1. ผมอยากอยู่คริสตจักรที่ราบรื่น ไม่มีปัญหาให้ปวดหัว
- เราควรเข้าใจและทำใจว่าปัญหาต้องมี เพราะระดับความเชื่อและการเปิดตาไม่เท่ากัน
2. ใครคือคนที่แก้ไขปัญหา
- เราก้มหน้าทำหน้าที่ของเราตามของประทาน ปล่อยให้ผู้มีอำนาจหรือผู้ปกครองทำหน้าที่ของเค้า เมื่อพี่น้องพูดและทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
.....
1. ปัญหาเกี่ยวกับหลักความเชื่อใหญ่
คำสอนของพระเยซูมีสองแบบ คือเปิดเผยและซ่อนไว้จากผู้นำและผู้ชอบธรรม เมื่อพระเยซูจากไป ก็เกิดมีปัญหาเรื่องการตีความหมายคำสอนของพระเยซูอย่างผิดๆ และเชื่อผิดเดินผิด พระวิญญาณใช้เปาโลมาเปิดเผยความจริง แต่ไม่ใช่ทุกคริสตจักรรับได้
หลายปีผ่านไป คริสตจักรกลายเป็นคริสตจักที่ขาดรักดั้งเดิม, คริสตจักรศาสนา, ชาวโลก, คริสตจักรที่ตายแล้ว, คริสตจักรท้อแท้, คริสตจักรที่เป็นอุ่นๆ และคริสตจักรเที่ยงแท้
2. ปัญหาเรื่องความเชื่อย่อยๆ
1) ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่รับใช้ อยากทำหรือจิตใจดีอารมณ์ดีก็ทำ และไม่อยากทำ ใจไม่ดี หรือไม่พอใจก็ไม่ทำ
2) ปัญหาเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ คือการถกเถียงเรื่องความเข้าใจเพราะความเชื่อไม่เหมือนกัน
- การถกเถียงหรือขัดแย้งระหว่างผู้เชื่อที่ไม่ยอมต่อพี่น้อง
3) การป้องกันและจัดการกับปัญหาเรื่องการแตกแยก
a. เราเข้าใจเรื่องปัญหา คือวิตามิน หรือสิ่งที่ช่วยให้เราเติบโตได้
b. ยอมรับและทำใจกับปัญหาที่จะต้องมี
c. มีผู้นำหรือผู้ปกครองที่เข้าใจอาหารแข็ง หรือพระคำที่ซ่อนไว้อย่างมากมาย เพื่อเป็นหลักมั่นคงของพระกาย
d. เรารับความรู้จากพี่น้องทุกคนที่เขียนและสอนความจริง
e. สอนพี่น้องเรื่องการอยู่ด้วยกันเพราะเห็นแก่พระกาย อย่าคิดแยกเพราะปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ๆ
f. ช่วยแนะนำตักเตือนพี่น้องที่ไปรับความรู้ที่ผิดมา และเพื่อป้องกันผู้สอนที่ผสมเชื้อเข้าในคำสอนของเค้า
g. ถ้าหากเค้าไม่ฟังเราก็ต้องปล่อยเค้าไป และคอยแก้เมื่อเค้านำสิ่งที่ผิดเพี้ยนเข้ามาจากคนสอนผิด
มหาสนิทเราไม่ควรเรียกว่าพิธี เพราะคือการหักขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นร่วมกันทุกครั้งที่เราสามัคคีธรรม
- การหักขนมปังเพื่อขอบพระคุณพระเยซู ที่ทรงให้พระกายแตกหักเพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวในพระกายของพระองค์
- การกินขนมปังจากก้อนเดียว คือเพื่อจะยอม พร้อม และเต็มใจกลายเป็นหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ เพื่อเตือนใจหนุนใจผู้คนเดินในวิญญาณ
- Do This to Remember Me จงกระทำสิ่งนี้เพื่อจดจำเรา คือจดจำว่าพระคริสต์อยู่กับเราเสมอทุกเวลา
- การรับมหาสนิทอย่างไม่สมควร
- รับมหาสนิทด้วยการขอบพระคุณ เราไม่จดจำการตายของพระเยซู แต่เมื่อรับมหาสนิทเราประกาศการวายพระชนม์ของพระองค์ จนกว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมา เพื่อประกาศและรอคอยการกลับมาของพระเยซู นี่คือความหวังใจของเรา
- การร่วมโต๊ะกับพระเยซู คือการแทนที่เทศกาลปัสกา
- ขนมปังต้องหักจากขนมปังแผ่นเดียว ไม่ใช่แบบที่เราเคยทำกันในศาสนา ส่วนเหล้าองุ่นเราใช้น้ำองุ่นแทน ทุกวันนี้เราไม่ควรใช้เหล้าองุ่นจริงๆ เนื่องจากมีแอลกอฮอล์สูงมาก
การรับบัพติศมาไม่ใช่ศีลหรือพิธี แต่คือการจุ่มผู้เชื่อลงไปในน้ำให้มิด บัพติศมาเล็งถึงการตาย ถูกฝัง และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซู
คำว่ามหาสนิท ขอให้พี่น้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่พิธี และก็ไม่ใช่ศีล ทุกวันนี้เราเรียกกันว่าพิธีมหาสนิท หรือศีลมหาสนิท และบัพติศมาก็เรียกว่าพิธีบัพติศมา หรือศีลจุ่ม แต่แท้ที่จริงแล้ว มหาสนิทไม่ใช่พิธี และไม่ใช่ศีล และบัพติศาก็ไม่ใช่พิธี และไม่ใช่ศีล ใครที่เชื่อพระเยซู เราก็นำเค้าไปจุ่ม แค่นี้ครับ ไม่ใช่ไปทำพิธี หรือก่อนที่จะรับบัพติศมาต้องร้องเพลงสองเพลงก่อน หรืออธิษฐานก่อน
คนที่จะรับบัพติศมา ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หลักความเชื่อของผู้เชื่อใหม่ก่อน ฟิลิปเดินทางไปกับขันทีคนหนึ่ง และฟิลิปก็ประกาศข่าวประเสริฐกับเค้า และปรากฎว่าฟิลิปประกาศแล้วคนนี้เชื่อ ฟิลิปเห็นว่ามีแม่น้ำ ก็ถามว่า “คุณอยากรับบัพติศามั๊ย ผมจะให้บัพติศมากับคุณ” แล้วขันทีก็ตอบตกลง ฟิลิปก็พาเค้าไปบัพติศมา หรือจุ่มลงไป และก็จบครับ
การบัพติศมาไม่ใช่พิธี และไม่ใช่ศีล แต่คือการจุ่มผู้เชื่อให้เข้าไปมีส่วนในการตายและเป็นขึ้นมากับพระเยซู
...
เมื่อมีผู้เชื่อใหม่ เราควรให้บัพติศมาเขาทันทีอย่ารอช้า เพื่อพระวิญญาณจะทำงานของพระองค์ในเขา
บางคนบอกว่า ต้องให้ผู้ที่จะรับบัพติศมาเรียนรู้ไปก่อน หรือเป็นคริสเตียนไปซักระยะหนึ่งก่อน ไม่ครับ ถ้าหากมีคนรับเชื่อพระเยซู เราให้บัพติศมาเขาทันทีที่มีโอกาส ชวนเขาได้เลยครับ
การรับบัพติสมา เพื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเอาเราเข้าไปมีส่วนในพระกายของพระเยซู เข้าไปอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้าที่เป็นฝ่ายวิญญาณ และเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระกายของพระองค์ อยู่ในการทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ และรับพระพร มรดก และทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันกับพี่น้องในพระกาย
ถ้าเขาเชื่อ ให้เขารับบัพติศมาเลย แล้วค่อยให้เขาเรียนทีหลัง เพราะเขายังจะอยู่กับเราอีกนาน
...
ผู้ให้บัพติศมา คือ ผู้ปกครอง ผู้เลี้ยง ผู้ดูแล หรือผู้ที่ประกาศกับเขา หรือสอนเขาเรื่องความเชื่อ
สมมติว่าเราไปประกาศ และมีคนรับเชื่อ ถ้าเขาอยากรับบัพติศมา และถามว่าต้องไปรับกับใคร เราให้เค้าเลือกว่าจะรับกับเรา หรือจะไปรับกับอาจารย์ก็ได้ แต่ปกติคนที่ประกาศกับใคร ก็เป็นคนที่เหมาะสมในการให้บัพติศมาคนๆ นั้น
ถ้าไม่มีใครประกาศ แต่เขาเข้ามาเอง ก็ให้ครูสอนรวีที่เป็นผู้สอนเขาเรื่องฝ่ายวิญญาณเป็นผู้ให้บัพติศมา
...
การรับบัพติศมาควรทำให้ถูกวิธี เพื่อจะไม่กลายเป็นบัพติศมาของยอห์น
ในพระคัมภีร์มีบัพติศมาสองแบบ ทุกวันนี้มีคริสเตียนมากมายให้บัพติศมาแบบยอห์น จึงไม่เกิดผลอะไร
การบัพติศมาแบบยอห์น คือจุ่มลงในน้ำอย่างเดียว ส่วนบัพติศมาของพระเยซู คือเราถามเขาว่า เขาเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดมั๊ย เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามั๊ย และเขายินดีต้อนรับพระเยซูมั๊ย จากนั้นเราก็พูดว่า เราจะบัพติศมาเขาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็จุ่มเขาในน้ำให้มิด
การจุ่มเล็งถึงการถูกฝัง คือการฝังดินให้ตาย การขึ้นมาจากจากน้ำ ก็คือการฟื้นขึ้นมาใหม่ มีชีวิตใหม่ เราทำฝ่ายร่างกาย แต่พระวิญญาณบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพี่น้องที่รับบัพติศมาก็ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมรดก เข้าสู่การทำงานของพระเจ้า และมีส่วนในราชอาณาจักรของพระเจ้า
ถ้าเราไม่อยากพูดยาว เราก็พูดว่า บัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์ ก็ได้เหมือนกัน เพราะพระเยซูเป็นตัวแทนของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์
การบัพติศมาจะมีพยานหรือไม่ก็ได้ เมื่อฟิลิปไปประกาศกับขันที มีแค่สองคนก็บัพติศมาได้
หลังจากพี่น้องขึ้นมาจากน้ำ เราจะวางมือ หรือจะอธิษฐานเผื่อเฉยๆ ก็ได้ หรือจะไม่อธิษฐานก็ได้
การบัพติศมาเราไม่จำเป็นต้องร้องเพลงก่อน เพราะบัพติศมาไม่ใช่พิธี
กรณีที่พี่น้องป่วย หรืออายุมาก แต่เขาอยากรับบัพติศมา เราก็หาวิธีไหนก็ได้ที่จะให้เขาลงน้ำได้ เราไม่ใช้วิธีพรม เพราะบัพติศมาแปลว่าจุ่ม
สมมติว่าพี่น้องป่วย เราถามเขาว่า เขากลั้นใจสองสามวินาทีได้มั๊ย ถ้าเขาบอกว่าได้ เราก็อุ้มเขาลงไป เราถามเขาและจุ่มและรีบขึ้นมา อาจจะลำบากแต่ขอให้ทำครับ
พี่น้องที่เคยรับบัพติศมาแบบที่ไม่ถูกต้อง คือ (1) รับด้วยความไม่เข้าใจ (2) รับไม่ถูกวิธี และ (3) รับด้วยการพรม เรารับใหม่ได้
ทันทีที่เรามีบุตร เราไม่จำเป็นต้องทำพิธีถวายบุตรแด่พระเจ้า เนื่องจากบุตรของเราก็เป็นของพระเจ้าแล้ว เราแค่ขอบพระคุณพระบิดา โดยนำเด็กมาขอบพระคุณร่วมกับพี่น้องที่คริสตจักร และให้พี่น้องวางมือให้เด็กเพื่ออธิษฐานเผื่อเด็ก และขอให้น้ำพระทัยของพระบิดสำเร็จในชีวิตของเค้า
เราอธิษฐานเผื่อ วางมือ และทุกคนร่วมกันอธิษฐานของพระเจ้าดูแลเขา ไม่ใช่การถวายบุตร เราเป็นของพระเจ้าแล้ว และลูกเราก็เป็นของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องถวายครับ ทันทีที่เรามีลูก ลูกของเราก็เป็นของพระเจ้าทันที รถที่เราไปซื้อมาเราก็ไม่ต้องถวายให้พระเจ้า ไม่ต้องทำพิธีถวาย เพราะรถก็เป็นของพระเจ้าทันทีแล้ว
ถ้าลูกของเรารับเชื่อเมื่อเขาโตแล้ว เขาก็เป็นของพระเจ้าแล้วเหมือนกัน ไม่ต้องถวาย แต่อธิษฐานเผื่อได้
Matthew 19:5 Eph 5:31 “Therefore a man shall leave his father and mother and hold fast to his wife, and the two shall become one flesh.”
----------
“การแต่งงานที่ถูกต้องตามหมายบ้านเมือง” คือน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับหรือไม่
- คำตอบคือไม่ เนื่องจากว่าในยุคก่อนๆ ไม่มีรัฐบาล ผู้เชื่อที่เดินตามพระเจ้าจะไม่ทำพิธีอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่รักผูกพันและตกลงปลงใจอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาและอธิษฐานขอพระพรจากพระเจ้า
- รัฐบาล ผู้มีอำนาจในแต่ละประเทศ อาณาจักร ส่วนมากไม่ได้เชื่อพระเจ้า พระเจ้าจึงไม่ได้รู้เห็นและรับรองการแต่งงานของทั้งผู้เชื่อและไม่เชื่อ
----------
“ต้องมีพิธีแต่งงานเพื่อให้ดูดีและศักดิ์สิทธิ์” คือน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับหรือไม่
- คำตอบคือไม่ เนื่องจากว่าโลกนี้อยู่ภายใต้ประเพณี วัฒนธรรมที่มีศาสนาต่างๆ การเชื่อถือพระ ถือผี อยู่เบื้องหลังพระเจ้าจึงไม่รับรู้รับรองอะไรได้
----------
การได้ “กินนอนด้วยกัน” จึงถือว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว” คือน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับหรือไม่
- คำตอบคือไม่ พระเจ้าไม่เคยรับรู้รับรองอะไรเมื่อคนสองคนได้กินนอนด้วยกัน เพราะโลกนี้อยู่ภายใต้การครอบครองของมารซาตาน มันคือเจ้าของโลกและมันเป็นคนกำหนดทุกสิ่งในโลก (แต่อยู่ในขอบเขตการกำหนดดูแลของพระเจ้า)
----------
“เราควรแต่งงานแบบไหน” เพื่อให้เป็นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นสิ่งที่พระเจ้ายอมรับ
เมื่อทั้งสองรักกัน จึงมาคุยกับทางคริสตจักร เพื่อคริสตจักรจะรับรู้และอธิษฐานเผื่อให้สองคนกลายเป็นหนึ่งเดียว และมอบให้พระเจ้ารับรู้รับรองเพื่อจะเป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องต่อน้ำพระทัยของพระองค์
ให้ทั้งสองสัญญาต่อกันและต่อพระเจ้า และขอพระเจ้าทรงนำชีวิตครอบครัวให้จำเริญขึ้นในพระคุณ
วันนั้นเราอธิษฐาน อ่าน และชื่นชมยินดีกับทั้งสอง
เมื่อทั้งสองแต่งงาน ผู้ปกครองจะหนุนใจและแนะนำการดำเนินชีวิตพระคริสต์โดยการใช้พระคำพระเจ้าในส่วนที่เป็นอาหารแข็งเป็นหลัก
ชีวิตครอบครัวไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการได้รับการเปิดตามากน้อยเท่าไหร่
สิ่งที่สำคัญ อยู่ที่ทั้งสองรักกันและต้องการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา
เราหนุนใจทั้งสองให้เข้าใจว่าชีวิตแต่งงานจะไม่ราบรื่นเหมือนที่คนทั่วไปคิดหวังเอาไว้
คริสตจักรผู้ชนะควรทำแบบง่ายๆ สบายๆ ไม่มีภาระการงานการเงินที่ต้องหนักใจต่อครอบครัวทั้งสองและพี่น้องคริสตจักร
คริสตจักรจะรับรู้ อธิษฐานเผื่อและเป็นพยานร่วมกัน
การ้องเพลงและอ่านเป็นพยานหนุนใจ “เรื่องการแต่งงาน”
ผู้ปกครอง หรือ ศิษยาภิบาลจะประกาศต่อหน้าพี่น้องในพระกายว่า ต่อจากนี้ไป ในพระนามของพระเยซู ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว
ผู้ปกครองจะพูดว่า
วันนี้เป็นวันที่พวกเราชื่นชมยินดีร่วมกับพี่น้อง .....และพี่น้อง...ที่ตัดสินใจที่จะร่วมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
ขอให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จ และขอให้ทั้งสองถวายเกียรติแด่พระบิดาด้วยชีวิตคู่ของพวกเขา
ทางเดียวที่จะรอดจากปัญหาในแต่ละวันคือ ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์และอาณาจักร เรารับจิตใจที่ต่ำ ถ่อม ยอมนี้จากพระคริสต์
อย่าหวังจากเขา แต่จงกระทำสิ่งที่เราหวังจากเขาให้เขาก่อน และไม่ต้องรอคอยผลตอบแทน พระเยซูจะเป็นคนนำมาให้เอง
ไปจดทะเบียนสมรส (เพื่อให้ถูกต้องตามกฏหมายบ้านเมือง – พระเจ้าไม่เกี่ยวอะไร)