2:1 ลูกเล็กๆของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมนั้น
** ลูกเล็กๆ ของข้าพเจ้า ในข้อนี้ภาษากรีกคือ Τεκνία เด็กเล็กๆ ทั้งหลายของข้าพเจ้า หรือเด็กน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้า Little Children of me ไม่มีคำว่า “ลูก - sons” แต่ใช้คำว่า children ท่านยอห์นกล่าวถึงผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณซึ่งพวกเหล่านี้อาจมีอายุมากแล้วในฝ่ายร่างกาย
ยอห์นหนุนใจให้พวกเขาแสวงหาการดำเนินชีวิตที่ไม่ต้องทำบาปในแต่ละวันอีกต่อไป
ซึ่งนั่นก็คือกระบวนการการก่อขึ้นของชีวิตพระคริสต์ในผู้เชื่อที่อาจต้องใช้เวลา แต่การทำบาปก็จะค่อย ๆ ลดน้อยลง และถ้าหากผู้เชื่อยังทำบาปพวกเขาก็มีพระเยซูคริสต์ผู้ชอบธรรมทรงเป็นทนายที่อยู่ข้างพวกเขา และพระเจ้าก็ยอมรับ และตั้งพระโลหิตเพื่อการยกโทษบาปในแต่ละวันแก่พวกเขา
2:2 และพระองค์ทรงเป็นผู้ลบล้างพระอาชญาที่ตกกับเราทั้งหลายเพราะบาปของเรา และไม่ใช่แต่บาปของเราพวกเดียว แต่บาปของมนุษย์ทั้งปวงในโลกด้วย
** พระเจ้าทรงตั้งพระโลหิตของพระเยซูไว้เพื่อไถ่บาปของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะพวกยิวเท่านั้น ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระเยซูก็ได้รับพระคุณของพระเจ้าและการยกโทษบาปทั้งหมด
2:3 เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์โดยข้อนี้ คือถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์
** สำหรับผู้เชื่อ พระเยซูทรงประทานพระบัญญัติใหม่แก่พวกเรา และเราควรแสวงหาการดำเนินชีวิตโดยการรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งผู้เชื่อส่วนน้อยที่เข้าใจว่า..
- หนังสือมัทธิว พระเยซูประทานพระบัญญัติแก่ผู้เชื่อ
- แต่หนังสือยอห์น เปิดเผยว่าคนที่รักษาพระบัญญัติใหม่นั้นกลับไม่ใช่ผู้เชื่อ แต่เป็นพระคริสต์ในเราต่างหาก
เราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เดินในทางแห่งบาปในแต่ละวัน แต่เราถูกสร้างเพื่อให้สำแดงชีวิตพระคริสต์ และผู้ที่กระทำในเราก็คือพระคริสต์ ไม่ใช่เรา
2:4 คนใดที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่มิได้รักษาพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นก็เป็นคนพูดมุสา และความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย
** ผู้เชื่อมากมายอาจรัก และยอมรับว่าพระบัญญัติของพระเจ้านั้นดี แต่ไม่ใส่ใจที่จะรักษาพระบัญญัติของพระองค์
ซึ่งตอนแรกก็ใส่ใจ และพยายามรักษาพระบัญญัติ แต่ต่อมาพอเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายจึงเริ่มปล่อยวาง และไม่ใส่ใจอีกต่อไป
เราพบว่า ความจริงไม่ได้อยู่ในคริสเตียนศาสนาเลย ศาสนาคริสต์รู้จักพระเจ้าเพียงแค่คำพูด แต่ชีวิตไม่ต่างไปจากนักแสดงละคร
สิ่งที่ผู้เชื่อควรแสวงหาเพื่อหลีกเลี่ยงการตำหนิของพระเจ้า ก็คือค้นหาความจริงของพระเจ้าด้วยการถ่อมใจเปิดใจ และขอพระวิญญาณเปิดตาเพื่อให้ได้พบความจริงของพระเจ้า และอยู่ในความจริงของพระองค์ และความจริงของพระเจ้าก็อยู่ในเขา
2:5 แต่ผู้ใดที่รักษาพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็สมบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง ด้วยอาการอย่างนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์
** พระวจนะ หรือพระบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ก็คือชีวิตและนิสัยของพระเจ้า ถ้าหากเด็กเล็กๆ ในฝ่ายวิญญาณใส่ใจ ถ่อมใจและให้ความสำคัญเรื่องการดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ความรักของพระเจ้าก็จะสมบูรณ์ในเขาการเติบโตก็จะมีมากขึ้นในแต่ละวัน นี่คือผลที่มาจากผู้เชื่อ “อยู่ในพระคริสต์” “In Christ”
2:6 ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินนั้นด้วย
** เราเกิดมาเพื่อสำแดงชีวิตพระเยซู นี่คือเป้าหมายของการที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม ผู้เชื่อที่แท้จริง คือผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูในแต่ละวัน
เราไม่อาจพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียน หรือสาวกของพระเยซู แต่เรากลับสำแดงชีวิต และนิสัยของซาตาน หรือตัวบาปในแต่ละวัน
- พระเยซูอยู่เพื่อการประกาศเราก็ประกาศ
- พระเยซูอยู่เพื่อรับใช้พระเจ้าและมนุษย์เราก็ทำ
- พระเยซูอยู่เพื่อต่ำถ่อมและยอมเสียเปรียบเราก็เป็น
- พระเยซูอยู่เพื่อยกย่องสรรเสริญพระบิดาเราก็เป็น
- พระเยซูอยู่เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการเสียสละเราก็เป็น ฯลฯ
2:7 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนพระบัญญัติใหม่ถึงพวกท่าน แต่เป็นพระบัญญัติเก่าซึ่งพวกท่านได้มีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเก่านั้นคือพระดำรัสซึ่งพวกท่านได้ยินตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว
** พระบัญญัติเก่า ในที่นี้ ไม่ใช่พระบัญญัติเดิม แต่เป็นพระบัญญัติของพระเยซู (ยน 13:34) เนื่องจากว่าพระบัญญัติเดิมของโมเสสจบแล้ว (โรม 10:4-13)
** พระบัญญัติเก่านั้น คือพระดำรัสซึ่งพวกท่านได้ยินตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ก็คือสาวกและผู้เชื่อทั้งหลายได้ยินได้ฟังขณะที่พระเยซูทรงก่อตั้งพระบัญญัติของพระองค์ใน มัทธิว บทที่ 5-6-7
2:8 อีกครั้ง ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงพวกท่าน ซึ่งสิ่งนั้นก็เป็นความจริงในพระองค์และในพวกท่าน เพราะว่าความมืดนั้นล่วงไปแล้ว และบัดนี้ความสว่างแท้ก็ส่องแสงอยู่
** ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงพวกท่าน คือท่านยอห์นเขียนพระบัญญัติของพระเยซู ในยอห์น 13:34 อีก เพื่อตอกย้ำหรือเตือนผู้เชื่อให้จดจำสิ่งที่พระเยซูเน้น คือให้ รัก ซึ่งกันและกัน เพื่อให้ความสว่างแท้ส่องแสงอยู่ท่ามกลางพวกเขา
2:9 ผู้ใดที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง และเกลียดชังพี่น้องของตน ก็อยู่ในความมืดจนถึงบัดนี้ด้วยซ้ำ
** ผู้เชื่อที่อยู่ในความสว่าง หรืออยู่ในพระคริสต์ที่แท้จริงต้องใส่ใจเรื่อง ความรัก เป็นหลัก และเอารักเป็นใหญ่ เป็นที่หนึ่ง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรหรือทำอะไร อยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าหากเขายังรักไม่ได้หรือรักแต่คำพูด แสดงว่าเขายังไม่ได้อยู่ในความสว่างหรืออยู่ในพระคริสต์ ในด้านประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ เขายังอยู่ในความมืดก็คืออยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม
2:10 ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็ดำรงอยู่ในความสว่าง และไม่มีโอกาสแห่งการสะดุดในผู้นั้นเลย
** การอยู่ในความสว่างหรืออยู่ในพระคริสต์ ต้องเดินด้วยรักเป็นหลักและเอารักเป็นที่หนึ่ง คือการกระทำต่อพี่น้องของตน และคนที่ไม่เชื่อ ถ้าหากเราเดินด้วยรักนำหน้า จะไม่มีใครสะดุดเราได้
2:11 แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และดำเนินอยู่ในความมืด และไม่ทราบว่าตนกำลังไปทางไหน เพราะว่าความมืดนั้นได้ทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
** ไม่ทราบว่าตนกำลังไปทางไหน เพราะว่าความมืดนั้นได้ทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว คือคริสเตียนที่ไม่ได้ถูกเปิดตา เหมือนคนตาบอดที่เดินในทางศาสนาคริสต์ โดยที่เขาไม่รู้ว่าไปทางไหน ผู้เชื่อส่วนมากจะมีประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนตาบอด และมีบางคนเท่านั้นที่ได้รับการรักษาให้หาย และมองเห็นทางแห่งความจริง และเดินไปในทางของพระเจ้า และเขารู้ว่าเขาเดินไปทางไหน
2:12 ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่าน ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าบาปทั้งหลายของพวกท่านได้รับการอภัยให้พวกท่านแล้ว เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
** ลูกเล็กๆ ในที่นี้ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ฝ่ายร่างกาย หรือมีอายุน้อย แต่เป็นผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ
** ทันทีที่เชื่อ พวกเขาก็ได้รับการอภัยบาปแล้วเพราะเห็นแก่พระเยซู ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขาดี หรือน่ารัก หรือเชื่อฟังแต่อย่างใด พระบิดาทรงพอพระทัยที่พระบุตรเชื่อฟัง และยอมตายบนกางเขนเพื่อไถ่บาปโลก วันนี้ผู้เชื่อทุกคนจึงได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น
2:13 ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่าน บิดาทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าพวกท่านได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่าน คนหนุ่ม ๆ ทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าพวกท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่าน ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าพวกท่านได้รู้จักกับพระบิดา
** บิดา ในที่นี้ ไม่ใช่ผู้เชื่อที่มีอายุมาก หรือคนแก่ แต่เป็นผู้เชื่อที่เข้าสู่กระบวนการการก่อขึ้นจนชีวิตสุกงอมเลิกทำบาปได้แล้ว และนานๆ อาจทำบาปทีนึง พวกเขาเกิดผลมากมายถวายแด่พระบิดา
** คนหนุ่มๆ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาและฝึกเดิน เขาผ่านชีวิตที่เป็นเด็กที่สามวันดีสี่วันทำบาป เขาหลุดพ้นจากชีวิตที่ขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาป แต่ก้าวเข้าสู่การรับสุข และรับการก่อขึ้นสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซูได้มากแล้ว มารร้ายไม่อาจมาล่อลวงพวกเขาได้อีก เนื่องจากว่าเขาได้รับการเปิดตาจากพระวิญญาณแห่งความจริง ชีวิตเริ่มจะสุกงอมกำลังจะมาถึงระดับพ่อที่เกิดผลมากมาย
** ลูกเล็กๆ ในที่นี้ ไม่ใช่เด็กเล็กๆ ฝ่ายร่างกาย หรือมีอายุน้อย แต่เป็นผู้เชื่อที่ยังเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ พวกเขารู้จักพระบิดา แต่ยังไม่รู้จักรู้จัก พวกเขายังเป็นคริสเตียนศาสนา และอยู่ในรูปแนวศาสนา เพียงแต่ว่าพวกเขาได้รับความรอดเท่านั้น
คำว่า รู้จักรู้จัก คือได้รู้ความรู้ฝ่ายวิญญาณ ตาวิญญาณถูกเปิด เห็นความสว่างหรือความจริงแห่งพระคำแล้วเดินในความจริงนั้น เขาก็รู้จักพระคริสต์แต่ไม่รู้ว่าพระคริสต์อยู่ในเขา
คริสเตียนเด็ก ถ้าไม่โตสู่พระคำล้ำลึก ก็กลายเป็นศาสนาคริสต์เหมือนพวกเราในเมื่อก่อน และศาสนาคริสต์ในวันนี้
คริสเตียนศาสนารู้จักพระบิดาแต่ไม่รู้จักว่า..
- พระคริสต์อยู่ในเรา
- พระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในเรา
- พระวิญญาณของพระคริสต์ทำกิจอยู่ในเรา
- เขาแยกไม่ออกระหว่างพระวิญญาณกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
2:14 ข้าพเจ้าได้เขียนถึงพวกท่าน บิดาทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าพวกท่านได้รู้จักกับพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ข้าพเจ้าได้เขียนถึงพวกท่าน คนหนุ่ม ๆ ทั้งหลายเอ๋ย เพราะว่าพวกท่านมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในพวกท่าน และพวกท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว
** คำอธิบายอยู่ในข้อที่ 13
- เรื่อง..พระบัญญัติของพระเยซู
- เรื่อง..รักพี่น้อง
- เรื่อง..เอารักเป็นที่หนึ่ง เอารักเป็นหลัก
ถึงแม้ว่าเราจะถวายตัว ยอมตาย สละทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า และการรับใช้ แต่ถ้าหากไม่มี รักท่ามกลางพี่น้อง และท่ามกลางคนที่ไม่เชื่อ ทุกสิ่งที่เราทำก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ยอห์นกล่าวโดยพระวิญญาณว่า จงรักพี่น้องของท่าน ซึ่งมาจากพระดำรัสของพระเยซูใน ยอห์น 13:34 เราจึงเป็นบุตรพระเจ้าที่เดินในความสว่างอย่างแท้จริง เอเมน
2:15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น
** หนังสือ 1 ยอห์นบทที่ 1 ท่านยอห์นเขียนถึงผู้เชื่อทั้งระดับเด็ก หนุ่ม และระดับพ่อ เป็นเรื่องของการได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า ได้มาร่วมสามัคคีธรรมกับพระบิดา โดยมี พระโลหิตของพระเยซูเพื่อการยกโทษบาปและเข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระโลหิต ไม่ต้องฟ้องผิด เพราะว่าถ้าหากเราสารภาพเมื่อไหร่ก็จะมีการยกโทษบาปเมื่อนั้นเดี๋ยวนั้น เมื่อพระเจ้ายกโทษบาปเราพระองค์ก็ชำระคือไม่จดจำไม่จำมันอีกว่าเราได้ทำอะไรผิดต่อพระองค์
** ข้อที่ 15 จนถึง 17 คือคำสอนของท่านยอห์นเพื่อเตือนสติคริสเตียนระดับหนุ่ม (ดูข้อที่ 14 )
** คำว่า "โลกหรือสิ่งที่เป็นของโลก" ในที่นี้ไม่ใช่แผ่นดิน แม่น้ำ ทะเล ต้นไม้ อาหาร ทรัพย์สิน แต่เล็งถึง มนุษย์ที่ตกต่ำ และระบบโลกที่เสื่อมทรามเสื่อมโทรม เนื่องมาจากความบาป และซาตานทำให้ระบบโลกกลายเป็นโลกที่เดินคนละทาง ทั้งศาสนาโลก และคนที่ไม่มีศาสนาขัดขวางข่าวประเสริฐ และต่อสู้กับพระเจ้า ถ้าหากเราบุตรพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับโลกที่ตกต่ำเสื่อมทรามเสื่อมโทรม ความรักของพระเจ้าก็ไม่อยู่ในเขา ท่านยอห์นจึงเตือนคริสเตียนระดับหนุ่มให้ระมัดระวัง
2:16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของตา และความเย่อหยิ่งในชีวิตไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่เกิดจากโลก
2:17 และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์
** กิเลส ตัณหา โลภ โกรธ หลง ความเย่อหยิ่ง มาจากความตกต่ำของโลก (มนุษย์) ที่ซาตานเป็นคนทำ สิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า ในชีวิตพระเจ้ามีความพอเพียง ปลงปล่อยวาง พอใจในสิ่งที่เป็นสันติสุขกับการได้สนิทในพระเจ้าทำให้เกิดมีความอิ่มเอิบภายใน กิเลสตัณหาโลภโกรธหลงเย่อหยิ่งจึงไม่มีที่อยู่ในบุตรพระเจ้า และสุดท้ายโลกที่ตกต่ำเสื่อมทรามพร้อมกับกิเลสตัณหาก็จะหมดไป แต่ผู้เชื่อ และชีวิตพระเจ้าเท่านั้นที่คงอยู่ตลอดไปเป็นนิจ
2:18 ลูกเล็กๆทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์จะมา บัดนี้ปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ก็มีอยู่มากแล้ว ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว
** ท่านยอห์นกลับมาสั่งสอนเตือนสติผู้เชื่อระดับเด็กอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบทที่สองนี้ท่านเอ่ยคำว่า เด็กเล็กๆ ถึง 5 ครั้งด้วยกัน และในข้อที่ 18 นี้ท่านเตือนให้พวกเขาระมัดระวังเรื่องการดำเนินชีวิตที่ติดสนิทในพระเจ้า อย่าประมาทเนื่องจากว่าวาระสุดท้ายของยุค (พระคุณ) นี้ใกล้จะมาถึงแล้ว ท่านกล่าวว่าผู้ต่อต้านพระคริสต์ตอนนี้ก็มีมากมายแล้ว
2:19 เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา เขาจะอยู่กับเราต่อไป แต่เขาได้ออกไปแล้ว ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราทุกคนไม่
** พวกที่ต่อต้านพระคริสต์โดยส่วนมากพวกเขาเป็นคริสเตียนในตอนแรก แต่เนื่องจากการแปลความหมายพระคัมภีร์ตามความคิดปัญญาของอาดัมทำให้พวกเขาไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าพระบุตร เป็นผู้ที่มาจากสวรรค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และอีกมากมาย
พวกต่อต้านพระคริสต์ก็ยังเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาเชื่อผิด พวกนี้ไม่ใช่พระคริสต์เทียมเท็จซึ่งพยายามตั้งตนเป็นพระเจ้าเพื่อให้คนกราบไหว้เคารพนมัสการ
** พวกต่อต้านพระคริสต์ พวกเขาไม่รู้ตัวว่าเชื่อผิดสอนผิด และพวกนี้ลงเอยด้วยการเป็นกลุ่มเทียมเท็จ เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตร
2:20 ท่านทั้งหลายได้รับการทรงเจิมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านก็รู้ทุกสิ่ง
** ท่านทั้งหลาย ในที่นี้ คือคริสเตียนเด็ก
** การเจิม ในที่นี้ ก็คือการเลือกสรรเพื่อให้รับใช้ในการงานของพระเจ้า ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะระดับเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็คือปุโรหิตหลวงของพระเจ้าที่มีหน้าที่แตกต่างกันเพื่อร่วมงานกันในพระกายของพระคริสต์เยซู
** พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ในที่นี้ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์
** ท่านก็รู้ทุกสิ่ง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเพื่อสอน นำพา นำทาง เปิดเผยพระคำแห่งความจริง ถ้าหากผู้ใดแสวงหาพระเจ้าก็จะได้รู้ในทุกสิ่งจากพระองค์ พระองค์จะไม่ปิดบังสิ่งดีๆ ต่อผู้ที่ถ่อมใจ และแสวงหาด้วยใจร้อนรน (ยอห์น 14:26)
2:21 ข้าพเจ้าเขียนมายังท่านทั้งหลายมิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านทั้งหลายรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริงเลย
** มิใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง ความจริง ในที่นี้ คือความเป็นจริงของพระเจ้า หรือความจริงฝ่ายวิญญาณ และในข้อที่ 21 นี้เน้นที่พระเยซูเป็นความจริง ที่มาจากพระเจ้า พระองค์เป็นความสว่าง เป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าพระบุตร ซึ่งถ้าหากใครที่รับได้และเชื่อในความจริงนี้ ก็คือผู้เชื่อที่แท้จริง
2:22 ใครเล่าเป็นผู้ที่พูดมุสา ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูมิใช่พระคริสต์
** สำหรับผู้เชื่อที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าพระบุตร เป็นความสว่างที่มาจากพระเจ้าเพื่อส่องสว่างในโลกแห่งความมืด หรือความไม่จริง พวกเขาก็คือผู้ที่มุสา หรืออยู่ในความไม่จริงของพระเจ้า
2:23 ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้ใดที่ปฏิเสธพระบุตร ผู้นั้นก็ไม่มีพระบิดา แต่ผู้ใดที่รับพระบุตร ผู้นั้นก็มีพระบิดาด้วย
** ความจริง หรือความเป็นจริงของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ามีสามพระภาค คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในข้อที่ 23 นี้กล่าวถึงพระบิดา และพระบุตร การรับพระเจ้าพระบิดาก็ต้องต้อนรับพระเจ้าพระบุตรด้วย
สรุป
1. ผู้เชื่อทุกคน คือผู้รับใช้ หรือปุโรหิตหลวงของพระเจ้า ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้นำในคริสตจักรเท่านั้น แต่ทุกคนล้วนมีหน้าที่ตามของประทานที่พระวิญญาณทรงประทานให้เพื่อการเติบโตของคริสตจักรของพระเยซู
2. ความจริงของพระเจ้าที่ผู้เชื่อแท้ควรรู้ และเข้าใจ และเชื่อ ก็คือพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระบุตรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าหากใครเชื่อพระบิดา แต่ไม่เชื่อในพระบุตรก็เป็นคนมุสา และไม่ได้อยู่ในความจริงของพระเจ้า ทุกวันนี้มีหลายคริสตจักร และหลายกลุ่มที่ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระบุตร หรือเชื่อว่าพระเจ้าไม่ใช่ตรีเอกานุภาพ พวกเขาจึงยังอยู่ในความมืดต่อไป
2:24 เหตุฉะนั้น จงให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ในพวกท่านเถิด ซึ่งพวกท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้น ถ้าสิ่งซึ่งพวกท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นจะดำรงอยู่ในพวกท่าน พวกท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย
** สิ่งนั้นที่พวกท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้น คือใน 1 ยอห์น 1:1-2 ที่ท่านยอห์นกล่าวถึง พระเยซูเป็นพระวาทะ เป็นพระบุตรพระเจ้า ซึ่งพระองค์เป็นชีวิต พระองค์อยู่กับพระบิดาและทรงมาบังเกิดเป็นพระคริสต์
ถ้าหากเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นชีวิต เป็นพระเจ้าพระบุตร เราอยู่ในความจริงของพระเจ้า และเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตเต็มด้วยสันติสุข และชีวิตพระเจ้าในแต่ละวัน เนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของพระบิดา และพระบุตรที่อยู่ภายในเรา
** การทำให้เราอยู่ในพระบิดาและพระบุตร โดยทางพระคริสต์นั้น พระเจ้าทรงกระทำเพียงครั้งเดียว (1 คร 1:30) แต่การที่เราจะมีประสบการณ์การสันติสุข ชีวิตและพลังอยู่ในพระคริสต์ต้องอาศัยการมีชีวิตและเดินในพระคริสต์ในแต่ละวัน (Live and walk in the Spirit daily to experience life and peace.)
2:25 และนี่แหละเป็นพระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง
** พระสัญญา ในที่นี้ คือคำตรัสของพระเยซูเรื่อง เชื่อ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ หรือชีวิตพระเจ้า (ยอห์น 3:16 / 4:14 / 6:40 / 10:10)
2:26 ข้าพเจ้าได้เขียนสิ่งเหล่านี้ถึงพวกท่าน เกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ล่อลวงพวกท่าน
** พวกที่ล่อลวง คือกลุ่มผู้เชื่อที่หลงทางที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าพระบุตร พระคริสต์ และพระวาทะ ที่หวังไปล่อลวงคนมากมายให้หลงผิดไปกับพวกเขา
2:27 แต่การเจิมซึ่งพวกท่านได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่ในพวกท่าน และพวกท่านไม่จำเป็นต้องให้มนุษย์คนใดมาสอนพวกท่าน แต่เพราะว่าการเจิมนั้นเองสอนพวกท่านให้ทราบทุกสิ่ง และเป็นความจริง และไม่ได้เป็นความเท็จ และตามที่การเจิมนั้นได้สอนพวกท่านมาแล้วอย่างไร พวกท่านก็จะดำรงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น
** ผู้ที่ได้รับการเจิมนั้น เขาได้รับการเปิดตาสู่ความจริง บางครั้งอาจจะมีสงสัยหรือไขว้เขว แต่พระวิญญาณจะรักษาเคลื่อนไหว ทำกิจในเขาเพื่อช่วยเขาไม่ให้หลงทาง และรับในสิ่งที่เป็นเชื้อยีสต์ไม่ได้ ทั้งเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้าพระบุตร และทุกๆ เรื่อง จากประสบการณ์ของผู้เชื่อที่ได้รับการเจิม เขาจะรับสิ่งอื่นใดไม่ได้อีกแล้ว หรือทิ้งพระคำแห่งความจริงไปไม่ได้อย่างแน่นอน
2:28 และบัดนี้ ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลายเอ๋ย จงเข้าสนิทอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์จะทรงปรากฏ พวกเราจะได้มีความมั่นใจ และไม่มีความละอายต่อพระพักตร์พระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา
** ท่านยอห์นแนะนำวิธีที่จะรักษาคริสเตียนเด็กไว้ในความจริงเพื่อไม่ให้ถูกล่อลวงให้หลงเชื่อผิด ก็คือการสนิทในพระคริสต์ ทั้งจะจะเติบโตเป็นหนุ่ม และผู้ใหญ่ และได้เข้าไปในอาณาจักรเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา สนิทในพระองค์ คือเคล็ดลับที่ผู้เชื่อส่วนมากมองไม่เห็น หรือมองข้าม
2:29 ถ้าพวกท่านทราบว่าพระองค์ทรงชอบธรรม พวกท่านก็ทราบว่าทุกคนที่กระทำความชอบธรรมก็บังเกิดจากพระองค์
** คำว่า พวกท่านทราบ หรือพวกท่านรู้ ในที่นี้ คือการได้รู้พระคำแห่งความจริง ได้รับการเปิดตา ได้รู้สิ่งที่ลึกเข้าไปข้างใน
เราพบว่าก่อนที่จะได้รับการเปิดตา ผู้เชื่อมากมายต่างก็พูดว่า พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่เราไม่ได้รู้จริงๆ ในสิ่งที่เราพูด
แต่เมื่อพบมานาที่ซ่อนไว้ เราจึงได้รู้ลึก และรู้จริงว่า คำว่า ชอบธรรม รัก พระบุตร พระวาทะ ชีวิต ความสว่าง คืออะไรกันแน่ และเราฝึกเดินในพระวิญญาณสนิทบอกรักจนต่อมาเราก็สำแดงชีวิต และนิสัยของพระคริสต์ที่เรียกว่า ความชอบธรรม ในแต่ละวันได้ไม่มากก็น้อย
<<< บทที่ 1