1. การแตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวก
2. ผิดประเวณีฝ่ายร่างกาย
3. การใช้ของประทานที่ขาดความรัก และก่อชีวิต-การรับใช้ไม่เป็น
4. การกิน
5. การนมัสการที่ผิด
...
- ไม่ว่าเราจะทำอะไร ความรักต้องเป็นศูนย์กลางและมาก่อนทุกสิ่ง
...
- ถ้าหากเราจะรักพี่น้องได้ เราต้องรักพระเยซูก่อน เนื่องจากว่าพระองค์เป็นแหล่งรักอะกาเปที่อยู่ภายในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เปาโลเขียนเพื่อเตือนให้คริสตจักรในเมืองนี้รู้จักน้ำพระทัยของพระบิดา ผู้เชื่อควรใส่ใจเรื่องความรักที่มีต่อพระเยซูเพื่อเราจะทำ 5 ข้อนี้ได้
...
ชาวเมืองโครินธ์เป็นคนต่างชาติ นับถือหลายศาสนา ซึ่งมีทั้งทำพิธีกราบไหว้พระและพูดกระตุกลิ้น เมื่อพวกเขากลับใจต้อนรับพระเยซู พวกเขาก็ ตกอยู่ในรูปแนวศาสนา เป็นศาสนาคริสต์เท่านั้น พวกเขาแตกแยกแบ่งแยกไม่ลงรอยกัน ยกผู้นำ 4 คนให้เป็นผู้นำกลุ่มของพวกเขา ซึ่งผู้นำเหล่านั้นไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลย ผู้ปกครองคริสตจักรจึงเขียนจดหมายถึงเปาโล พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงเร้าใจเปาโลให้เขียนเตือนพวกเขา และถ้อยคำทุกถ้อยคำในหนังสือเล่มนี้คือการเขียนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านเปาโล นั่นเอง
ขอบพระคุณพระบิดาที่ให้เราได้มีชีวิตใหม่อีกวันหนึ่ง และอยู่เพื่อวันนี้เท่านั้น เพื่ออยู่ในสะบาโตของพระองค์ อยู่ในความรักของพระองค์ และอยู่ใต้ร่มพระคุณของพระองค์ ซึ่งก็คือการทำกิจอยู่ในพวกเราตลอดเวลา ทั้งวันเพื่อให้เราได้รับการก่อขึ้น และเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซู พระเยซูเรารักพระองค์
ประเด็นแรกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในคริสตจักรนี้ เนื่องจากว่าพระองค์รักผู้เชื่อในเมืองนี้เหมือนรักทุกๆ คน และมีพระประสงค์ให้พวกเขามีนิสัยเป็นเหมือนพระเจ้าของเราซึ่ง ก็คือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกับพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเจ้าเป็นพระเจ้าเดียว แต่ในพระเจ้าเดียวนั้นมี 3 พระภาค พระองค์เป็นหนึ่งเดียวไม่เป็นสองไม่เป็นสาม พระองค์อยู่ในกันและกันไม่เคยพรากจากกันไปไหนเลย การเป็นหนึ่งเดียว คือหัวใจของพระเจ้า เนื่องจากว่าพระเจ้ามีความคิดเดียวพระองค์ทั้ง 3 จึงเป็นหนึ่งเดียวได้
ชาวเมืองโครินธ์เป็นชาวต่างชาติที่มีหลายศาสนา และมีหลายชนชั้น เมื่อพวกเขากลับใจเป็นคริสเตียน มีหลายสิ่งที่พวกเขานำเข้ามาปฏิบัติภายในคริสตจักร และสิ่งแรกที่เห็นได้ชัดก็คือการแตกแยก แบ่งแยก แบ่งพรรค แบ่งพวก คริสตจักรของพระเยซูพระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนพระเจ้าที่เป็นหนึ่งเดียว
พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวได้เนื่องจากว่าพระองค์ทั้ง 3 ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยองพองตัว และไม่มีอีโก้ เราเห็นชีวิตของพระเยซูที่มาสำแดงพระบิดา คือพระองค์ถ่อมถึงดินมากๆ ไม่ถกเถียง ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อสู้ใคร การที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในเหล่าผู้เชื่อได้ก็คือไม่เย่อหยิ่ง ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยองพองตัว ไม่มีอีโก้ และเราต้องถ่อมถึงดิน เพื่อจะไม่เกิดการถกเถียง ไม่ตอบโต้ และไม่ต่อสู้ใคร
มนุษย์ทุกวันนี้ล้วนแต่เห็นแก่ตัว มักได้ รักตนเองและยกตนเองขึ้น แต่สำหรับพวกเราบุตรพระเจ้า พระองค์มีพระประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตที่เป็นสิ่งที่ตรงข้าม ก็คือไม่เห็นแก่ตัว เรายกทุกคนขึ้นเท่ากัน ทำร่วมกัน ไม่มีใครเด่นดีดังเกินใคร เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องใหญ่เรายอมกันได้ เราเอเมนไปด้วยกันได้ พระบิดาก็จะเรียกเราว่าเป็นบุตรที่รัก และมีบำเหน็จมากมายให้เราทั้งในชีวิตนี้ และในยุคหน้า
...
ทุกๆ คริสตจักรย่อมมีผู้เชื่อที่มีความเชื่อไม่เท่ากัน มีหลายคนยังเป็นเด็ก มีบางคนเป็นหนุ่ม และมีบางคนเป็นพ่อ คริสตจักรที่ถูกก่อตั้งขึ้นงานของพวกเรา ก็คือพ่อและคนหนุ่ม ดูแลเด็กเพื่อให้เขาเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซู
- ภายนอกคริสตจักรมีความทุกข์ แต่ในคริสตจักรของพระเยซูมีความสุข
- ภายนอกคริสตจักรมีการแตกแยก แบ่งแยก แบ่งพรรค แบ่งพวก แต่ในคริสตจักรของพระเยซูมีการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
- อยู่ภายนอกคริสตจักรมีความอบอ้าวอยู่ยาก แต่ในคริสตจักรของพระเยซูมีความอบอุ่นและอยู่เย็นเป็นสุข
แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้ภายในคริสตจักรมีคุณสมบัติเหล่านี้ได้ ก็คือการสามัคคีธรรมด้วยเหตุและผล ด้วยความรักเป็นหลัก ใครที่ยังรักมากไม่ได้ ก็รักน้อย และเน้นที่การสนิทในแต่ละวันต่อไป เพื่อให้รักได้มากขึ้น คนที่มีความรักอากาเปสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นภายในหัวใจของเขา ก็คือการยอมต่ำยอมถ่อม และยอมเสียเปรียบ เนื่องจากว่าเขาได้ตายต่อตัวเก่าไปแล้ว และชีวิตของเขาในวันนี้เป็นของพระเจ้าที่มีพระเยซูคริสต์ครอบครองจิตใจทุกส่วนอยู่
กว่าเด็กจะเติบโตเป็นหนุ่มได้ มันต้องใช้เวลาเหมือนเปาโลที่ต้องใช้เวลานานถึง 10 ปี แต่ถึงอย่างไรเราก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ก็คือการเปลี่ยนแปลงเริ่มเข้ามามากขึ้นมากขึ้นภายในเรา ประเด็นหลักของการอยู่ร่วมกันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ใส่ใจกับพวกเรามาก ก็คือการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แล้วขอย้ำว่า...เราจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไม่ได้เป็นอันขาด...ถ้าหากเราไม่ใช้ชีวิตที่สนิทเพื่อให้เกิดมีความรักอากาเป และเราจะทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ทรงเป็นผู้เป็นกำลังให้เราในเรา
1:1 เปาโล ผู้ซึ่งถูกเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระเยซูคริสต์โดยทางน้ำพระทัยของพระเจ้า และโสสเธเนสพี่น้องของพวกเรา
** อัครสาวก ในพระคัมภีร์เท่าที่บันทึกคือมี 25 คน แต่อัครสาวกคือหนึ่งในของประทานหลายๆชิ้น เปาโลเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าเลือกให้เป็นอัครสาวก อัครสาวก คือผู้เชื่อ ที่พิเศษ ที่ได้นั่ง กิน นอน ไปมาสนิทกับพระเยซูในพระเยซูทุกๆเวลา เพราะฉะนั้นเปาโล มีคุณสมบัติ ที่พระเจ้าเลือก และให้ของประทานเป็นอัครสาวก ทุกวันนี้มีผู้เชื่อมากมายที่พระเจ้าเลือกให้เป็นอัครสาวกได้
1:2 คริสตจักรของพระเจ้าซึ่งอยู่ที่เมืองโครินธ์ แก่คนทั้งหลายที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ ได้ถูกเรียกให้เป็นพวกวิสุทธิชน ด้วยกันกับบรรดาคนในทุกแห่งหนที่ร้องออกพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ทั้งของพวกเขาและของพวกเรา
** คำว่า ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในที่นี้ คือ sanctified by the Blood ชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อทุกคนถูกมองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ holy /saints สำหรับพระเจ้า เราจึงไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป สำหรับพระเจ้า
** สิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับจากการต้อนรับพระเยซูก็คือการถูกชำระให้บริสุทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู เราทั้งหลายจึงได้รับการไถ่ให้รอดจากบึงไฟ พระโลหิตเป็นเครื่องจ่ายหนี้บาปของเราแล้ว เพราะฉะนั้นพระโลหิตก็เพียงพอแล้วสำหรับความรอด เราไม่ต้องพึ่งการปฏิบัติเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติแต่การเชื่อเข้าในพระเยซูต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ตายไถ่บาปแทนเรา เราก็ได้รอดและรอดแล้วรอดเลย
** ผู้เชื่อมากมายที่ เชื่อกันว่าเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องเชื่อฟังเลิกทำบาปรักษาพระบัญญัติถวายสิบลดดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัดจึงจะรอดได้ ความเชื่อนี้คือการดูหมิ่นพระโลหิตของพระเยซูเนื่องจากว่าเขาไม่เห็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ของพระโลหิต
** ทันทีที่เราเชื่อเราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าเรากลายเป็นบุตรพระเจ้า เราได้สวมเสื้อตัวที่ 1 และเสื้อดังกล่าวก็คือพระคริสต์เยซูนั่นเอง พระองค์จะทำหน้าที่ปกปิดปกป้องเราจากการมองของพระบิดาเพื่อจะตัดสินพิพากษาลงโทษเรา เราจึงขอขอบพระคุณพระเยซูที่ทุกวันนี้เมื่อพระบิดามองมาที่เราพระองค์ไม่เห็นเราแต่เห็นพระคริสต์เยซูและนับว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ และเมื่อเราทำบาปเราก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์และผู้ชอบธรรมอยู่ เพราะว่าสิ่งที่เราทำเรียกว่าคนชอบธรรมไปทำบาปหรือคนที่อยู่ในพระคริสต์หลุดออกไปอยู่ในอาดัมชั่วคราวนั่นเองสำหรับพระเจ้าพระองค์ไม่เคยมองว่าเราเป็นคนบาปตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อเข้าในพระเยซูคริสต์
..
1. เรื่องการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนดั่งพระเจ้าทั้งสามพระภาคเป็นหนึ่งเดียว
2. เรื่องคุณค่าของพระโลหิตที่ทำให้เราเป็น ผู้บริสุทธิ์ ของพระเจ้า
1:3 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของพวกเราและจากพระเยซูคริสต์เจ้า จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
** พระคุณ คือการกระทำของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อไถ่พวกเราจากความผิดบาปจากนรกบึงไฟ และเพื่อไถ่พวกเราจากการทำบาปประจำวันให้เลิกทำบาปได้
ทุกวันนี้มีความบาปชั่วอยู่ที่ไหน พระคุณของพระเจ้าก็มีมากขึ้นที่นั่น มนุษย์ยิ่งเสื่อมทรามตามยุคสมัย พระคุณก็ยิ่งเพิ่มทวีตามการเสื่อมทรามนั้น สำหรับผู้เชื่อหรือคริสเตียนศาสนาพระคุณคือการช่วยไถ่ให้รอดจากบึงไฟ แต่สำหรับผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาสู่พระคำล้ำลึก พระคุณก็คือพระคริสต์ พระคุณก็คือการกระทำ การทำกิจ การเคลื่อนไหว การทำงานของพระคริสต์ที่อยู่ในเราเพื่อช่วยเราทุกด้านเพื่อรักษาเราให้เดินไปตามแผนการของพระเจ้าและเพื่อให้ถึงชีวิตผู้ชนะนั่นเอง
Grace is Christ died on the cross for us to save us from the lake of fire
Grace is Christ doing in us to save us from living in sin
Say to say Grace is Christ himself; christ is grace and grace is Christ
** ผ่านพระเยซูคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผ่านพระเยซูคริสต์ก็คือพระเยซูที่ถูกตรึงบนกางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย ผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือการทำกิจของพระวิญญาณทุกวันนี้เพื่อช่วยผู้เชื่อทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตและการรับใช้ให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระบิดา
** สันติสุข คือพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณที่อยู่ในวิญญาณของเราที่เป็นแหล่งที่ให้สันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลย แต่เราได้เพียงแค่เรารู้วิธีที่จะรับสันติสุขดังกล่าวเมื่อเราขาดสันติสุข
เมื่อพระเยซูย้ายเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเราทางความเชื่อ พระองค์ก็จะขยายอาณาเขตเข้ามาอยู่ในจิตของเรา ซึ่งพระองค์เองคือสันติสุข Christ is Joy and joy is Christ himself in us การที่จะได้รับสันติสุขไม่ใช่ขอแต่คือการเชื่อว่าเรามีแล้วและได้รับแล้ว เราก็จะสัมผัสสันติสุขดังกล่าวทุกวันเวลานาที
** ขอพระคุณและสันติสุขอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด ความหมายก็คือ ขอให้ท่านทั้งหลายถูกเปิดตาได้รู้ว่า ในท่านทั้งหลายมีการกระทำกิจของพระเจ้า และมีสันติสุขที่อยู่ภายในพวกเรา
1:4 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าเสมอเพื่อพวกท่าน เพราะพระคุณของพระเจ้าซึ่งประทานแก่พวกท่านโดยทางพระเยซูคริสต์
1:5 ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างพวกท่านได้รับความบริบูรณ์โดยทางพระองค์ ในการพูดทุกอย่างและในบรรดาความรู้
** คริสตจักรในเมืองนี้ มีผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ซึ่งนักเทศน์ทั้งหลายสอนด้วยถ้อยคำที่เป็นความจริง ที่มีชีวิต และเป็นฤทธิ์เดช แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือการเปิดตา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกรอบนึง ในยุคปัจจุบัน มีหลายคริสตจักร ที่สอนความรู้ที่เป็นความจริง มีชีวิต และเป็นฤทธิ์เดช แต่ยังไม่ได้ถูกเปิดตาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยังเป็นคริสเตียนศาสนา เหมือนคริสตจักรทั่วๆ ไป
1:6 เหมือนกับที่คำพยานของพระคริสต์นั้นได้รับการยืนยันในพวกท่านแล้ว
1:7 จนพวกท่านมิได้ขาดของประทานใด ๆ เลย โดยรอคอยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
** คริสตจักรในเมืองนี้มีพี่น้องผู้เชื่อมากมาย และพระเจ้า ก็ทรงประทานของประทานเกือบทุกชนิดให้แก่พวกเขา
1:8 พระองค์ผู้จะทรงให้พวกท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุดด้วย เพื่อพวกท่านจะได้ไร้ที่ติในวันของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
1:9 พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ซึ่งโดยพระองค์นั้นพวกท่านได้ถูกเรียกมายังการร่วมสามัคคีธรรมกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา
** พระเจ้าทรงยืนยันถึงความรอดที่คริสตจักรในเมืองนี้จะได้รับ ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากคริสตจักรทั่วๆ ไป ถ้าหากเชื่อในพระเยซูคริสต์ ความรอดก็จะเป็นของพวกเขา และจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลย
1:10 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนพวกท่าน พี่น้องทั้งหลาย โดยพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ขอให้พวกท่านทุกคนกล่าวสิ่งเดียวกัน และไม่มีการแตกแยกกันในท่ามกลางพวกท่าน แต่ขอให้พวกท่านถูกเชื่อมต่อกันสนิทอย่างเต็มที่ในความคิดอย่างเดียวกันและในการตัดสินอย่างเดียวกัน
** การแตกแยกแบ่งแยก เป็นสิ่งที่พระเจ้า ไม่พอพระทัย และเป็นเรื่องแรก ที่พระเจ้าต้องการ ให้ทุกๆ คริสตจักร แก้ไข เราจะเห็นว่า เปาโลยกเรื่องการแตกแยกแบ่งแยกขึ้นมาทันที คริสตจักรในเมืองนี้ แบ่งออกเป็น 4 ภาค 4 พวก และอ้างชื่อของผู้นำ ทั้งๆ ที่ผู้นำเหล่านั้น มิได้รู้เห็นเป็นใจกับพวกเขาเลย คือกลุ่มพระคริสต์ กลุ่ม เปาโล กลุ่มอปอลโล และกลุ่มเปโตร
พระเยซูทรงอธิษฐานของพระบิดา ให้ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าหากคริสตจักรไหนทำได้ ตำแหน่งในอาณาจักรก็สูงมาก
1:11 ด้วยว่าสิ่งนี้ได้ถูกเปิดเผยแก่ข้าพเจ้าเรื่องพวกท่าน พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า โดยคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในครัวเรือนของนางคะโลเอว่า มีบรรดาการโต้แย้งกันในท่ามกลางพวกท่าน
1:12 บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ทุกคนในพวกท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นของเปาโล” และ “ข้าพเจ้าเป็นของอปอลโล” และ “ข้าพเจ้าเป็นของเคฟาส” และ “ข้าพเจ้าเป็นของพระคริสต์”
1:13 พระคริสต์ทรงถูกแบ่งออกแล้วหรือ เปาโลได้ถูกตรึงที่กางเขนเพื่อพวกท่านหรือ หรือพวกท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ
1:14 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้ามิได้ให้บัพติศมาแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่าน เว้นแต่คริสปัสและกายอัส
1:15 เกรงว่า ผู้หนึ่งผู้ใดจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ให้บัพติศมาในนามของข้าพเจ้าเอง
1:16 และข้าพเจ้าได้ให้บัพติศมาแก่ครัวเรือนของสเทฟานัสด้วย นอกจากนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าได้ให้บัพติศมาแก่ผู้ใดอีก
1:17 เพราะว่าพระคริสต์มิได้ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ มิใช่ด้วยสติปัญญาแห่งบรรดาถ้อยคำ เกรงว่ากางเขนของพระคริสต์จะถูกทำให้สูญเปล่า
** ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ถึงแม้ว่าเราจะใช้ปัญญา ความสามารถ การเกลี้ยกล่อม โน้มน้าวจิตใจ ไม่ว่าจะวิธีใดๆ ก็จะนำคนมาถึงพระเยซูไม่ได้ ทุกคนที่มาเชื่อพระเยซูที่ได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงคือผลที่ได้จากการทำกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านผู้รับใช้ทุกๆ คน
1:18 ด้วยว่าการประกาศเรื่องกางเขนนั้นสำหรับคนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่สำหรับพวกเราซึ่งรอดแล้วก็เห็นว่าการประกาศเรื่องกางเขนนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า
1:19 เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า ‘เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนรอบคอบสูญสิ้นไป’
** ถ้าหากพระวิญญาณทรงนำผู้ใด ที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเตรียมคำพูด หรือใช้คำพูดที่ดูดี น่าฟัง หรือบางครั้งอาจดูเหมือนโง่เขลา หรือด้อยปัญญา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระเจ้าทำงาน คนที่รับฟังก็กลับใจทันที พระเจ้าทำงานกับผู้รับใช้ที่ใช้คำพูดที่โง่เขลา เพื่อคนที่ฉลาดพูดเก่งจะได้อับอาย
1:20 คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน อาลักษณ์อยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งโลกนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาแห่งโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ
1:21 เพราะว่าหลังจากนั้นในพระสติปัญญาของพระเจ้าโลกโดยอาศัยปัญญาไม่ได้รู้จักพระเจ้า ก็เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าโดยความโง่เขลาแห่งการประกาศที่จะช่วยคนทั้งหลายที่เชื่อให้รอด
1:22 ด้วยว่าพวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญ และพวกกรีกเสาะหาสติปัญญา
1:23 แต่พวกเราประกาศพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น สำหรับพวกยิวก็เป็นหินสะดุด และสำหรับพวกกรีกก็เป็นความโง่เขลา
1:24 แต่สำหรับคนทั้งหลายซึ่งถูกเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีก พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าและพระสติปัญญาของพระเจ้า
1:25 เพราะว่าความโง่เขลาของพระเจ้ามีปัญญายิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย และความอ่อนแอของพระเจ้าก็เข้มแข็งยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
** เนื่องจากว่ามนุษย์มักจะมองว่าเรื่องกางเขนหรือข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นเรื่องโง่เขลา เปาโลจึงเขียนโดยพระวิญญาณว่า เรื่องที่เขาคิดว่าโง่เขลา และเป็นหินที่ทำให้สะดุด นี่แหละคือพระปัญญาของพระเจ้าที่วางแผนงานเพื่อการไถ่บาปมนุษย์ด้วยฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ (1 คร 1:21, 23 - 24)
1:26 ด้วยว่าพวกท่านได้เห็นการทรงเรียกของพวกท่าน พี่น้องทั้งหลาย ว่า มีคนมีปัญญาตามเนื้อหนังน้อยคน มีผู้มีอำนาจน้อยคน มีคนที่มีตระกูลสูงน้อยคน ที่ถูกเรียก
** ข้อ 26 ต่อจาก 25 คือทุกคนที่มองว่าเรื่องกางเขนและข่าวประเสริฐเป็นเรื่องโง่เขลาและเป็นหินสะดุดก็จะไม่ได้ถูกเรียก เพราะว่าพวกเขาพึ่งสติปัญญาของเนื้อหนังเพื่อตัดสินพระคำพระเจ้า ส่วนคนที่ยอมมรับข่าวประเสริฐและการตายบนกางเขนเป็นทางแห่งความหวังก็จะถูกเลือกให้รอดแต่จะมีน้อยคน
1:27 แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งทั้งหลายที่โง่เขลาของโลกเพื่อทำให้คนมีปัญญาสับสน และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งทั้งหลายที่อ่อนแอของโลกเพื่อทำให้สิ่งทั้งหลายซึ่งมีอำนาจสับสน
** การเสด็จลงมาเป็นมนุษย์ของพระเยซูคือการรับสภาพของมนุษย์ที่อ่อนแอ รู้จักหิวและเหนื่อย มีร่างกายที่มีขีดจำกัด ทั้งจะต้องตายที่กางเขน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มนุษย์มองว่าพระเยซูมาเพื่อให้ความหวังแก่มนุษย์ไม่ได้เพราะเขาเป็นบุตรของช่างไม้และสุดท้ายก็ถูกจับเฆี่ยนตีและถูกตรึงตายหลบหนีก็ไม่ได้ พวกคนเหล่านี้จึงมีแต่ความสับสนในความคิดของพวกเขา
1:28 และสิ่งทั้งหลายที่ต่ำต้อยของโลก และสิ่งทั้งหลายซึ่งถูกเหยียดหยาม พระเจ้าทรงเลือกไว้ ใช่แล้ว และสิ่งทั้งหลายซึ่งมิได้เป็น เพื่อกระทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นอยู่แล้วให้ล้มเหลวไป
** คือพระเยซูเสด็จมาบังเกิดในครอบครัวของคนยากจนและต่ำต้อย และถูกเหยียดหยามเมื่อทรงเริ่มออกไปประกาศข่าวประเสริฐ เนื่องจากว่าชาวยิวและต่างชาติโดยส่วนมากจะรอพระผู้ช่วยที่ขี่ม้าขาวมีสง่าราศีเป็นบุตรแห่งกษัตริย์องค์หนึ่ง เมื่อคนเหล่านั้นที่มองพระเยซูและข่าวประเสริฐว่าต่ำต้อย ชีวิตเบื้องปลายก็จะล้มเหลวอย่างแน่นอน
1:29 เพื่อไม่ให้เนื้อหนังใดๆ อวดต่อพระพักตร์พระองค์ได้
** เนื้อหนัง คือสิ่งที่ตกต่ำถูกสาปแช่งแล้ว จึงเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าไม่ได้และมันจบแล้วที่กางเขนสำหรับพระเจ้า สิ่งที่ออกมาจากอุโมงค์เท่านั้นคือพระคริสต์จึงจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าได้ เพราะฉนั้น ชีวิตในพระคริสต์ Life in Christ จึงมีความหมายมากสำหรับผู้เชื่อที่จะต้องศึกษาและขอการเปิดตาจากพระเจ้า
- ชีวิต ในพระคริสต์ คืออะไรกันแน่ ?
1:30 แต่โดยพระองค์พวกท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งโดยพระเจ้าทรงถูกตั้งไว้ให้เป็นสติปัญญา และความชอบธรรม และการแยกตั้งไว้ และการไถ่ถอน สำหรับเราทั้งหลาย
** ข้อนี้คือคำตอบเรื่องการใช้สติปัญญาของพระคริสต์ พระองค์ควรจะเป็นสติปัญญาของเรา เป็นผู้คิดแทนเราตอบแทนเราหาทางออกให้เรา ตัดสินใจแทนเรา พูดแทนเรา
** คำว่า อยู่ในพระคริสต์ มีความหมายที่มีคุณค่ามากสำหรับคริสเตียน ซึ่งผู้เชื่อทุกคน เมื่อเชื่อ พระเจ้าเป็นผู้นำเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ และชีวิตของเรา จะเริ่มเข้าสู่การเดินทางในเส้นทางสายใหม่ อยู่ภายใต้ร่มพระคุณ ความรัก การปกป้อง ปกปักรักษา ดูแลช่วยเหลือ ทุกสิ่ง และที่สำคัญก็คือ ในพระคริสต์ มีความรอด มีสันติสุข มีพระพร มีการยกโทษบาป มีการบังเกิดใหม่ มีการได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีการก่อขึ้น มีการเปิดตา มีชีวิต มีพลัง และวิธีที่จะรับทุกสิ่งก็คือเชื่อว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เริ่มจากการเข้าอยู่ในพระคริสต์เมื่อพระเยซูตายบนกางเขน เข้าไปในอุโมงค์เมื่อพระเยซูถูกฝัง ออกมาจากอุโมงค์เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมา ดำเนินชีวิตในแต่ละวันเมื่อพระเยซูเป็นวิญญาณที่อยู่ในเรา เพราะฉะนั้นเราไม่อาจจะอวดอะไรใครได้เกี่ยวกับตัวเราชีวิตเราสติปัญญาของเรา เราอวดได้เพียงแต่พระคริสต์เท่านั้น
** พระคริสต์ทรงเป็นความชอบธรรมของเราคืออะไร คือ
1. พระองค์เป็นความชอบธรรมเพื่ออดีตของเรา คือวิญญาณได้รับการไถ่ ซึ่งเราได้รับเมื่อกลับใจเชื่อ เราจึงได้รับการชำระด้วยพระโลหิตและได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรพระเจ้าเรามีพระคริสต์เป็นผู้ปกปิดเราจากการพิพากษาของพระเจ้า
2. พระองค์เป็นความชอบธรรมเพื่อปัจจุบันของเรา คือจิตที่ได้รับการก่อขึ้นหรือครอบครองโดยพระคริสต์เพื่อการเข้าสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูที่จะดำเนินชีวิตแทนเรามากขึ้นในแต่ละวัน
3. พระองค์เป็นความชอบธรรมเพื่ออนาคตของเรา คือทั้งร่างกายดินนี้และจิตจะได้รับการชำระและเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดและจะไม่เหลืออะไรที่เป็นของอาดัมอีก จิตที่ใหม่หมดและทำบาปไม่ได้ กายทิพย์ที่ตายและเสื่อมสลายไม่ได้อีก
** การแยกตั้งไว้ sanctification คือการชำระด้วยพระคำเพื่อเปิดตาและนำเราเข้าสู่การเรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อการดำเนินชีวิตถูก รับใช้ถูก และนมัสการพระเจ้าที่ถูกวิธี และพระคริสต์จะครอบครองจิตทั้งหมดของเราทีละน้อยเพื่อให้ทำบาปน้อยลงจนกลายเป็นผู้ชนะซึ่งมาจากการชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง
** การไถ่ถอน redemption คือการเปลี่ยนร่างกายดินสู่กายทิพย์ เพื่อให้มีสภาพอมตะหรือตายไม่ได้อีกต่อไปนั่นเอง
1:31 เพื่อที่ว่า ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘ผู้ที่โอ้อวด จงให้ผู้นั้นอวดในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด’
** การอวด ในที่นี้ คือคนที่ถูกเรียกและนำมาสู่การดำเนินชีวิตในพระคริสต์ เขาจะอวดตัวเขาเองว่ามีส่วนในการงานการไถ่ทั้งหมดของพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนกระทำกิจตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้ายของชีวิตเรา เพราะฉนั้น เราไม่ควรอวดว่า เราก็ดีอยู่ เราก็มีส่วนทำร่วมกับพระเจ้า