้าสุหนุตไม่ใช้มือมนุษย์ที่เป็นคนทำ แต่พระเจ้าเป็นคนทำให้เราเข้าสุหนัต เราเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณ เราขอบพระคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์เราไม่ต้องถือวันเดือนปี นมัสการวันอาทิตย์เท่านั้นได้มั้ย วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสได้มั้ย วันไหนก็ได้เมื่อไหร่ก็ได้เพราะว่าในวิญญาณไม่มีเวลากำหนดขอบพระคุณพระเจ้า
เราไม่ฉลองเทศกาลนู่นนี่นั่น คือปีละครั้ง อีสเตอร์ ขอบพระคุณ คริสต์มาส อะไรทั้งหลายเราไม่ฉลองอีกแล้ว เพราะว่าเราฉลองการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูทุกวันเมื่อเรานึกได้ และทุกวันทุกครั้งที่เราร่วมสามัคคีธรรม และนมัสการพระเจ้าร่วมกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปาโลต้องการยืนยัน ก็คือสำหรับชาวยิว เขาเห็นความสำคัญของการรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม ต้องรักษาพระบัญญัติอย่างครบ อย่างเคร่งครัด ต้องถวายสิบลด ต้องทำทุกสิ่ง ถ้าหากข้อใดข้อหนึ่งเขาพลาด หรือรักษาไม่ได้ เขาจะนำแกะนำสัตว์นำเครื่องถวายบูชาไถ่บาปไปที่พระวิหารเพื่อขอการชำระจากพระเจ้าและกลับมาเริ่มใหม่
ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาทำสิ่งนี้ตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโตเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เพื่อเขาจะได้รอดและได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า
แต่วันนี้ขอบพระคุณพระเจ้า พระบิดาทรงประทับที่พระบัลลังก์แห่งพระคุณแล้ว พระองค์ยกเลิกพระที่นั่งแห่งพระบัญญัติ มานั่งที่พระที่นั่งแห่งพระคุณโดยพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นผู้กระทำทุกสิ่ง ตายเพื่อไถ่บาปเรา และรับเราเข้าส่วนในการบัพติสมาของพระองค์
เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าหากเราเชื่อในพระเยซู พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมเป็นคนที่ดีรอบคอบดีครบ พระองค์รักษาพระบัญญัติเพื่อเราแล้ว และพระองค์ตายเพื่อเราแล้ว เพราะฉะนั้นความชอบธรรมของพระเยซูจะถูกยกให้มาเป็นความชอบธรรมของเรา คุณเชื่อพระเยซูวันนี้คุณได้กลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากับยิวที่เคร่งครัดศาสนา ขอบพระคุณพระเจ้า เป็นพระคุณอันล้นเหลือของเรา
เราถ้าหากเราทำบาปในแต่ละวัน แต่พระเจ้ามองมาที่เราสายพระเนตรของพระเจ้ามองเห็นใคร? มองเห็นพระเยซู พระเยซูทุกวันนี้ปกปิดเรา ซ่อนเราอยู่ เราซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เราจำกันได้ใช่มั้ยในหนังสือโคโลสี สรรเสริญพระเจ้า
พระคริสต์เป็นคำตอบ พระคริสต์เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการ พระคริสต์ทำให้เราเข้าส่วนในความรอด เข้าส่วนในความชอบธรรมของพระองค์ เราจึงกลายเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยที่ไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ โดยที่ไม่ต้องถือวันเดือนปี ฉลองเทศกาลต่างๆ โดยที่ไม่ต้องเข้าสุหนัต เพราะว่าเราเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณแล้ว และโดยที่ไม่ต้องรักษาสะบาโตเย็นวันศุกร์หกโมง จนถึงเย็นวันเสาร์หกโมง
แต่สะบาโตของคริสเตียนพวกเรา คือฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในสันติสุขทุกวันเวลา เรามีแม่น้ำแห่งชีวิตของพระคริสต์ที่อยู่ในเรา ขอบพระคุณพระเจ้าพระองค์ตั้งเราไว้ให้เป็นยิวฝ่ายวิญญาณแล้ว สรรเสริญพระเยซู
สำหรับข้อที่ 1. ผมไม่ได้เขียนคำอธิบายแต่พี่น้องบางคนอาจจะข้องใจว่าเปาโลพูดถึงเรื่องอะไร
"แล้วสิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม" ถามว่าท่านไม่เคยขึ้นไปเหรอ ขึ้นครับผม
ให้เราอ่านดีๆ
"แล้วสิบสี่ปีต่อมาข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก"...ขึ้นไปอีก "และพาทิตัสไปด้วย"
เปาโลเดินทางไปประกาศกับคนต่างชาติทั้งแผ่นดินทั้งในอิสราเอล และทั้งอาณาจักรโรมัน และสิบสี่ปีต่อมาท่านก็ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก ครั้งนี้ก็คือพาบารนาบัสไปด้วยแล้วก็ทิตัสด้วย
..
สำหรับข้อที่ 2. เป็นเรื่องที่สำคัญมากและขอบพระคุณพระเจ้า ผมอยากจะหนุนใจพี่น้องในวันนี้ เปาโลพูดว่า "ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าและข้าพเจ้าได้เล่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ชนต่างชาติให้เขาฟัง"
แต่..มีแต่ "แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นส่วนตัวเกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกันหรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์"
สำหรับตรงนี้ การรับใช้ เดินทางไปไหนมาไหน และการประกาศกับใคร หรือไม่กับใครของเปาโล ทุกสิ่งเน้นที่การสำแดง และการนำพาของพระเจ้าเป็นหลัก นี่คือตัวอย่างของการก่อชีวิต และการรับใช้ด้วยทองคำเงิน และเพชรพลอย ท่านจะไม่อาศัยอารมณ์ความรู้สึก และจิตของตนเป็นสิ่งนำพา แต่มาจากการนำพาของพระวิญญาณทุกครั้ง
สรุป...ก็คือการกระทำการรับใช้ทุกสิ่งที่ไม่มีการสำแดง และการนำพาของพระเจ้า เรียกว่าอะไรครับ คือการเข้าส่วนในการวิ่งแข่งที่ 'ไร้ประโยชน์' คือการวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ มันไม่มีประโยชน์
ผมเป็นคริสเตียนเป็นผู้รับใช้เป็นศิษยาภิบาล ผมกระตือรือร้นรักพระเจ้า ร้อนรน ทำ ทำ ทำ เพื่อพระเจ้า ตลอดชีวิตดิ้นรนพยายามให้เป็นคริสเตียนที่ดี แต่ผมก็ล้มเหลว แต่ผมก็คือไม่ท้อก็ทำต่อไป ทำ ทำ ทำ ไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเมื่อมาถึงพระคำล้ำลึก เมื่อได้เข้าใจว่าการใช้ชีวิต การรับใช้ การนมัสการพระเจ้าต้องใช้คนใหม่ที่พระเจ้าประทานชีวิตใหม่ให้ และใช้อวัยวะใหม่ และการกระทำทุกครั้งต้องเป็นมาโดยการนำพาการสำแดงของพระเจ้า การวิ่งแข่งของผมจึงจะไม่ถูกเรียกว่าการวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์
ขอบคุณพระเจ้าซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เสียดาย ที่ทำมาตลอดชีวิต ทุ่มเททั้งชีวิต ทรัพย์สิน มันคุ้มค่ามากนะครับแลกกับการได้มารับการเปิดตาในครั้งนี้ ยังมีโอกาสที่จะวิ่งแข่งที่มีประโยชน์ ที่เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของผม และขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพวกเรา
การวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ สรุปก็คือ...การที่เราใช้จิต ใช้อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดของเราเพื่อไปมาประกาศกับใคร หรือไม่ประกาศกับใคร ทำอะไร หรือไม่ทำอะไร ถ้าหากเราทำสิ่งนี้ใช้จิต อารมณ์ ความรู้สึกตัวเก่า มันคือการวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ครับ
...
สำหรับข้อที่ 3. "แต่ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าจะเป็นชาวกรีก เขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต"
สำหรับพี่น้องคริสเตียนยิวสอนให้ผู้เชื่อมากมายรักษาพระบัญญัติเพื่อจะให้ได้รอด เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม และให้เข้าสุหนัตเหมือนพวกเขา
แต่คริสเตียนขอบพระคุณพระเจ้า ไม่ต้องเข้าสุหนัตเหมือนยิว เนื่องจากว่าพวกเราเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณแล้วในพระคริสต์
โคโลสี 2:11 แล้วก็ศาสนายิวยึดถือ 3 สิ่ง 3 สิ่งที่เขายึดถือเป็นหลักที่อยู่ในพระบัญญัติก็คือ 1. การเข้าสุนัต 2. การรักษาวันสะบาโต 3. และการกินดื่มอาหารที่ควรกิน หรือไม่ควรกินเพื่อรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ แล้วก็การถือวันการฉลองเทศกาลถือวันถือเดือนถือปี
สำหรับพวกเราขอบพระคุณพระเจ้าในพระคัมภีร์โคโลสี 2:16-17 บอกว่าเป็นเพียงเงาของสิ่งที่จะมาภายหลัง ก็คือพระเยซูคริสต์ การรักษาพระบัญญัติ การถือสุนัต การเข้าสุนัต การรักษาวันสะบาโต การกินการดื่ม การรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ต่างๆ นะครับ เป็นเงาของสิ่งที่จะมาภายหลัง สิ่งที่จะมาภายหลังก็คือพระเยซู
พระองค์มาเพื่อตายไถ่บาปเรา และนำเราเข้าบัพติสมาเข้าส่วนในพระองค์แล้ว ทุกวันนี้ขอบพระคุณพระเจ้าที่เรามีสิทธิเสรีภาพ เราได้รับเสรีภาพจากพระเจ้า แต่คริสเตียนมากมายจะมาสอดแนมในข้อที่ 4 เราจะเห็นนะครับ คริสเตียนยิวในสมัยนั้นก็ไปสอดแนมดูนะครับว่าความเชื่อของคริสเตียนเป็นยังไง แล้วเขาก็ไปทำให้พี่น้องเหล่านั้นสับสนในความเชื่อ
และทุกวันนี้ก็เหมือนกันมีพี่น้องที่สอนผิดมากมายก็สอดแนม เข้ามาถาม มาคุย มาถกเถียง มาทะเลาะกับเรา มาต่อว่าเรา กล่าวหาว่าสอนผิดเชื่อผิดอะไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาจะสอดแนมแค่ไหนก็ตามขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เรามีเสรีภาพในพระเจ้า เราเป็นอิสระเราไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไปแล้ว คนที่รักษาพระบัญญัติเปาโลเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นทาส เป็นลูกๆ ของนางฮาการ์
แต่เราที่เชื่อเท่านั้นก็ได้รอด และไม่ยุ่งเกี่ยวกับสุหนัตของยิว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสะบาโตของยิว แล้วไม่ถือวันถือเดือนปี ไม่เน้นที่การกินดื่ม เรื่องความสะอาดบริสุทธิ์ที่เป็นความบริสุทธิ์ภายนอกที่พระเยซูพูด ทุกสิ่งที่กินเข้าไปก็คือถ่ายออกมา แต่สิ่งที่ออกมาจากใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่พระเจ้าต้องการ คือพระองค์ประสงค์ความเมตตาไม่ประสงค์เครื่องบูชา
ทุกวันนี้เราเป็นลูกๆ ของนางซาราห์ที่มีอิสระ เสรีภาพในการดำเนินชีวิตคริสเตียนโดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพระบัญญัติ เพราะฉะนั้นขอบคุณพระเจ้าใครจะมาสอนเรา มาบอกเรา มาสั่งเรานะครับว่าต้องรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมและเพื่อจะได้รอด แต่วันนี้เราขอบพระคุณพระเจ้าเราเชื่อในพระเยซูว่าพระองค์ตายเพื่อไถ่บาปเรา และเราเข้าส่วนในบัพติสมาเข้าส่วนในการตาย และการเป็นขึ้นมาของพระองค์ และมีชีวิตในพระองค์และให้พระองค์ดำเนินชีวิตแทนเรา เราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา สรรเสริญพระเจ้าเรารอดแล้ว เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว เราเป็นยิวฝ่ายวิญญาณแล้ว เอเมน
สำหรับข้อที่ 10. เปาโลกล่าวถึง "ท่านเหล่านั้นขอแต่เพียงไม่ให้เราลืมนึกถึงคนจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำ"
เปาโลใส่ใจในความทุกข์ยากความยากจนของพี่น้องผู้เชื่อ และของคนทั่วไป การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นงานหลักของพวกเรา และงานรองที่เราลืมไม่ได้เราต้องนึกถึง ก็คือการช่วยเหลือคนยากจน คนที่ขัดสน คนที่เขาไม่มีอันจะกิน และการช่วยเหลือของพวกเรา สำคัญที่สุด เราจำกันได้ไหม อยู่ที่การนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ที่การสำแดงของพระเจ้า ว่าจะช่วยใคร ช่วยเท่าไหร่มากน้อยแค่ไหน เราจะไม่อาศัยจิตความรู้สึก อารมณ์ ความสงสารของเรา แต่เราอาศัยความร้อนรนกระตือรือร้นอาการที่เกิดขึ้นภายในโดยการนำพาของพระวิญญาณ และการสำแดงของพระเจ้า เราไม่ทิ้งคนยากจน เอเมน
สรุป.. ก็คือพี่น้องที่สอนผิดไม่ใช่กลุ่มเทียมเท็จ แต่เป็นพี่น้อง พี่น้อง ภาษาอังกฤษก็คือ brothers ซึ่งพี่น้องที่สอนผิดเหล่านี้เป็นคริสเตียนที่นำหลักคำสอนเหมือนยิวในสมัยก่อน ก็คือเชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติ เชื่อไม่พอต้องเคร่งครัด ต้องถวายสิบลด ต้องทำนู่นนี่นั่นเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เพื่อที่จะได้รอด การถือสุหนัตการเข้าสุหนัต การถือรักษาวันสะบาโต การถือวันเดือนปี ที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้ไม่มีผลอะไรต่อชีวิตของเรา ถ้าหากเราถือสิ่งเหล่านี้เรารักษาพระบัญญัติ พระเยซูก็ไม่มีประโยชน์อะไร เปาโลพูดนะครับ
ขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เรามาถึงการเป็นคริสเตียนที่มีอิสระได้รับเสรีภาพเต็มที่จากพระเจ้า สรรเสริญพระเยซูพวกเรารักพระองค์
ถาม.
อยากถามที่ว่าเราช่วยเหลือคนยากคนจนคนที่เดือดร้อน คือถ้าเราทำโดยที่เราไม่พูดกับพระเจ้า หรือไม่ขอ คือเราทำตามความรู้สึกของเรา แล้วเราให้คนอื่นเราจะถูกลงโทษไหมคะ
ตอบ.
คำว่า ลงโทษ ไม่มีนะครับ แต่ไม่มีบำเหน็จให้ การทำดีของเราโดยที่ไม่ใช้ตัวใหม่ทำ และไม่มีการนำพา ไม่มีการสำแดงของพระเจ้า
พระเจ้าสั่งนะครับว่าให้ เราจึงให้ พระเจ้าไม่สั่งเรา ก็ไม่ให้ แต่ถ้าหากเราให้นะครับคือบำเหน็จของเรา ก็คือการ ยกยอ ยกย่อง สรรเสริญจากมนุษย์ มนุษย์เห็นหรือคนที่เราให้เขา เขาก็จะขอบคุณมากๆ แล้วก็ดีใจ แล้วก็ยกย่องเรา นี่คือบำเหน็จของเรา
แต่บำเหน็จที่มาจากพระเจ้าไม่มีครับผม เนื่องจากว่าเราก่อสิ่งเหล่านั้นขึ้นด้วยไม้ฟางหญ้าแห้ง
ไม่ต้องเสียดายนะครับ ยังไม่สายเกินไป เนื่องจากว่าตอนนี้เรารู้ความจริง และเราเริ่มต้นใหม่ เราเริ่มนับใหม่ เริ่มให้ เริ่มก่อชีวิต ก่อการรับใช้ ช่วยเหลือคนยากจน ทำทุกสิ่งด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ก็คือด้วยพระเยซูที่อยู่ในเรา ด้วยตัวใหม่ และด้วยความคิดสติปัญญาการนำพาการสำแดงของพระเจ้า คือทองคำ เงิน เพชรพลอย บำเหน็จรางวัลของเราก็จะเริ่มมีนะครับบัญชีของเราในสวรรค์ก็จะเริ่มเปิด
คำพยาน
สำหรับผมนะครับ 18 ปีที่ทำมาทุ่มเทมากๆ ทั้งทรัพย์สิน ทั้งชีวิต ทั้งอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องการใช้ชีวิตฝ่ายโลก ไม่ต้องการที่จะเป็นคนร่ำรวยเหมือนญาติหลายคน ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นเนื่องจากผมเห็นว่าความสุขที่แท้จริง ก็คือสันติสุขที่อยู่ภายใน ก็คือพระเยซูเท่านั้นที่เป็นคำตอบของชีวิตผม แต่ขอบพระคุณพระเจ้า 18 ปีที่ก่อชีวิตก่อการรับใช้ด้วยไม้ ฟาง หญ้าแห้ง แต่ผมไม่เสียดายเพราะว่าพระเจ้าเมตตาผมทำให้มาถึงพระคำล้ำลึก เริ่มใหม่ได้
ถาม.
พูดถึงเรื่องการทรงนำและการสำแดงของพระเจ้ากับเราในการทำสิ่งต่างๆ ขอช่วยขยายความตรงนี้นิดนึง ก็คือในฐานะที่เรามารับมานาใหม่ๆ คือเราจะเรียนรู้ถึงการสำแดง การทรงนำของพระเจ้าแต่ละเรื่องยังไง คือส่วนตัวเข้าใจว่า คือพระวิญญาณจะเคลื่อนในใจของเราให้เรารู้สึกร้อนรนรู้สึกอยากทำนู่นทำนี่อะไรต่างๆ คือถ้าเกิดเราไม่มีความรู้สึกแบบนี้ คือเราไม่ต้องทำอะไรหรือยังไงครับ
ตอบ.
คริสเตียนมากมายแปลกใจว่าเราต้องอาศัยการนำพาการสำแดงของพระเจ้าทุกครั้งเหรอ แล้วที่ผ่านมาล่ะไม่เห็นประสบการณ์ ปรากฏการณ์การนำพาการสำแดงของพระเจ้า คือนานๆ ทีหนึ่งใช่มั้ย
นี่มาจากเหตุผลนะครับ ก็คือสัญญาณเราไม่ดี มันคืออะไรสัญญาณไม่ดี
ถ้าหากเราอยู่ในตัวเมือง คือคลื่นสัญญาณของมือถือมันจะชัดเจนมาก แต่ถ้าหากเราเดินทางไปต่างจังหวัด หรือไปที่ไหนก็ตาม เข้าไปในป่า หรือไปที่ไหนสักแห่งที่มันอยู่ไกล สัญญาณจะไม่ค่อยดี นี่คือตัวอย่าง
อันแรกนะครับสิ่งแรกมีหลายสิ่งด้วยกัน สิ่งแรกการที่เราจะได้รับสัญญาณ ได้ยินเสียงพระเจ้า ได้รับการนำพา การสำแดงของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระทำ การไปช่วยเหลือคนยากจน หรือการทำอะไรก็แล้วแต่ สิ่งแรกที่เราควรจะรู้นะครับ
เราขอบพระคุณพระเจ้า เรามาถึงพระคำล้ำลึก เรารู้แล้วนะครับว่า เรามีผู้ช่วยคนหนึ่ง ผู้ช่วยคนนี้เป็นพระเจ้า เป็นผู้ที่มีสติปัญญา เป็นผู้ที่รอบรู้ แล้วก็เป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ ก็คือพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา พระองค์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่ดีของเรา แต่ทำไมเราไม่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่ได้รับการนำพา ไม่ได้เห็นการสำแดงของพระเจ้า ทำไม เนื่องจากว่าสัญญาณเราไม่ดี
ที่ผ่านมาเมื่อก่อนเราเป็นคริสเตียนศาสนาเราจะเห็นว่าเราไม่มีความผูกพันไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า ถูกมั้ยครับ
เราไม่สนิทกับพระเยซู เราไม่สนิทในพระองค์ พระองค์ก็ไม่สนิทในเรา คนที่สนิทคนที่อยู่ใกล้ แน่นอนที่สุดสัญญาณก็จะดีการพูดคุยมันชัดเจนมาก ไม่ต้องเงี่ยหูฟัง เรานั่งเฉยๆ เราสนิทในพระองค์บอกรักกับพระองค์พูดคุยสนทนาในแต่ละวัน แน่นอนครับปรากฏการณ์ การใกล้ชิดการนำพาการสำแดงของพระเจ้าก็จะมีมากขึ้น
และสิ่งที่สอง เราต้องเข้าใจสิ่งที่สอง ก็คือเราต้องเข้าใจว่าพระเจ้าจะไม่นำพา หรือสำแดงผ่านการพูดผ่านคำพูดของพระองค์เท่านั้น คือคำพูดการพูดของพระเจ้าที่บอกกับเราสั้นๆ บางครั้งบางเวลาเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่พระเจ้าใช้เพื่อสื่อสารกับเรา คอมพิวเตอร์ มือถือ เฟสบุ๊ค ยูทูป คนที่อยู่รอบข้าง เหตุการณ์ที่อยู่รอบข้างที่เกิดขึ้น อะไรก็แล้วแต่พระเจ้าจะทำอะไรหลายๆ วิธีเพื่อสื่อสารกับเรา
สิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ง่ายๆ สำหรับเราพระเจ้าก็จะทำสิ่งนั้น เพียงแต่ว่าเราต้องสังเกต เรียนรู้การสื่อสารของพระเจ้าว่ามีหลายวิธี และสังเกตว่าพระเจ้าต้องการสื่อต้องการบอกอะไรกับเราเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น และการสำแดงการนำพาของพระเจ้าสิ่งที่สำคัญจะมีมากกว่าหนึ่งครั้ง มันจะมีมากกว่าหนึ่งครั้ง ใครมีประสบการณ์แบบนี้มั้ย
คือพระเจ้าต้องการที่จะบอกเราอะไรบางอย่าง ก็คือบอกครั้งแรกเราไม่สนใจไม่ใส่ใจ ก็จะมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ตามมา เพราะฉะนั้นครั้งแรกที่เกิดขึ้นเราก็ถามพระเจ้าได้ แต่ครั้งที่สองปุ๊บเกิดขึ้นเราถามพระเจ้าเลย เราถามพระเจ้าเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการสื่อกับข้าพระองค์ ต้องการบอกข้าพระองค์เรื่องอะไร ต้องการให้ทำอะไร
หรืออยู่ๆ บางคนก็คิดถึงผู้ชายคนหนึ่ง พออีกไม่นานต่อมาก็คิดถึงเขาอีก คือไม่มีเหตุผล แล้วอีกไม่นานต่อมาก็คิดถึงเขาอีกนะครับ นี่คือสิ่งที่เราควรตระหนักเเล้วก็ถามพระเจ้าว่าผู้ชายคนนี้ทำไม มาอยู่ในความรู้สึกความคิดของข้าพระองค์ พระองค์ต้องการให้ข้าพระองค์ไปคุยอะไรไปบอกอะไร แล้วสุดท้ายนะครับพระเจ้าก็บอกให้ประกาศกับเขา หรือถ้าเป็นคริสเตียนพระเจ้าก็จะให้เราไปหนุนใจเขา เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า
1. ก็คือสัญญาณ 2. ก็คือการสื่อสารของพระเจ้าไม่ได้มีวิธีเดียว ก็คือการพูดเท่านั้น พระเจ้าต้องการทำทุกสิ่งทุกวิถีทุกทาง ผ่านมือถือ ผ่านคอมพิวเตอร์ ผ่านผู้คน ผ่านทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างเรา
และสำคัญที่สุดนะครับ สำหรับผม คือถ้าคิดถึงใครแล้วร้องไห้ คือสงสารเขามากคิดถึงเขามาก ร้องไห้มากๆ ซึ่งอาการนี้ไม่เคยเกิด ไม่เคยเป็น ผมไม่ใช่คนที่ร้องไห้ง่ายๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอาการอ่อนไหวอ่อนแอเมตตาสงสารคนอย่างมากมาย ผมก็จะถามพระเจ้าว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะบอกให้ข้าพระองค์ไปทำใช่มั้ย ก็คือไปนะครับ เมื่อเกิดมีอาการร้อนรนภายในจิตใจ กระตือรือร้น ร้อนรน ร้องไห้ สงสาร อาการต่างๆ ที่เหนือธรรมชาติ ที่มันไม่ใช่เรา และนี่คือสิ่งหนึ่งที่เป็นการสำแดงเป็นการนำพาของพระเจ้าครับ
สิ่งที่สำคัญในกาลาเทียบทที่ 2:1-10 ก็คือเราทำทุกสิ่ง การรับใช้ การประกาศ การนมัสการพระเจ้า การใช้ชีวิตประจำวันของเรา เราต้องทำด้วยตัวใหม่ และไม่ใช้ตัวเก่า และการกระทำทุกสิ่งเป็นโดยการนำพา การสำแดงของพระเจ้า เราหลีกเลี่ยงเป็นการหลีกเลี่ยงการวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์
การวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ ก็คือการกระทำของผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ ทั้งผู้นำทั้งพี่น้องคริสตจักร พี่น้องคริสเตียนที่ทำด้วยตัวเก่า และทำด้วยอารมณ์ความรู้สึก ความเมตตา ความสงสาร ความรักที่เขาพอมีกับใครแล้วก็รีบไปทำ วิ่งไปทำ แล้วก็เห็นว่านี่คือผลงานของคริสเตียน ต้องทำนะ ก็ไปทำ แต่พระเจ้าไม่ได้นำพาเขา ไม่สำแดงกับเขาว่าควรจะเป็นหน้าที่ของเขาที่จะไปทำหรือไม่ สุดท้ายมันถูกเรียกว่าการวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์
ถาม.
อจ. ผมเคยฝันว่าผมนั่งอยู่บนน้ำแล้วก็ยิ้ม แล้วก็มีอีกสองคน คนนึงเป็นพี่น้องที่เคยรับใช้ด้วยกัน แล้วอีกคนก็เป็นหลานของผมเอง หลานผมเขานอนอยู่บนน้ำ แต่ว่าผมนั่งแล้วก็ยิ้มแล้วก็มีความสุขมากๆ ในความฝันที่ผมฝันที่นั่งเล่นบนน้ำ มันหมายความว่าอะไรครับ เอเมนครับ
ตอบ.
น้ำ เล็งถึงสองสิ่งในพระคัมภีร์
อันแรกก็คือ สันติสุข แม่น้ำแห่งชีวิตในยอห์นบทที่ 4
และน้ำที่สอง เล็งถึงชีวิต ชีวิตเก่าและชีวิตใหม่ พระเจ้าปลดปล่อยเรานะครับให้หลุดพ้นจากน้ำเก่า ก็คือตายจากชีวิตเรา และเข้าสู่น้ำใหม่ ก็คือชีวิตใหม่
และการยิ้มการหัวเราะนะครับ ขอบคุณพระเจ้าเมื่อเรามีชีวิตใหม่เมื่อเราเป็นคริสเตียนเป็นผู้เชื่อ ของขวัญชิ้นหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้เราฟรีๆ ก็คือสันติสุขครับผม
เราจำกันได้นะครับสมัยที่เป็นคริสเตียนศาสนา เราขาดสันติสุข เราไม่มีสันติสุข เราต้องการสันติสุข เราก็ขอพระเจ้า แต่ตอนนี้เราขอบพระคุณพระเจ้าเราถูกเปิดตา เราพบว่าในโรมบทที่ 5:1 เหตุฉะนั้นเมื่อเราถูกนับว่าชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว พวกเราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
เมื่อเราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ เมื่อเราเชื่อพระเยซู เชื่อเข้าในพระองค์ ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมแล้ว สิ่งที่ตามมาที่พระเจ้าประทานให้นะครับ พวกเราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์
มีพี่น้องคนหนึ่งที่ผมไปอ่านข้อความเดิมๆ ของเขาซึ่งเขาเน้นที่พระบัญญัติ เน้นที่ชาวยิวมากๆ เลยนะครับ ผมจำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไรแต่ไม่เป็นไรครับ ก็คือสำหรับเรื่องความสุขเรื่องสันติสุข พระเยซูคริสต์เป็นผู้ประทาน และพระเยซูคริสต์นั่นแหละที่เป็นความสุข เป็นสันติสุขนั้น อย่าเข้าใจผิดนะครับว่าความสุขสันติสุขมาจากเป็นสิ่งหนึ่ง
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าทุกวันนี้เราเข้าใจว่าสันติสุขแท้ที่จริง ก็คือตัวตนของพระเยซูนี่เอง เมื่อพระเยซูไปไหน ความสุขสันติสุขก็เกิดขึ้นที่นั่นก็อยู่ที่นั่น เพราะว่าพระองค์เองเป็นสันติสุขของพวกเรา
สำหรับพี่น้องคนนี้เขาบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องขอสิ เพราะว่าทำไมพี่น้องในมานาพูดถึง เราขอบพระคุณพระเจ้าอย่างเดียวไม่ต้องขอก็ได้ อันนั้นผิดนะครับ เขาเข้าใจผิดหรือเขาไม่ได้อ่านข้อความที่ผมเคยเขียนนะครับ สำหรับคริสเตียนพวกเรา สิ่งไหนที่พระเจ้าสั่งให้ขอ เรายังขอได้ สิ่งไหนที่เรารู้ว่าพระเจ้าประทานให้แล้วเราไม่ขอ เอเมนมั้ยครับ
อย่างเช่นสันติสุข สันติสุขนี้พระเจ้าประทานให้เราแล้วเราไม่ต้องขอ เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์นะครับขอบพระคุณพระเจ้าพระคริสต์เป็นสันติสุขของเรา เรายิ้มนะครับทั้งๆ ที่เรายิ้มไม่ได้ เรายิ้มทั้งๆ ที่เราอ่อนแอ เรายิ้มทั้งๆ ที่เราไม่เห็นว่ามีความสุขมีสันติสุข เมื่อเรายิ้มนะครับก็คือการยืนยันความเชื่อยืนยันความจริงที่เราได้รู้ว่าพระองค์เป็นสันติสุขของเรา แม่น้ำที่เราดื่มกินเราจะไม่กระหายอีกเลยในยอห์นบทที่ 4 ก็จะปรากฏและทำให้เราเข้าสู่ประสบการณ์แห่งสันติสุขในพระเจ้าทันที เราไม่ต้องขอสิ่งนี้
และพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการเราไม่ต้องขอ ขออัญเชิญพระวิญญาณเราขอพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่ ขอให้ข้าพระองค์ได้รับความรอด ขอให้ข้าพระองค์อยู่ในการดูแลของพระองค์ พระองค์ดูแลอยู่แล้ว. ขอบพระคุณเป็นผู้เลี้ยงที่ดีของข้าพระองค์ พระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่ดีของเราอยู่แล้ว. ขอพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการ พระพรฝ่ายวิญญาณพระเจ้าประทานให้เราแล้วเราไม่ต้องขอ.
และถ้าหากพระเยซูสั่งให้เราขอในมัทธิวบทที่ 6:11 ก็คือขอพระองค์ประทานอาหารประจำวัน อันนี้เราขอครับ และขอให้เราจำเริญขึ้นในพระคุณ ก็คือการกระทำของพระคริสต์ให้สำแดงผ่านเราให้มีมากขึ้น อันนี้เราขอครับ เปาโลยังพูดเลยขอให้ท่านทั้งหลายจำเริญขึ้นในพระคุณของพระเจ้า สิ่งไหนที่เรายังขออยู่เราก็ต้องขอครับ แต่สิ่งที่เราไม่ขอเรารู้แล้วนะครับว่าพระเจ้าประทานให้เราแล้วเราขอบพระคุณอย่างเดียว ถ้าพี่น้องคนไหนยังติดต่อกับเขา ก็ไปคุยกับเขานะครับ บอกเขาว่า ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคำล้ำลึก เราขอในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้เรายังขอได้ และเราไม่ขอในสิ่งที่พระเจ้าให้เราแล้วนะครับเสียเวลา
ถาม.
ขอถามต่อนะคะ คือที่ดิฉันเคยช่วยมา มีความรู้สึกว่าดิฉันคิดว่าพระเจ้าตีสอน เพราะว่าดิฉันใช้เงินฟุ่มเฟือยค่ะ คือคิดแต่จะซื้อของซื้อของให้ตัวเองที่ตัวเองอยากได้ แล้วก็ฟุ่มเฟือย คือใช้คนอื่นโดยที่ไม่ขอพระเจ้า บางทีรู้ว่าพระเจ้าเตือนแต่บางครั้งไม่ฟังเพราะเป็นคนดื้อรั้น แล้วคิดว่าตัวเองทำดีแต่ไม่เคยขอกับพระเจ้า เพราะพระคำพระเจ้าบอกว่าทุกอย่างเป็นของพระองค์ ถึงจะเป็นชื่อของเราก็เป็นของพระเจ้า รถจะเป็นชื่อของเราก็เป็นของพระเจ้า แต่ก็คือไม่ฟัง พอมีคนโทรมาขอความช่วยเหลือร้องไห้เราก็ให้ทันที เวลาเขาร้องเราก็ร้องตาม ดิฉันก็เลยคิดว่าหรือว่าพระเจ้ากำลังตีสอนดิฉันโดยที่เอางานที่เราได้เยอะแล้วเอาออกไปเเล้วก็ทำให้เราเจ็บป่วยด้วย เหมือนพระเจ้ากำลังจะสอนดิฉันในการใช้จ่ายเงินค่ะ
ตอบ.
สำหรับคดีของเรานะครับ ไม่ใช่เรื่องของการให้ แต่เป็นเรื่องของการใช้เงินของพระเจ้าที่ไม่ถูกวิธี ไม่ใช่น้ำพระทัยนะครับ การตีสอนจะมาจากตรงนี้ครับผม
คือเราเป็นของพระเจ้า พระเจ้าซื้อเราแล้ว พระเจ้าซื้อเรานะครับ และทุกสิ่งก็เป็นของพระเจ้า เราเป็นของพระเจ้าไม่ใช่เพียงแต่ตัวเราเท่านั้น ทรัพย์สินทรัพย์สมบัติลูกภรรยาสามีทุกคนทุกสิ่งที่เราเป็นเจ้าของก็จะกลายเป็นของพระเจ้า อาจจะยังเป็นชื่อของเรา แต่เจ้าของที่แท้จริงของเราก็คือพระเจ้าครับผม
เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิต การใช้เวลา การใช้สติปัญญา การใช้ตัวเก่าตัวใหม่ การใช้ทรัพย์สินทุกสิ่ง ก็คืออยู่ที่การนำพา การสำแดงของพระเจ้า จึงจะเป็นทองคำเงินและเพชรพลอย และไม่มีการตีสอนไม่ถูกกล่าวหาไม่มีคดีครับผม
ถาม.
พอดีผมหลายปีแล้วผมไม่ได้ไปนมัสการกับคริสเตียนศาสนา แต่ว่าผมก็มีบ้างนะบางครั้งอยากไปแต่ว่าภายในวิญญาณเหมือนกับมันต่อสู้กัน ใจหนึ่งผมอยากร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องทางออนไลน์นี้แบบว่าประมาณ 99% แต่ว่าประมาณ 1% เท่านั้นที่อยากไปนมัสการกับพวกเขา ผมก็มีบอกเรื่อยๆ นะว่าจะไปๆ แต่ว่าเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับผมว่าอย่าไป ผมก็ไม่ได้อยากไปนะ แต่ว่าผมก็อยากขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าปกป้องดูแลผมกับการร่วมสามัคคีธรรม แต่ว่าที่ผ่านมาที่ผมเคยไปมันเหมือนกับว่ามันวุ่นวายมากๆ ในจิตใจ ผมก็ไม่รู้เป็นอะไรเวลาที่ผมเข้าไปมันเป็นเหมือนกับว่าผมไม่อยากไปอีกเลยมันเป็นแบบนั้น แล้วก็เสียงดนตรีอะไรมันก็วุ่นวาย ก็ไม่รู้มันเป็นอะไร แต่ว่ามันหงุดหงิดมากๆ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่เคยไปอีกเลย อยากถาม อจ.ว่าผิดไหมครับแบบนี้
ตอบ.
คือสำหรับพี่น้องที่ได้รับการเปิดตาจากพระคำล้ำลึก เมื่อเราเข้าสู่ความจริงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น การที่จะกลับไปร่วมนั่งประชุมนมัสการสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่เป็นในรูปแนวศาสนา แน่นอนครับสิ่งหนึ่งที่รบกวนเรา ก็คือภายในของเรามันรับไม่ได้ คือรับไม่ได้ ไม่อยากมีส่วนร่วมในนั้น แล้วก็ผู้ที่รบกวนเรา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการรบกวนทั้งหลาย ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับผม
เพราะฉะนั้นสำหรับพี่น้องที่รับมานาใหม่ๆ รับการเปิดตาในระดับที่ตื้นๆ นะครับ ก็พอจะไปได้ ยังรักเขา ยังไปผูกพัน ยังไปร่วมนมัสการ อธิษฐานกับเขา นั่งฟังคำเทศนาสั่งสอนเนี่ยไม่มีปัญหา แต่พอเรารับการเปิดตามากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น สุดท้ายคือวิญญาณของเราไม่รับ ไม่รับจริงๆ ปฏิเสธนะครับที่จะรับสิ่งเหล่านั้นเข้ามา เพราะว่าเรารู้แล้วใช่มั้ยว่าเป็นเชื้อยีสต์ เรารู้แล้วเรากินไม่ได้ แล้วเราไม่อยากกินมันไม่อร่อย พูดตรงๆ นะครับมันมีรสขม คือมันกระทบกระเทือนมันรบกวนจิตใจหัวใจของเรา
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นได้นะครับสิ่งที่พระเจ้าต้องการน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเรารับถ้อยคำของพระเจ้า พระคำแห่งความจริง เราสะสมมามากพอแล้ว ก็คือเราไม่น่าจะเกี่ยวข้องหรือไม่ยุ่งเกี่ยวดีกว่า
การนมัสการออนไลน์ที่ไม่ไปพบพี่น้องในมานาได้ไปร่วมกันจริงๆ ทั้งฝ่ายร่างกาย การนมัสการออนไลน์ครั้งเดียวนะครับ การนมัสการออนไลน์ครั้งเดียวก็ยังดีกว่า การนมัสการแบบวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์เป็นพันๆ ครั้ง
มีใครไหมครับที่ไปกินอาหารจากร้านอาหารบางร้านที่รู้สึกว่าไปกินครั้งแรกแล้วก็ไม่ไปอีกเลย ก็คือเนื่องจากว่าอาหารไม่อร่อยหรือร้านไม่สะอาดหรือมีเหตุผลบางอย่างที่เราไปไม่ได้ แล้วเราจะกลับไปกินอีกได้มั้ย แน่นอนครับเราไม่ไป เราไปหากินร้านใหม่ร้านอื่นที่ดีกว่า
สิ่งสำคัญนะครับวันนี้พระเจ้าหนุนใจเรา พระเจ้าเตือนเราให้ทำทุกสิ่ง เพื่อไม่ได้เข้าสู่การวิ่งแข่งที่ไร้ประโยชน์ ก็คือทำด้วยตัวใหม่ ทำด้วยตัวใหม่ แล้วก็ครอบครัว ก็คือมนุษย์วิญญาณ พระกายเที่ยงแท้
ถาม.
อย่างกรณีที่หนูการทำงานของหนูยังอยู่ในจุดที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คืออยู่ในที่ที่เราจะยังต้องคลุกคลีแล้วก็คือทำงานกับพี่น้องที่ยังไม่ได้รับการเปิดตา ไม่ว่าจะเป็นการนมัสการ การใช้ชีวิตทุกๆ อย่างเลยอ่ะค่ะ จริงๆ หนูก็ฝึกเดินกับมานาด้วยแล้วก็คือข้างในจริงๆ ก็คือหนูยอมรับไม่ได้แล้ว แต่ว่าด้วยการทำงานของเราที่เรายังอยู่ตรงนี้ ก็คือหลายๆ ครั้งเราก็ยังอย่างเช่นได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำนมัสการที่คจ.ใหญ่ แล้วก็นำเด็กๆ นำน้องๆ ประมาณนี้ค่ะ แต่ข้างในใจของหนูก็คือหนูไม่อยากทำแต่ว่าก็ยังทำอยู่ แล้วก็ทุกครั้งที่โดยเฉพาะได้มีโอกาสนำนมัสการหรือว่าที่ได้นำอะไรในรูปแบบนี้ ก็คือพระวิญญาณจะเร้าใจหนูค่ะว่าหนูต้องทำในคนใหม่น่ะ ในพระคริสต์และทำในฐานะของคนใหม่ หนูมีวิธีในการที่จะทำยังไงได้บ้างคะ เพราะว่าอย่างเช่นเดือนธันวาคมก็มีคริสต์มาส แล้วหนูก็รู้สึกจริงๆ ไม่ได้อยากร่วมอะไรเลยแต่ว่าเราจะต้องทำด้วย เอเมนค่ะ
ตอบ.
สำหรับเรื่องการยังร่วมอยู่กับพี่น้องที่อยู่ในรูปแนวศาสนา และเขากำลังวิ่งแข่งในลักษณะที่ไร้ประโยชน์ แต่เรานะครับต้องอยู่กับเขาเนี่ย คือจะมีเหตุผลหลายเหตุผลที่เรายังอยู่กับเขาได้
ข้อแรกนะครับ ก็คือพระเจ้าต้องการให้เราอยู่กับเขาเพื่อช่วยเขาให้ได้รับการเปิดตา เพื่อแชร์ เพื่อแบ่งปันมานาที่ซ่อนไว้ให้กับเขา นี่คือเหตุผลแรกที่เรายังอยู่กับเขาได้ ถ้าทนอยู่ได้นะครับ ถ้าใครอยู่ได้ก็เอเมนนะครับ
คือสำหรับบางคน ก็คืออยู่ไม่ได้เลย อยู่ไม่ได้จริงๆ คือมันร้อนมันเกิดอาการที่แบบปฏิเสธที่จะอยู่นะครับ ก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องเหล่านี้นะครับ
แต่กรณีของพี่น้องหลายคนที่ยังอยู่ได้ ก็อยู่ต่อครับ ก็ให้อยู่ต่อ และอย่าลืมนะครับยึดหลักที่สำคัญ ก็คือเพื่อประกาศมานา เพื่อประกาศพระคำแห่งความจริงให้กับพี่น้องที่เราประกาศได้ แน่นอนครับพระเจ้าตอบเราแล้วใช่ไหม ผมไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ
เราอยู่เราทำตัวยังไง ก็คือใช้ตัวใหม่ที่จะนำนมัสการ ใช้ตัวใหม่ที่จะทำทุกสิ่งร่วมกับพี่น้องเหล่านั้น เขาอาจจะทำด้วยตัวเก่าชีวิตเก่า แต่เราทำด้วยตัวใหม่ชีวิตใหม่คนใหม่
แต่ถ้าหากเมื่อเราฟังนะครับ เราก็ต้องใช้วิธีก็คือกลั่นกรอง รับแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่รับสิ่งที่เป็นเชื้อยีสต์ แต่สิ่งที่ดีที่เขาพูดออกมาเราก็ต้องเข้าใจว่ามาจากความคิดมาจากตัวเก่าของเขาที่เป็นคนพูด อาจจะมีสักเล็กน้อยบางครั้งเท่านั้นที่พระเจ้าดลบันดาลดลใจเขาให้พูดบางอย่าง มีนะครับบางครั้ง ที่พระเจ้าต้องการใช้เขาและพูด แต่ที่สำคัญที่สุดนะครับเมื่อเขาใช้ตัวเก่าคนเก่าเนื้อหนังพูด ถ้อยคำที่เขาเชื่อว่าเป็นพระคำของพระเจ้าที่ออกมาจากเขา ส่วนมากนะครับโดยส่วนมากจะมาจากมนุษย์ จะมาจากความคิด มาจากจิตของเขาเอง ไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับผม อาจจะมีเล็กน้อยเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานผ่านเขาได้
ซึ่งเราถือว่านะครับทุกวันนี้คริสเตียนฝ่ายเนื้อหนัง คริสเตียนอาดัม คริสเตียนศาสนา ก็ยังมีการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทำเมื่อพระองค์ทำได้ เมื่อพระองค์มีโอกาสที่จะทำงานทำกิจของพระองค์ในคริสตจักรต่างๆ เพราะว่าพระเจ้ารักทุกๆ คริสตจักร ทุกๆ คนสำหรับพระเจ้า พระเจ้านับ พระเจ้าถือว่าผู้เชื่อทุกคนทั่วโลก ก็คือบ้านหลังใหญ่ของพระองค์ เป็นบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของพระเจ้า
แต่ปัญหานะครับ ก็คือผู้นำคริสเตียนพี่น้องเหล่านั้นเขายังเป็นภาชนะดิน เขายังมาไม่ถึงภาชนะทองคำเหมือนพวกเรา เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้ามองมาที่คริสตจักร สิ่งที่โชว์แสดงต่อพระเจ้าและเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ เมื่อเราถวายสิ่งใดนะครับเครื่องบูชาของเราก็เป็นที่ยอมรับโดยพระเจ้า เมื่อพระเจ้ามองมาเห็นเราเป็นภาชนะทองคำ
เราจำกันได้มั้ยเปาโลพูด ในบ้านหลังใหญ่ของพระเจ้ามีภาชนะสองชิ้น ชิ้นแรก ก็คือทองคำ ชิ้นที่สอง ก็คือภาชนะดิน
ใครก็ตามที่ยังอยู่ในรูปแนวศาสนา ใช้จิต ใช้อารมณ์ ความรู้สึก ใช้สติปัญญาของเขาเพื่อนำพระคำของพระเจ้ามาแบ่งปันมาเผยพระวจนะในคริสตจักร เรียกว่าภาชนะดินครับ ไม่มีบำเหน็จ
แต่สำหรับเรา เราเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาเนี่ย เราใช้ตัวใหม่ คนใหม่ พระคริสต์ทำแทน ก็คือการก่อขึ้นด้วยทองคำเงินเพชรพลอย เราเป็นภาชนะทองคำ
ที่สำคัญนะครับวันนี้เราได้เรียนรู้แล้วใช่มั้ยว่า การกระทำของเปาโลท่านจะไปไหน ไปประกาศกับใคร หรือไม่พูดกับใคร หรือไม่ไป อยู่ที่การนำพาการสำแดงของพระเจ้า เรามีพระผู้ช่วยองค์หนึ่งที่มาอยู่กับเรา ก็คือพระเจ้าองค์สูงสุดก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียนรู้ที่จะสนิทในพระองค์ สื่อสารกับพระองค์นะครับ และเรียนรู้ว่าพระองค์ต้องการพูดกับเราทางไหนบ้างนะครับ
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เตือนเรา เตือนสติเราให้ออกจากคนเก่า ถอดทิ้งคนเก่า มาสวมใส่คนใหม่ สวมชีวิตใหม่
ขอบพระคุณพระเจ้าที่เปาโลเมื่อก่อนเป็นคนเก่า คนเก่าตายไปและคนใหม่ เปาโลคนใหม่ก็เข้ามา
และขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่เราคนเก่าตายไป เราคนใหม่เป็นอยู่ สรรเสริญพระเจ้า
ขอบพระคุณพระองค์ที่เตือนสติเราให้นึกถึง ให้จำให้จดจำ ตลอดเวลาว่าการกระทำของเราตั้งแต่เช้าจนค่ำ เราควรใช้คนใหม่คนนี้เพื่อดำเนินชีวิตอยู่มันจะมีความหมาย
มีความอดทน มีความรัก ความเมตตา ทนอยู่ได้กับทุกสถานการณ์ ทุกเหตุการณ์ ปล่อย ปลง วางได้
มีจิตใจที่เต็มล้นด้วยสันติสุขได้ เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้
ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับวันนี้ เราอาจจะไม่ได้ทำมหาสนิทนะครับ มหาสนิทนะครับเป้าหมายของพระเจ้าที่ต้องการให้เราทำ ก็คือเพื่อจำ เพื่อจดจำ เพื่อ “Do this to remember me” (remember me) จงกระทำสิ่งนี้เพื่อจำเรา เพื่อจดจำเรา ไม่ลืมเรา พูดง่ายๆ สาเหตุมาจากมนุษย์เราเป็นคนขี้ลืม หรือเป็นคนที่ไม่ชอบใส่ใจใช่มั้ย ชอบลืมพระเจ้าบ่อยมากในแต่ละวัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ การเติบโต ที่เติบโตตามกำหนดเวลาของพระเจ้า ก็คือการที่เราเรียนรู้แล้วก็ฝึกในการที่จะจำ remember me ไม่ลืมพระเจ้า
ตื่นนอนตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำนะครับจดจำว่าพระเยซูอยู่กับเรา นับนะครับว่าพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลาและอยู่ในคนใหม่คนนี้ เอเมน