ขอบคุณพระเยซูสำหรับหนังสือยอห์น ขอบคุณพระเยซูสำหรับความสว่างที่พระองค์นำมาถึงโลกที่เต็มด้วยความมืด และขอบคุณพระองค์ที่นำพวกเรามาถึงความสว่างที่เจิดจ้า ที่ได้เห็นพระคำล้ำลึกของพระองค์ ได้เห็นความจริง ซึ่งเป็นพระคำที่มีชีวิตและเป็นฤทธิ์เดช และขอบคุณสำหรับหนังสือยอห์นบทที่ 5:15-27 ขอบคุณที่พระองค์เปิดเผย ขอบคุณที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาใจ ให้เราได้เห็น ได้เข้าใจ ได้เรียนรู้ และกินอาหารซึ่งเป็นมานาที่มาจากสวรรค์ และนำไปใช้ให้เกิดผลในชีวิตของเราเพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดาแต่เพียงผู้เดียว
...
ข้อที่ 15. เมื่อผู้ชายคนนี้ได้รับการรักษาให้หาย เขาก็ดีใจตื่นเต้นซึ่งเขาหายจากอาการที่ป่วยมา 38 ปีนานถึง 38 ปีเป็นทุกข์ทรมานมาก แล้วพอเขาหายดีเขาก็ตื่นเต้นดีใจเหมือนกับพวกเราที่ได้ความรอดได้รู้จักพระเยซู รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ตื่นเต้นดีใจก็ไปบอกผู้คน ซึ่งเขาไม่รู้ว่าอันตรายจะมาถึงพระเยซู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือแผนการงานของพระเจ้าทั้งสิ้น
...
ข้อที่ 16. เราจะเห็นเหตุผลที่ชาวยิวได้รู้ว่าพระเยซูผู้ที่รักษาอาการป่วยของผู้ชายคนนั้น ซึ่งการกระทำแบบนี้ถ้าทำในวันที่ไม่ใช่ในวันสะบาโตก็ไม่เป็นไรเขาก็ไม่ได้ว่า แต่วันนั้นเป็นวันสะบาโต พระเยซูรักษาเขาแล้วผู้ชายคนนั้นก็หายดี เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวยิวแค้นเคือง แล้วก็ต้องการที่จะข่มเหงและฆ่า เนื่องจากว่าละเมิดสะบาโตเป็นความผิดที่ยิ่งใหญ่
** และสิ่งนี้ผมอยากจะหนุนใจพวกเราเหมือนกัน ชีวิตคริสเตียนพวกเราการละเมิดสะบาโตของพระเยซูก็มีโทษเหมือนกัน
หนักเบาแค่ไหน อันนี้แล้วแต่พระคุณ พระเมตตา ความรักของพระองค์ที่มีต่อเราแต่ละคน
แต่ต้องมีการตีสอนแน่นอน พระเจ้าต้องการให้เรารักษาสะบาโตใหม่ของพระเยซู
คือชีวิตคริสเตียนเกิดมาเราเกิดมาเพื่อจะมีสันติสุขทุกวันเวลานาที เกิดมาเพื่อที่จะมีความสงบสุขอยู่ภายในหัวใจ ภายในจิตใจของเรา
ซึ่งเราจะเห็นว่าคริสเตียนมากมายล้มเหลวใช่ไหม
แต่ขอบคุณพระเยซูที่เราประสบความสำเร็จ เราเลิกกลัวพระเจ้า เราไม่กลัวที่จะไม่รอด เรากล้าเข้ามาหาพระเจ้ามาหาโดยทางพระโลหิต (peace) - (peace in heart) ความสงบสุขภายในหัวใจมันก็เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมได้เรียนรู้บทเรียน 2-3 บท ก็เลิกกลัวพระเจ้า
เลิกกลัวที่จะคงจะไม่รอด คือไม่มีความคิดอันนี้เลยครับ ขอบคุณพระเจ้าความสงบสุขก็เกิดขึ้น แล้วก็มีมาตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้
ผมไม่กลัวพระเจ้า ไม่ใช่ว่าไม่กลัวแบบว่าไม่ยำเกรง ผมไม่กลัวพระเจ้าแต่ผมยำเกรงพระบิดา ยำเกรงพระเยซู
เพราะฉะนั้นเรารักพระองค์เรายำเกรงพระองค์จนตัวสั่น แต่เรื่องกลัวไม่กลัวแล้วเพราะว่าพระเจ้าสั่งให้เราไม่ต้องกลัวกล้าเข้ามาหาพระองค์ทางพระโลหิต เรามีพระโลหิต
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญน่ะครับ ขอให้เราทุกคนมาถึงสะบาโตในฮีบรูบทที่ 4 ขอให้เราทุกคนมาถึงสะบาโตใหม่ สะบาโตฝ่ายวิญญาณและพระเยซูนั่นแหละที่เป็นสะบาโตของเรา
พระองค์เสด็จมาสถิตอยู่ในเรา มาสร้างบ้านอยู่ในเรา พระองค์ก็คือสะบาโตและนำสันติสุขเป็นแม่น้ำแห่งชีวิต เป็นทั้งแม่น้ำเลยน่ะครับ ไม่ใช่เหยือกน้ำไม่ใช่ถ้วยน้ำแก้วน้ำ แต่เป็นทั้งแม่น้ำนึกออกไหมครับ คือลงไปว่ายได้ เราจึงขอบคุณพระเยซูมีความสงบสุขอยู่ภายในหัวใจ มี (peace) แล้วก็มี (joy) ก็คือความชื่นชมยินดี อาการดีใจ ตื่นเต้น เรามีทั้งสองสิ่งนี้แล้ว เราขอบคุณพระเยซู นี่คือสะบาโตใหม่ของเรา
...
ข้อที่ 17. คืออะไร ผู้เชื่อหลายคนน่ะครับ คิดว่าพระเจ้าตอนนี้ก็คือควบคุมดูแลโลกนี้และจักรวาลอยู่ ก็คือการกระทำกิจของพระเจ้า อันนั้นไม่ใช่น่ะครับ คือการงานไถ่แผนการงานไถ่ของพระเจ้าต่อมนุษย์ เพื่อที่จะนำมนุษย์กลับมาสู่ความรอด กลับมาคืนดีกับพระเจ้า และเป็นบุตรพระเจ้าอีกครั้ง นี่น่ะครับคือการทำกิจของพระเจ้าจนถึงทุกวันนี้ และเราก็กระทำ พระเยซูบอกว่าเราก็กระทำ ก็คือ 33 ปีกว่า 33 ปีครึ่งที่พระเยซูเดินไปมาอยู่บนโลกนี้และประกาศข่าวประเสริฐ
พระเยซูตรัสว่าพระบิดาของเรา คำว่าพระบิดาของเรา คำนี้เป็นคำที่ต้องห้าม เป็นคำที่ต้องห้าม ห้ามไม่ให้ผู้ใดพูดคำนี้เป็นอันขาด "พระบิดาของเรา"
ถ้าจะพูดว่าพระบิดาพวกเรารักพระองค์ พระบิดาขอสรรเสริญพระองค์ อันนี้ได้น่ะครับ แต่ถ้าจะพูดว่า MY FATHER / MY ก็คือของเรา / FATHER ก็คือพระบิดา คำนี้เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ของยิว ห้ามมิให้ใครพูดเป็นอันขาด ถ้าพูดก็คือจะถูกฆ่าทิ้ง
เป็นคำสองคำที่ชาวยิวเขาห้ามพูดกัน ก็คือ
1. I AM ก็คือ เราเป็น
2. พระบิดาของเรา คำนี้ใครพูดก็เปรียบเสมือนว่าเขาทำตนเสมอพระเจ้าพระบิดา ซึ่งจะถูกลงโทษอาจจะถึงตายได้
แต่พระเยซูพูดทั้งสองคำนี้ใช่มั้ย เราจะเห็นว่าพระเยซูไปไหนพระเยซูจะตรัสว่า MY FATHER ก็คือพระบิดาของเรา พระบิดา พระองค์ย้ำบ่อยๆ แล้วเป็นคำที่พอชาวยิวได้ยินเขาจะแค้นเคืองมากเพราะเขาจะไม่พอใจ
...
ข้อที่ 19. ความหมายในที่นี้ มีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าที่เราเคยได้เห็นได้อ่านได้เข้าใจ ก็คือการที่พระเยซูเป็นมนุษย์และมีพระบุตรเข้ามาสถิตอยู่ มาบังเกิดอยู่ในร่างของผู้ชายที่ชื่อเยซู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่ดำเนินชีวิตในพระเยซูคนนี้ แท้ที่จริงก็คือพระบิดานั่นเอง เราจะเห็นคำตอบในยอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 57
สรุปก็คือ พระเยซูที่ดำเนินชีวิตในโลกนี้ 33 ปีกว่า คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างกายคนนี้ คนที่พูด คนที่ไปรักษาโรค คนที่เดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐ คนที่กระทำทุกสิ่ง แท้ที่จริงก็คือพระบิดา เราจะเห็นว่าอิมมานูเอล ก็เกิดขึ้นจริง ก็เป็นความจริงตอนนี้น่ะครับ อิมมานูเอล ก็คือพระเจ้าอยู่ท่ามกลางเราทั้งหลาย ก็คือพระเจ้าพระบิดาเดินไปมาอยู่บนโลกนี้ท่ามกลางชาวยิวทั้งหลาย
...
ข้อที่ 20. ยังมีงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก สำหรับการทำงานของพระเจ้าเพื่อไถ่โลก ไม่เกี่ยวกับการควบคุมดูแลจักรวาลในโลกนี้ คือเกี่ยวกับเรื่องการไถ่มนุษย์ไถ่โลกไถ่บาป เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้ากระทำทุกวัน มาจากแรงบันดาลใจอะไร ก็คือ "ความรัก"
เราจะเห็นว่าข้อนี้ตอบว่า เพราะว่าพระบิดาทรงรัก "ทรงรัก" แล้วเราจะเห็นอีกในหลายๆ ข้อ หลายๆ บท ที่บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลก การกระทำทุกสิ่งของพระเจ้า การดูแลผู้เชื่อ การประกาศข่าวประเสริฐ การไถ่มนุษย์เกิดขึ้นเนื่องจากความรักของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก
พระเจ้ารักพระบุตร พระเจ้ารักพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตรก็รักพระบิดา คือทั้ง 3 พระภาครักกันและกัน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก เพราะฉะนั้นเราล่ะ เรามาเป็นพระกายของพระเยซู ฉะนั้นเราก็ต้องมีความรักต่อพระเจ้าพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรักกันและกันด้วย ซึ่งเป็นอวัยวะเดียวกันในพระกายของพระเยซู
ความรัก ขอให้เราตระหนัก จะทำอะไรก็ตาม จะคิดอะไรก็ตาม จะช่วยเหลือใครก็ตาม จะทำดีหรือไม่ดีจะทำอะไรก็แล้วแต่ หนุนใจพี่น้อง หรือจะตักเตือน ขอให้ทำด้วยความรัก
และมีตอนที่พระเยซูบอกนะครับว่าในข้อที่ 20 ก็คือพระบิดาจะทรงสำแดงแก่พระบุตร ซึ่งเรื่องการงานที่ใหญ่กว่านั้นอีก
การงานที่ใหญ่กว่านั้นคืออะไร?
ปกติ ก็คือการงานที่พระเจ้าและพระเยซูทำด้วยกัน ก็คือวางแผนแล้วก็เสด็จลงมาตาย เพื่อไถ่บาปโลก คือการงานของพระเจ้า แต่มีการงานที่พระบิดาทรงสำแดงแก่พระบุตร ซึ่งเป็นการงานที่ใหญ่กว่านั้นอีก
อันนี้คือการงานในยุคพระคุณ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำผ่านผู้เชื่อ ขอย้ำน่ะครับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำผ่านผู้เชื่อทั้งหลาย และการงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือ การที่ผู้เชื่อทั้งหลายพระเจ้าใช้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ร่างกายของเขา ใช้ปากของเขา ใช้ลิ้นของเขา เพื่อไปประกาศ นำคนมาถึงพระคุณของพระเจ้าให้ได้รับความรอด ให้หลุดพ้นจากความบาปและความตาย
และนำเขามา ยังไม่พอ นำเขาทั้งหลายมาสู่การเป็นอวัยวะเดียวกัน เป็นร่างกายของพระเยซูที่เดินไปมาบนโลกนี้ นี่คือการงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก ที่พระเยซูกล่าวถึงในยอห์น 5:20
คำตอบอยู่ที่ยอห์นบทที่ 14:12 พระเยซูตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะกระทำกิจการซึ่งเราได้กระทำนั้นด้วย และเขาจะกระทำกิจการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระบิดาของเรา"
ความหมายก็คือสาวกทั้งหลายจะกระทำในการงานของพระเยซู ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ และพระเยซูตรัสต่อไปอีกนะครับว่า "และเขาจะกระทำการงานทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก" นี่คือคำตอบ
เพราะว่าเราจะไปยังพระบิดาของเรา คือพระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว ถูกตรึงบนกางเขน และผู้ชายชื่อเยซูเป็นร่างกาย ก็จะเป็นกายทิพย์ แล้วเสด็จขึ้นไปอยู่บนสวรรค์อยู่กับพระบิดาที่พระบัลลังก์
ส่วนการงานที่พระเยซูมอบให้สาวกทั้งหลายที่จะกระทำ เป็นการงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือทำให้พวกเรามารวมกัน รวมตัวกันเป็นพระกายของพระเยซู และอยู่ด้วยกันด้วยความรัก เราจะเห็นข้อที่ 20 บอกว่า พระเจ้าทรงรัก จะมีคำว่า "รัก"
แล้วก็สิ่งที่สอง เราเห็นคำที่สอง ก็คือบรรดาการงานที่ใหญ่กว่านั้น ก็คือความรัก ที่มาถึงพระกาย และพระกายก็อยู่ ด้วยกันด้วยความรัก
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์สอนให้เราได้รู้ว่า เราทั้งหลายนี่แหละจะเป็นผู้ที่กระทำการงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก ซึ่งพระเยซูและพระบิดาร่วมกันทำในเมื่อสมัยสองพันปีก่อน ก็คือหน้าที่ของเราแข่งขันทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะให้มีพระกายเที่ยงแท้ก่อเกิดและอยู่ด้วยกันด้วยรัก
...
ข้อที่ 21. อันแรกเราจะเห็นว่า การช่วยให้มนุษย์ที่ตายแล้วและกลายเป็นคนบาป กลับมามีชีวิตและกลายเป็นคนชอบธรรม ก็คือการงานของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค "และพระบุตรก็กระทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนา" เราจะเห็นคำนี้ พระองค์ทรงปรารถนาจะทำให้ผู้ใดรอด ผู้นั้นก็จะได้รอดหมายความว่ายังไง?
พระเจ้าเลือกบางคนหรือ? ไม่ใช่น่ะครับ
พระเยซูเห็นใครรู้จักใคร รู้จักมนุษย์ทุกคน แล้วพระองค์ดูตั้งแต่เขายังไม่เกิดยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้ารู้ว่าใครที่พอได้ยินข่าวประเสริฐ หรือว่าวันสุดท้ายของเขา เขาจะต้อนรับพระเยซู และจะเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา พระเยซูก็ปรารถนา ก็ไปเลือกเอาคนนั้นมา และคนนั้นก็จะมาถึงการตอบสนองการเรียกร้องของพระองค์
...
ข้อที่ 22. เนื่องจากว่าพระเยซูเสด็จลงมาแล้วบังเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู และพระบุตรองค์นี้ ก็คือเป็นผู้ที่ทำกิจ ทำงานประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อช่วยไถ่มนุษย์ให้รอด เพราะฉะนั้นการพิพากษาจึงอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ พระบิดาจึงมอบหน้าที่ให้พระบุตรเป็นคนพิพากษา
งานการพิพากษา ทั้งต่อผู้เชื่อที่พระที่นั่งของพระคริสต์ เราอย่าลืมว่าการพิพากษามี 2 ครั้ง ก็คือ..
ครั้งแรก พิพากษาผู้เชื่อทั้งหลาย ที่พระที่นั่งของพระคริสต์
และการพิพากษาครั้งสุดท้ายครั้งที่ 2 ก็คือ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็คือที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว เป็นหน้าที่ทั้งสองการพิพากษา ก็คือเป็นหน้าที่ของพระบุตรหรือพระเยซูนั่นเอง พระบิดาไม่พิพากษา
...
ข้อที่ 23. "เพื่อคนทั้งปวงจะถวายเกียรติแด่พระบุตร" เราเห็นนะว่าใครที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์และอยู่ในผู้ชายชื่อเยซู พระบุตรใช่ไหม.
เพราะฉะนั้นการงานทั้งหลายที่พระเยซูกระทำและคนที่อยู่ข้างในที่กระทำ ก็คือพระเจ้าในฐานะพระบุตร
ย้ำอีกครั้งว่า เรื่องอาจน่าซับซ้อนไปนิดนึง คือตอนที่พระเจ้าอยู่บนสวรรค์ ก็คือมีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในฐานะของพระบิดา
พระเจ้า 3 พระภาค อยู่ด้วยกันที่พระบัลลังก์ที่สวรรค์ ก็คือมีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในฐานะของพระบิดา
และเมื่อพระเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเป็นผู้ชายชื่อเยซู อยู่ในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู มีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ดำเนินชีวิตอยู่กระทำกิจอยู่ในฐานะของพระบุตร
และสุดท้ายเมื่อมาถึงยุคพระคุณขณะนี้ คนที่ทำงานอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย ก็คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในฐานะของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เห็นไหมว่า คือพระเจ้าไม่เคยพรากจากกันไปไหน อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน เป็นหนึ่งเดียว ไม่เคยพรากจากกันไป เพียงแต่ว่าพระองค์ทำหน้าที่ในฐานะของใคร ในนามของใคร
แล้วตอนนี้ก็คือพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ ยกให้พระเยซูได้รับเกียรติ ให้พระบุตรได้รับเกียรติ ซึ่งพระเยซูตรัสว่า เพื่อคนทั้งปวงจะถวายเกียรติแด่พระบุตร เหมือนกับที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ใดที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตร ก็ไม่ถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ทรงส่งพระบุตรมาแล้ว
เพราะฉะนั้นพระคำข้อนี้เราจะเห็นว่า เราจะพูดว่าสรรเสริญพระบุตรก็ได้ สรรเสริญพระเยซูก็ได้ ข้าพระองค์รักพระเยซูก็ได้ ขอบคุณพระเยซูก็ได้ อะไรก็ได้ที่เอ่ยชื่อเอ่ยนามพระเยซู คือพระบิดาก็ได้รับเกียรติ พระบิดาก็ได้รับความรักเมื่อเราบอกรักพระเยซู พระบิดาก็ได้รับทุกสิ่งที่เราถวายแด่พระเยซู พระเจ้าดีใจมาก ถ้าหากเราเอ่ยถึงพระเยซู พระเยซูๆๆ
พระเจ้าไม่เคยน้อยใจ ก็ในพระเยซู ก็มีพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แล้ว พระองค์จะน้อยใจไปทำไม
ถ้าพระเจ้าจะพูดกับเราตอนนี้ ก็คือ พระบุตรก็คือเรานี่แหละ พระบิดาก็คือเรานี่แหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือเหล่านี้แหละ ก็คือเรานี่แหละที่เป็นสามในหนึ่ง
...
ข้อที่ 24. ในข้อนี้ผมเคยพูดบ่อยมาก คือเอาคำนี้ก่อน ก็คือ เชื่อในพระองค์ เชื่อในพระองค์ก็คือ "เชื่อเข้าใน" หมายความว่ายังไง?
ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าเชื่อเท่านั้น ก็คือเอาชีวิต เอาความคิด เอาหัวใจ เอาเวลา เอาทุกสิ่ง ปักใจไปที่ฝ่ายวิญญาณ ปักใจไปที่ความเชื่อ และปักใจไปที่พระเจ้าพระเยซู ไม่ใช่เพียงแต่คำพูดน่ะครับ ว่า..เออ..เชื่อๆ โอเคเชื่อ...แล้วหลังจากนั้นไม่ทำอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่อ่านพระคัมภีร์ ไม่อธิษฐาน ไม่อยากไปร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้อง
อันนี้เป็นการพูดว่าเชื่อเหมือนที่ซาตานที่เชื่อ แต่ไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ถวายเกียรติ ไม่แสวงหา ไม่ต้องการใกล้ชิด
อย่าลืมน่ะครับเราไม่ใช่ศาสนาคริสต์ เราเป็นบุตรพระเจ้า เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว เราเชื่อเข้าในพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้นพระเจ้าให้เรามีสิ่งหนึ่งที่ทำอยู่เป็นประจำ ก็คือการปักใจไปที่ความเชื่อ และปักใจไปที่พระเยซู และที่ฝ่ายวิญญาณ
...
ข้อที่ 25. แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า เวลานั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คืออะไร?
เวลานี้ใกล้จะถึงแล้วและบัดนี้ก็ถึงแล้ว ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซู ซึ่งก็ทำโดยพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่ได้ยินและต้อนรับพระเยซูก็ได้พ้นจากความตาย เข้าสู่ชีวิต เมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายใน 3 วัน เราทั้งหลายที่ต้อนรับที่เชื่อในพระเยซู ก็พ้นจากความตายเข้าสู่ชีวิต ฮาเลลูยา เอเมน
ขอบคุณพระเยซูเราหลุดพ้น เราพ้นจากความตายแล้ว เราตายแล้วเราฟื้นแล้ว เราหลุดแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อหลุดพ้นจากความตาย ก็คือหลุดพ้นจากบัญญัติ หลุดพ้นจากโลกเก่า หลุดพ้นจากตัวเก่า และหลุดพ้นจากตัวบาปด้วย เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นสิ่งที่เป็นพระคุณมากมาย ขอบคุณพระเยซู
...
ถาม.
** "ผู้ที่ตายแล้ว" คือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและตายฝ่ายวิญญาณ คืออะไรคะ
ตอบ.
ข้อที่ 25. สำหรับพระเจ้ามองมาที่โลกนี้ ก็คือใครก็ตามที่ไม่มีพระเยซู ไม่เชื่อพระเยซู ไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือคนที่ตายแล้ว คือตายฝ่ายวิญญาณ คือเดินไปมาได้ ทานข้าวได้ ทำอะไรก็ได้ ยังพูดได้ ยังดูเหมือนมีชีวิตอยู่ ก็คือชีวิตมนุษย์ แต่ชีวิตพระเจ้าเขาไม่มี เขาคือคนที่ตายแล้วสำหรับพระเจ้า คนตายที่เดินได้ Dead man walking
ย้ำอีกครั้ง สำหรับพระเจ้ามองมายังโลกนี้ ใครก็ตามที่ไม่มีพระเยซู ไม่เชื่อพระเยซูก็คือคนตาย แล้วความดี การกระทำดีของเขาก็คือการทำดีที่ตายแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระเจ้า พระเจ้าให้รางวัลไม่ได้ ให้บำเหน็จไม่ได้ คือให้บำเหน็จแต่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น คือผลตอบแทน
ผมอยากจะให้เราเห็นภาพๆ หนึ่ง ก็คือกฎของพระเจ้า กฎจักรวาล ใครก็ตามที่ไม่มีพระเยซู ไม่เป็นไร และถ้าเขาทำดี เขาเป็นคนตายที่เขาทำดี ความดีของเขาเป็นความดีที่ตายแล้ว พระเจ้าไม่นับ ไม่มีบำเหน็จให้ในยุคหน้า แต่พระเจ้าตอบแทนความดีของเขาและเขาได้รับขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งความดีของเขา เขาจะทำมากมายแค่ไหน สละชีวิต ทรัพย์สิน เงินทอง ความตายเพื่อให้ได้ไปสวรรค์ เพื่อให้ได้รอด ก็คือเป็นไปไม่ได้ ความรอดมีทางเดียวเท่านั้น ประตูมีทางเดียว ทางนั้นก็คือทางเดียวเท่านั้น ทางนั้นก็คือทางพระเยซู
อย่าลืมน่ะว่า ศาสนาไหนก็ตาม ถ้าทำดีก็ได้ดี ทำดีก็ได้ดีเป็นผลตอบแทน พระเจ้าให้ ก็คือพระเจ้ายุติธรรม
...
ข้อที่ 26. ข้อนี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่เราจะเห็นว่า พระบิดามีชีวิตอยู่ในพระคริสต์พระบุตรและพระบุตรก็มีชีวิตอยู่ในเราตอนนี้
ในชีวิตนี้เราอย่าลืมว่าอาดัมเอวาและลูกหลานพลาดไม่มีโอกาสได้รับ แต่ตอนนี้ก็คือเราได้รับผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งพระเยซูนำมาและผลไม้นั้นก็คือชีวิตของพระเยซู ก็คือชีวิตของพระเจ้า ภาษาอังกฤษก็คือ Zoe เราขอบคุณพระเจ้า
อาดัมเอวาลูกหลานหลายยุคหลายสมัย ไม่เคยได้ลิ้มชิมรส ลิ้มชิมรสของชีวิตของพระเจ้าที่หอมหวานที่แสนอร่อย ที่มีแต่สันติสุขและมีพลังยิ่งใหญ่อยู่ในเรา
แต่ตอนนี้เราทั้งหลายที่รับพระเยซู ก็คือรับชีวิตนี้ Zoe โดยง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไร ขอบคุณพระเจ้า
...
อีกอันหนึ่งที่ผมอยากจะหนุนใจพวกเรา
พระเยซูกระทำการงานและตอนนี้พวกเราอยู่ในการกระทำ การงานยิ่งใหญ่ เป็นการงานที่ยิ่งใหญ่ ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก
แต่ไม่เป็นไร มงกุฎ บำเหน็จ พระพร รอเราอยู่ที่อาณาจักรสวรรค์ และฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่ บำเหน็จนี้ มงกุฎนี้ จะไม่มีวันหายไปจากเรา จะอยู่กับเราและจะอยู่บนศีรษะของเราตลอดไป เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูจนชั่วนิรันดร์
ขอให้เราตระหนัก ขอให้เราเห็นความสำคัญของพระกาย เพราะกายคือสิ่งที่พระเยซูต้องการ และพระกายคือการงานที่ยิ่งใหญ่กว่าการงานที่พระเยซูทำอยู่ มีบำเหน็จ รางวัล มีการดูแล มีการคุ้มครอง มีการปกปักรักษา มีการช่วยเหลือเมื่อถึงเวลาคับขัน เมื่อถึงเวลาที่ประตูปิดหมด แต่พระเจ้าเปิดประตูให้ พระเจ้ามีทางออกให้เรา ชีวิตนี้และตลอดไป
เพราะฉะนั้นการงานที่ยิ่งใหญ่การงานที่มีเกียรติ ถ้าเราทำสำเร็จ ก็คือรวมตัวกันรวมกันเป็นพระกายที่เดินไปด้วยความรัก
...
ถาม.
ยอห์น 5:22 และ 5:27 ในที่นี้ ก็คือหมายความว่าหลังจากการพิพากษาครอบครัวของพระเจ้า เเล้วก็การพิพากษาที่พระบัลลังก์สีขาว ก็เป็นบุตรมนุษย์ พระเยซูในฐานะบุตรมนุษย์จะเป็นผู้พิพากษาใช่ไหมคะ
ตอบ.
ใช่ครับผม พระเยซูนะครับที่เดินไปมาอยู่บนโลกนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ และฟื้นคืนพระชนม์ในเวลา 3 วัน ต่อมา ก็คือพระองค์ไปอยู่ที่สวรรค์อยู่กับพระบิดา เพราะฉะนั้นพระเจ้าพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตอนนี้สถิตอยู่ในร่างกายของเยซูคนนี้อยู่บนสวรรค์
เพราะฉะนั้นคนที่นั่งที่พระบัลลังก์ในสวรรค์ตอนนี้ ก็คือร่างกายของพระเยซูนั่นเอง เราเข้าใจกันน่ะ และเมื่อถึงเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาก่อตั้งอาณาจักรพันปี ก็คือเยซูผู้ชายชื่อเยซูคนนี้ ก็จะเสด็จมา แล้วนครเยรูซาเล็ม นครเยรูซาเล็มของแท้จากสวรรค์ก็จะลอยลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ เราจะเห็นผู้ชายชื่อเยซู เดินไปมา ทานข้าวกับเรา ไปไหนมาไหนกับเรา เดินมาหาเรา กอดเรา
และการพิพากษาทั้งสองครั้ง ก็คือผู้ชายชื่อเยซูคนนี้ นี่แหละ ที่เรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะว่าพระองค์เกิดจากมนุษย์ ก็คือเกิดจากนางมารีย์ พระองค์จะเป็นมนุษย์คนนี้ ที่เราจะเห็นตามฝ่ามือฝ่าพระบาทของพระองค์มีรอยตะปู คนนี้นี่แหละครับที่จะพิพากษาผู้เชื่อ และผู้ที่ไม่เชื่อ ในการพิพากษาทั้งสอง
สุดท้ายยังมีสุดท้ายอีก.. หลังจากที่การพิพากษาเสร็จสิ้น พระเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ก็คือเราจะเห็นนครเยรูซาเล็ม และจะมีพระบัลลังก์ และคนที่นั่งอยู่ที่พระบัลลังก์ ก็คือผู้ชายชื่อเยซู ที่เป็นบุตรมนุษย์นี้นี่เอง ซึ่งมีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในร่างกายของพระองค์ เราเข้าใจกันชัดเจนนะครับ
...
ถาม.
มีคำถามอีกค่ะ มีครั้งหนึ่งที่พระเยซูเคยบอกกับสาวกของพระองค์ เมื่อครั้งที่พระเยซูยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์นะคะ บอกว่าพวกเจ้าก็จะได้พิพากษาร่วมกับเรา อันนี้คือหมายความว่ายังไงคะ
ตอบ.
ตอนนี้จะเป็นตอนที่พระเยซูจะนั่งที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว เพื่อพิพากษาคนที่ไม่เชื่อทั้งหลาย
ผู้เชื่อบางคนจะมีส่วนโดยเฉพาะนะครับ พระเยซูให้เกียรติอัครสาวก 12 คน เพื่อร่วมพิพากษากับพระองค์ และยังจะมีอีกจำนวนหนึ่งนะครับ ที่ร่วมนั่งที่บัลลังก์เล็กๆ นะครับ เพื่อร่วมกันเพื่อช่วยงานของพระเยซู
ตอนแรกเราเคยคิดใช่ไหม ตอนแรกๆ ก่อนที่เราจะพบมานา เราอาจจะเคยคิดว่าจะมีคนเป็นล้านๆๆ คน เดินมาที่พระเยซูคนเดียว แล้วก็จะผ่านไป คือผู้พิพากษาก็คือพระเยซูคนเดียว แต่เราจะเห็นในที่นี้นะครับ ก็คือมีอัครสาวก แล้วก็มีสาวกทั้งหลายช่วยงานของพระองค์ด้วยนะครับ คือไม่ใช่ทุกคนที่เดินไปหาพระเยซู จะมีหลายคนที่เดินไปหาสาวกคนนี้ เดินไปหาเปโตร เดินไปหาคนนั้น มาตรฐานของการพิพากษาหลักการพิพากษาไม่ต้องถึงมือพระเยซูก็ได้
...
ถาม.
ผู้อาวุโส 24 คนในวิวรณ์หมายถึงใครคะ
ตอบ.
คือทูตสวรรค์ครับ ทูตสวรรค์ 24 คนนี้ ผู้อาวุโส ก็คือเป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างตั้งแต่เริ่มแรก สร้างตั้งแต่เริ่มแรกเป็นทูตสวรรค์รุ่นแรกๆ แล้วพระเจ้าให้เกียรติ ก็คือตั้งเขาทั้งหลายไว้ที่พระบัลลังก์ของพระองค์
เคยมีคนถามแล้วก็เคยมีคนสอนนะครับว่า ผู้อาวุโส 24 ท่าน ก็คือมนุษย์ มนุษย์เนี่ย ก็คือถามว่ามาจากใคร มาจากไหน อันนี้ก็ไม่มีใครตอบได้นะครับ บางคนก็บอกว่าอับราฮัมบ้าง บางคนก็บอกว่าน่าจะเป็นโมเสสบ้างหนึ่งในนั้น
แต่สำหรับเรา เรามองว่ามนุษย์เหล่านี้เนี่ย ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้อาวุโส ที่จะนั่งที่บัลลังก์รอบข้างพระบิดาพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราเชื่อมั่นเราเชื่อนะครับว่า คือเป็นทูตสวรรค์ตั้งแต่ยุคโบราณกาล ที่พระเจ้าสร้างก่อนยุคเริ่มแรกที่อยู่กับพระองค์ครับ
ถ้าตอนนี้เราจะเห็นใครก็ตามที่อยู่บนสวรรค์ผู้ชนะทั้งหลาย ก็คือได้แค่ยืนนมัสการพระเจ้านะครับ
...
ถาม.
ไม่ใช่อัครสาวก 12 คนใช่ไหมคะ แล้วก็อย่างเช่นช่วงสุดท้าย วาระสุดท้ายนี้ก็จะมีอีก 12 คนอะไรอย่างนี้ แล้วก็จะเป็น 24 คนอย่างนี้ไม่ใช่ใช่ไหมคะ
ตอบ.
อันนี้เราหาไม่พบนะครับ เราหาข้อพระคัมภีร์สนับสนุนไม่พบ เข้าใจความหมายนะครับ คือเราหาไม่พบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโส 24 คนที่เป็นมนุษย์ คือมันไม่มี ไม่มีนะครับ ถ้าสมมุติว่าหนังสือวิวรณ์บอกว่ามีผู้อาวุโส 12 คน อันนี้ก็คือเราเชื่อ เราเชื่อว่าน่าจะเป็นอัครสาวก 12 คน แต่บังเอิญปรากฏว่าหนังสือวิวรณ์ พูดถึงผู้อาวุโสก็คือ 24 คนนะครับ
เพราะฉะนั้นเราเชื่อว่าไม่ใช่มนุษย์นะครับ แล้วผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็คือมนุษย์ไม่เหมาะ ไม่เหมาะที่จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ 24 บัลลังก์อยู่รอบๆ พระบิดา เป็นไปไม่ได้ครับ
...
ถาม.
ขอโทษค่ะเมื่อกี้ที่หนูจะถามก็คือ มันอยู่ในมัทธิว 19:27-28 หมายถึงตรงนี้อ่ะค่ะ ก็คือหมายถึงสาวก 12 คนเลยใช่ไหมคะ ที่ได้นั่งบัลลังก์ 12 ที่ ที่พิพากษาชนอิสราเอล 12 เผ่าค่ะ
ตอบ.
ขอให้เรานึกภาพไปด้วยกันนะครับ ไปถึงยุคพันปีนะครับ ในยุคพันปี ก็คือจะมีกษัตริย์หลายกษัตริย์ และพระเยซูจะเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์
และกษัตริย์เหล่านี้ ก็คือมีอัครสาวก 12 คน เพื่อตัดสิน เพื่อดูแล เพื่อปกครองชาวยิว พระเจ้าเลือกอัครสาวกทั้ง 12 คน ให้ตัดสิน ปกครองดูแลชาวยิว
แต่ขอบคุณพระเยซู ผู้เชื่ออีกจำนวนหนึ่ง เป็นผู้ชนะ ที่พระเจ้าจะเลือกให้นั่งที่บัลลังก์ และตัดสิน ปกครอง ดูแลคนต่างชาติ เราอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นนะครับ เพราะว่าผู้ชนะในโลกนี้มันมีน้อยมาก พระเยซูให้ยิวตัดสินดูแลปกครองยิวกันเอง แล้วพระเยซูให้คนต่างชาติดูแลพวกเรากันเองในยุคพันปีนะครับ
แต่เราไม่รู้นะครับว่า พระเจ้าจะให้พี่น้องชาวไทยเป็นกษัตริย์เพื่อปกครองคนไทยที่ไปอยู่ในอาณาจักร หรือว่าพี่น้องชาวจีน อันนี้เราไม่ทราบ ไม่ทราบนะครับ ก็คือคนต่างชาติดูแลคนต่างชาติกันเอง คือพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่มีระเบียบแบบแผน พระองค์ทำทุกสิ่ง พระองค์มีเหตุผลนะครับ
...
ถาม.
คือเราไม่ทราบว่าเราจะเป็นอะไรใช่ไหมคะ แต่ว่าคือเรารู้แค่ตอนนี้ คือเราแค่ติดสนิท บอกรัก พระเยซูที่อยู่ในเรา แบบนี้ไหมคะ
ตอบ.
ถูกแล้วครับ การที่จะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูและได้รับตำแหน่งที่สูงที่สุด ไม่ใช่ทำงานมากๆ ทำงานเยอะๆ ทำงานบ่อยๆ แต่คนที่จะได้ใกล้ชิดพระเยซูและมีตำแหน่งที่สูงมากที่สุด ก็คือคนที่ใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุด สนิทมากที่สุด บอกรักมากที่สุด นี่คือเคล็ดลับนะครับ
เมื่อคุณบอกรักมากที่สุด คุณก็อยู่ใกล้พระเยซูลึก สิ่งที่พระเยซูต้องการจากมนุษย์จากพวกเราคืออะไร? ความรัก
เรามีภรรยา ผู้ชายมีภรรยา แล้วผู้หญิงก็มีสามี เราต้องการอะไรจากเขาสิ่งแรก ความรักใช่ไหม
พ่อแม่มีลูกต้องการอะไรจากลูก ความรัก ลูกต้องการอะไรจากพ่อแม่ ความรัก
เด็กๆ ทุกวันนี้ทั่วโลกขาดรักนะ เข้าหนีออกจากบ้าน เพราะอะไร เขาขาดรัก เขาไปเล่นเกมเพราะอะไร เขาขาดรักจากพ่อแม่ เขาหนีไปเที่ยวไปทำอะไรเพื่ออะไร เพราะว่าเขาขาดรักจากพ่อแม่ เขาจึงไปหาความรักอยู่ข้างนอก
เพราะฉะนั้นความรักเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการและมนุษย์ไม่ได้รับความรัก
เพราะฉะนั้น เราที่เป็นผู้ชนะ แล้วก็เราก็รู้ดีว่าความรักเป็นสิ่งที่เราต้องการจากกันและกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอให้เรารู้และจำเสมอว่า พระเจ้าต้องการอะไรจากเรา? ก็คือความรัก
ถ้าเรายังนึกไม่เห็นภาพที่ชัดเจน ผมขอย้ำถึงเรื่องมารีย์และมารธาสองพี่น้อง คนหนึ่งขยันทำงาน ขยันทำงาน แต่เหนื่อย แล้วก็ท้อ แล้วก็บ่น แต่อีกคนหนึ่งนั่งติดที่พระเยซู แล้วก็ฟังถ้อยคำของพระเยซู ใส่ใจปักใจไปที่พระเยซู
สุดท้าย คือผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย เขาไม่ทำอะไร เขาแค่สนิท บอกรัก แล้วสุดท้ายพระเยซูก็ยกย่องผู้หญิงคนนี้ จากหนังสือประวัติศาสตร์ของคริสเตียนเราจะเห็นว่ามีการบันทึกถึงผู้หญิงชื่อมารีย์ ที่เป็นน้องสาวของมารธา
คือมารธาไม่มีผลงาน ไม่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน แต่มารีย์มีการบันทึก พูดถึงว่าเขาประกาศข่าวประเสริฐ เขาเดินในความเชื่อจนถึงวันตาย
แล้วพวกเรา พวกเรา อยากในเดินความเชื่อไปจนถึงวันตาย และมีพลังที่จะคอยหนุนเรา เสริมเรา นำเรา กระตุ้นเรา ให้ไปถึงเส้นชัย ก็คือให้เราอยู่ใกล้ชิดพระเยซูเหมือนมารีย์ ติดสนิทเหมือนมารีย์ ใกล้ชิดเหมือนมารีย์ เราจะไปถึงฝั่งได้
แล้วก็ผมขอย้ำไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่บังเอิญที่เรามาพบพระคำล้ำลึกนี้ และไม่ใช่บังเอิญที่เราร่วมกันรวมตัวกัน สามัคคีธรรมทุกวันนี้ ก็คือการงาน คือกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำในเรา ซึ่งหลายคนอาจจะ เออ.. ขี้เกียจบ้าง ไปช้อปปิ้งบ้าง ไปเที่ยวบ้าง ไปนู่นนี่นั่นบ้าง วันอาทิตย์ต้องพักผ่อนบ้างใช่ไหม แต่เรามีหัวใจ เรามีความปรารถนาที่จะเข้ามาสามัคคีธรรม ที่จะเข้ามาหาพระเจ้าเพื่อสนิทในพระบิดา เพื่อเรียนรู้ เพื่อกินมานาที่ซ่อนไว้ซึ่งเป็นอาหารจากสวรรค์
นี่ไม่ใช่บังเอิญครับผม เป็นการงานของพระวิญญาณ แล้วเรานะครับกำลังถูกก่อขึ้น เราอยู่ในกระบวนการ การเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะนำเราถึงชีวิตผู้ชนะ และร่วมกันเป็นพระกายที่มีความรัก เพื่อเราจะร่วมครอบครองกับพระเยซูในยุคพันปี และชั่วนิรันดร์ เอเมนขอบคุณพระเยซู