19:1 และต่อมา ขณะที่อปอลโลอยู่ที่เมืองโครินธ์นั้น เมื่อเปาโลได้ผ่านไปตามแว่นแคว้นฝ่ายเหนือแล้ว ก็มายังเมืองเอเฟซัส และเมื่อพบสาวกบางคน
** มีสาวกประมาณสิบสองคน (ข้อ 7)
19:2 ท่านก็กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วตั้งแต่ท่านทั้งหลายได้เชื่อนั้นใช่ไหม” และพวกเขากล่าวกับท่านว่า “พวกเรายังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่ามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ใดบ้างหรือไม่”
** เนื่องจากว่าท่านอปอลโลไม่เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างครบถ้วนในหลายๆ เรื่อง ดั่งที่เราเห็นในบทที่ 18 และ 19 นี้ คือเรื่องการรับบัพติศมาที่ถูกต้องและการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกสาวกที่กลับใจเพราะท่านจึงไม่ได้รับ
19:3 และท่านกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” และพวกเขากล่าวว่า “บัพติศมาของยอห์น”
19:4 แล้วเปาโลกล่าวว่า “แท้จริง ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยบัพติศมาแห่งการกลับใจใหม่ โดยกล่าวแก่ประชาชนว่า พวกเขาควรเชื่อในพระองค์ผู้ซึ่งจะเสด็จมาภายหลังท่าน นั่นคือ พระเยซูคริสต์”
** บัพติศมาของยอห์น คือเพื่อแสดงการกลับใจ จากระบบเดิม สู่ระบบใหม่ที่กำลังจะมา
** ส่วนบัพติศมาของพระเยซู คือการถูกจุ่มเข้าไปในพระวิญญาณ ในพระคริสต์ ในอาณาจักรของพระเจ้า โดยพระคริสต์เยซู เพื่อการบังเกิดใหม่และเพื่อการรับของประทาน พระวิญญาณพระคริสต์จะเข้ามาอยู่ในผู้เชื่อและพระวิญญาณจะเสด็จมาเหนือพวกเขาหรืออยู่บนพวกเขา
19:5 เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาก็รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า
** การรับบัพติศมาในพระนามพระเยซู และในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอันเดียวกัน
19:6 และเมื่อเปาโลได้วางมือของท่านบนพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนพวกเขา และพวกเขาได้พูดด้วยภาษาต่างๆ และได้พยากรณ์
** ภาษากรีกคือ พูดลิ้นหรือภาษาต่างๆ γλώσσαις โกล-ซา Tonques แปลว่า ลิ้นหรือภาษา
19:8 และท่านได้เข้าไปในธรรมศาลา และกล่าวด้วยใจกล้าเป็นเวลาสามเดือน โดยโต้เถียงและชักชวนในสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า
** ไม่ว่าเปาโลจะไปประกาศที่ไหน ท่านจะประกาศทั้งข่าวประเสริฐ เรื่องพระเยซูคริสต์ และ เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
19:9 แต่เมื่อหลายคนมีใจแข็งกระด้าง และไม่เชื่อ แต่พูดอย่างชั่วร้ายเรื่องทางนั้นต่อหน้าชุมนุมชน ท่านจึงออกไปจากพวกเขา และแยกพวกสาวกไว้ โดยโต้เถียงกันทุกวันในโรงเรียนของท่านผู้หนึ่งชื่อ ทีรันนัส
** เมื่อพบคนที่ฟังแล้วไม่รับเราควรหลีกหนี อย่าเสียเวลาตอบโต้ โต้เถียงอย่างไม่สมควร
19:10 และสิ่งนี้ได้กระทำต่อเนื่องเป็นเวลาสองปี จนกระทั่งทุกคนซึ่งอาศัยอยู่ในแคว้นเอเชียได้ยินพระวจนะของพระเยซูเจ้า ทั้งพวกยิวและพวกกรีก
เนื่องจากความไม่เข้าใจ กจ บทที่ 18 และ 19 พี่น้องพวกเราบางกลุ่มจึงเชื่อผิดว่า การรับบัพติศมาในน้ำไม่จำเป็นต้องทำอีกต่อไปแล้ว แต่ต้องรับบัพติศมาในพระนามพระเยซู หรือบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น
ต่อไปนี้คือรายละเอียดเรื่องการบัพติศมาในน้ำสองแบบ และการรับพระวิญญาณบริสุทธิ์สองแบบ..
1. บัพติศมาของยอห์น
- อปอลโลเป็นผู้รับใช้ท่านได้เรียนรู้มากมายหลายสิ่งเรื่องข่าวประเสริฐ และพระคำหลักการดำเนินชีวิตคริสเตียน แต่ท่านไม่รู้วิธีการบัพติศมาที่ถูกต้อง และครบถ้วน (กจ 18:25) ท่านนำผู้เชื่อมาจุ่มในน้ำเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดว่า "ข้าพเจ้ารับบัพติศมาท่านในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์...อาเมน"
และนี่คือการรับบัพติศมาแบบยอห์น หรือเรียกว่า บัพติศมาของยอห์น (กจ 18:24-28 / 19:1-7)
- ถึงเขาจะรับบัพติศมาของยอห์น เขาก็บังเกิดใหม่ได้ เพราะการบังเกิดใหม่ได้มาโดยการเชื่อ และรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่เกี่ยวอะไรกับการรับบัพติศมา
- การบัพติศมาของยอห์นจะไม่ได้รับการเสด็จมาของพระวิญญาณอยู่เหนือเขา หรือเพื่อสวมทับเขา (come upon or cloth with the Holy Spirit) อ่าน กจ บทที่ 2:3 ; 10:45 และ 19:5 อยู่บน อยู่เหนือ
สรุป การรับบัพติศมาในพระนามพระเยซู (ในนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์) คือการจุ่มลงไปในน้ำ และเอ่ยพระนามของพระเยซู หรือพระเจ้าสามพระภาค จึงจะนำการเสด็จมาสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อ
1. บังเกิดใหม่
2. ของประทานและการรับใช้ คือการรับพระวิญญาณครบทั้งสองแบบ
.....
2. บัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์
- คือการรับบัพติศมาแบบครบถ้วน ซึ่งไม่เหมือนอปอลโลที่ประกาศ และบัพติศมาแบบยอห์น (ไม่เอ่ยถึงพระนามพระเยซู หรือพระเจ้าสามพระภาค)
- เราดูตัวอย่างการบัพติศมาของพระเยซู พระองค์รับการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรับการรับรองจากพระบิดาด้วยการจุ่มลงไปในน้ำ
- บัพติศมาในพระนามพระเยซู คือต้องจุ่มลงไปในน้ำ ผู้เชื่อทุกคนต้องรับในน้ำ (กจ 10:47 , 8:36-40) จากนั้นพระเยซูจะมาบัพติศมาเราเข้าในพระวิญญาณ และพระวิญญาณจะเสด็จมาอยู่ในเรา และสวมทับเรา
.....
3. การรับพระวิญญาณ (the receiving of the Holy Spirit)
การรับพระวิญญาณมีสองแบบ รับเข้าในและรับอยู่ข้างนอก
3.1 รับเข้าใน
- เมื่อพระเยซูกลายเป็นพระวิญญาณ พระองค์กลับมาหาเหล่าสาวก และระบายวิญญาณให้สาวกทุกคน นี่คือการบังเกิดใหม่ของสาวก (ยอห์น 20:22) แต่สาวกต้องรอเพื่อรับพระวิญญาณสวมทับด้านนอกเพื่อของประทานและการรับใช้ (กจ บทที่ 2)
- ผู้เชื่อทุกคนเมื่อต้อนรับพระเยซู แต่ยังไม่ได้รับบัพติศมาในน้ำ หรือรับผิดวิธี แบบพรมน้ำ หรือแบบยอห์น การบังเกิดใหม่และการประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น เรียกว่าการรับพระวิญญาณ (เพื่อเข้าใน - เพื่อชีวิตใหม่)
- การรับบัพติศมาในน้ำที่ถูกแบบ ถูกวิธี จะนำการสวมทับ หรือการเสด็จมาอยู่เหนือเขา เพื่อของประทาน เพื่อการรับใช้
3.2 รับข้างนอก
- เมื่อผู้เชื่อรับเชื่อ และไม่นานต่อมาเขามีประสบการณ์เรื่องของประทานและการสวมทับของพระวิญญาณ เรียกว่าการรับพระวิญญาณแบบสวมทับหรืออยู่บนเขา อยู่เหนือเขา
* ยอห์น 20:22 สาวกรับเข้าใน
* กจ บทที่ 2:3 และ บทที่ 19:5 พระวิญญาณอยู่บน / อยู่เหนือเขา
19:11 และพระเจ้าได้ทรงกระทำบรรดาการอัศจรรย์พิเศษโดยมือของเปาโล
** คือการรักษาโรค ไล่ผีออก ฯลฯ
19:12 จนได้นำเอาผ้าเช็ดหน้าหรือผ้ากันเปื้อนจากร่างกายของท่านมายังคนป่วยทั้งหลาย และโรคต่างๆ นั้นได้ออกไปจากพวกเขา และพวกวิญญาณชั่วร้ายก็ออกจากคนเหล่านั้น
** ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้ากันเปื้อน ไม่ได้มีฤทธิ์เดชหรืออำนาจช่วยให้หายโรคหรือขับผีออกได้ แต่โดยความเชื่อของพวกเขาที่มีและทำไปโดยไม่รู้ พระวิญญาณก็ทำกิจของพระองค์เพื่อช่วยพวกเขา
19:13 แล้วบางคนในพวกยิวที่พเนจรไป ผู้เป็นพวกหมอผี ได้ตัดสินใจเองที่จะร้องออกพระนามของพระเยซูเจ้าต่อคนเหล่านั้นซึ่งมีพวกวิญญาณชั่วร้าย โดยกล่าวว่า “พวกเราสั่งเจ้าทั้งหลายโดยพระเยซูผู้ซึ่งเปาโลประกาศนั้น”
19:14 และมีบุตรชายเจ็ดคนของคนหนึ่งชื่อ เสวา เป็นคนยิว และเป็นปุโรหิตใหญ่ ซึ่งได้กระทำอย่างนั้น
19:15 และวิญญาณชั่วร้ายนั้นจึงตอบ และกล่าวว่า “พระเยซู ข้ารู้จัก และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”
19:16 และคนที่มีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่นั้นก็กระโดดใส่คนเหล่านั้น และเอาชนะพวกเขา และมีชัยต่อพวกเขา จนคนเหล่านั้นได้หนีออกไปจากบ้านหลังนั้น ทั้งเปลือยกายและบาดเจ็บ
19:17 และสิ่งนี้ได้เป็นที่ทราบแก่พวกยิวและพวกกรีกทุกคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองเอเฟซัสด้วย และความเกรงกลัวได้ตกอยู่บนพวกเขาทุกคน และพระนามของพระเยซูเจ้าได้รับการยกย่อง
** สำหรับการไล่ผี รักษาโรค ทำการอัศจรรย์ต่างๆ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการประกาศของพระเยซูและสาวกทั้งหลาย แต่สิ่งนี้พระเจ้าให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าการประกาศข่าวประเสริฐนั้นมาจากพระเจ้า
** ศูนย์กลางหรือเรื่องที่สำคัญของข่าวประเสริฐคืออะไร คือ 1. การเสด็จลงมาเป็นมนุษย์ของพระเยซู 2. การสิ้นพระชนม์ และ 3. การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์
19:18 และหลายคนที่เชื่อได้มา และสารภาพ และแสดงการกระทำทั้งหลายของพวกเขาให้เห็น
19:19 และหลายคนในพวกเขาซึ่งใช้ไสยศาสตร์ได้เอาหนังสือทั้งหลายของตนมารวบรวมกัน และเผาพวกมันเสียต่อหน้าทุกคน และพวกเขาได้นับราคาของหนังสือเหล่านั้น และพบว่าเป็นราคาห้าหมื่นเหรียญเงิน
19:20 ดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าจึงเจริญขึ้นอย่างมากมายและมีชัย
19:21 หลังจากสิ่งเหล่านี้จบลงแล้ว เปาโลได้ตั้งใจใน*จิต*วิญญาณว่า เมื่อท่านได้ผ่านไปทั่วแคว้นมาซิโดเนียกับแคว้นอาคายาแล้ว จะไปยังกรุงเยรูซาเล็ม โดยกล่าวว่า “หลังจากข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องไปเห็นกรุงโรมด้วย”
** ภาษากรีกคือ วิญญาณ คือความตั้งใจที่มาจากพระวิญญาณผ่านวิญญาณของท่านนั่นเอง
19:22 ท่านจึงส่งสองคนของคนเหล่านั้นที่ปรนนิบัติท่าน คือทิโมธีกับเอรัสทัส ไปยังแคว้นมาซิโดเนีย แต่ท่านเองก็พักอยู่ในแคว้นเอเชียหน่อยหนึ่ง
1. ศูนย์กลางแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าคืออะไรและมีอะไรบ้าง
- 1.1 การเสด็จลงมาเป็นมนุษย์ของพระเยซู
- 1.2 การสิ้นพระชนม์
- 1.3 การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์
2. การอัศจรรย์ ฤทธิ์เดช เกิดกับคนที่เชื่อเพื่ออะไร
- การอัศจรรย์ต่างๆ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และไม่ได้เป็นศูนย์กลางของการประกาศของพระเยซูและสาวกทั้งหลาย แต่สิ่งนี้พระเจ้าให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยืนยันว่าการประกาศข่าวประเสริฐนั้นมาจากพระเจ้า
3. ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้ากันเปื้อน มีฤทธิ์เดชจริงหรือไม่ หรือมาจากใคร
- ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้ากันเปื้อน ไม่ได้มีฤทธิ์เดชหรืออำนาจช่วยให้หายโรคหรือขับผีออกได้ แต่โดยความเชื่อของพวกเขาที่มีและทำไปโดยไม่รู้ พระวิญญาณก็ทำกิจของพระองค์เพื่อช่วยพวกเขา
4. ความตั้งใจในวิญญาณ คืออะไรกันแน่
- ภาษากรีกคือ วิญญาณ คือความตั้งใจที่มาจากพระวิญญาณผ่านวิญญาณของท่านนั่นเอง
19:23 และในเวลาเดียวกันนั้นการวุ่นวายไม่น้อยเกิดขึ้นเกี่ยวกับทางนั้น
** ทางนั้น คือทางแห่งความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้มาถึงพระคุณพระเจ้าเพื่อได้รับการไถ่มนุษย์ให้รอด สันติสุข การดำเนินชิวิตและนมัสการพระเจ้าเพื่อรับชีวิตโดยการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
19:24 ด้วยว่ามีชายคนหนึ่งชื่อ เดเมตริอัส เป็นช่างเงิน ซึ่งได้ทำศาลเจ้าทั้งหลายด้วยเงินสำหรับพระแม่ไดอาน่า ซึ่งได้นำกำไรไม่น้อยมายังพวกช่างนั้น
19:25 ผู้ซึ่งเดเมตริอัสเรียกให้มาประชุมกันพร้อมกับพวกคนงานที่มีอาชีพคล้ายกัน และกล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย พวกท่านทราบอยู่ว่าด้วยอาชีพนี้พวกเราได้รับทรัพย์สินของพวกเรา
19:26 ยิ่งกว่านั้นท่านทั้งหลายก็เห็นและได้ยินว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบตลอดทั่วแคว้นเอเชีย เปาโลคนนี้ได้ชักชวนและหันคนเป็นอันมากไปเสีย โดยกล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นที่ทำด้วยมือมนุษย์นั้นไม่ใช่พระ
19:27 ดังนั้นไม่เพียงแต่อาชีพของพวกเราเท่านั้นที่ตกอยู่ในอันตรายที่จะสูญสิ้นไป แต่พระวิหารของพระแม่ไดอาน่าผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นที่เหยียดหยามด้วย และความสง่างามแห่งพระนางนั้นจะเสื่อมลงไป ผู้ซึ่งบรรดาชาวแคว้นเอเชียกับสิ้นทั้งโลกนมัสการอยู่”
19:28 และเมื่อคนทั้งหลายได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และร้องออก โดยกล่าวว่า “พระแม่ไดอาน่าของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่”
** ข้อที่ 24-28 เมื่อซาตานรู้ว่าเปาโลเดินทางมาประกาศในเมืองเอเฟซัส มันจึงพยายามขัดขวางโดยให้พวกนายช่างทำการประท้วงเพื่อขัดขวางการประกาศของเปาโล ดังนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของความวุ่นวายทั้งหมดก็คือซาตานนี่เอง ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็คือพวกนายช่างและซาตาน
** ซาตานเมื่อใช้ผู้คนที่ไม่เชื่อหรือผู้เชื่อเพื่อขัดขวางทำลายการงานของพระเจ้า มันย่อมจะให้ผลประโยชน์เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนแก่คนเหล่านั้น ทุกวันนี้คริสเตียนหลายกลุ่มคณะนิกายต่างก็ทำลายกันเองซึ่งเหตุผลหนึ่งก็คือเพื่อผลประโยชน์ ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง ค่าจ้าง ฯลฯ และซาตานก็ใช้คนที่ไม่เชื่อในลักษณะเดียวกัน
19:29 และทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยความสับสน และเมื่อได้จับกายอัสกับอาริสทารคัส ชาวมาซิโดเนีย ผู้เป็นเพื่อนเดินทางของเปาโล พวกเขาพร้อมใจกันรุดเข้าไปในโรงมหรสพ
19:30 และเมื่อเปาโลใคร่จะเข้าไปยังประชาชน พวกสาวกก็ไม่ยอมให้ท่านเข้าไป
19:31 และบางคนในพวกเจ้านายที่ประจำแคว้นเอเชีย ผู้ซึ่งเป็นสหายของเปาโล ได้ส่งคนไปถึงท่าน โดยวิงวอนท่านไม่ให้เสี่ยงเอาตัวเข้าไปในโรงมหรสพ
19:32 เหตุฉะนั้นบางคนจึงได้ร้องอย่างหนึ่ง และบางคนได้ร้องอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าที่ประชุมนั้นสับสนมาก และคนโดยมากไม่ทราบว่าพวกเขาประชุมกันด้วยเรื่องอะไร
** คนมากมายที่ถูกซาตานใช้ก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจหรือบางครั้งก็สับสนว่าพวกเขากำลังทำอะไรเพื่อใคร เนื่องจากว่าซาตานปิดหูปิดตาพวกเขา
19:33 และพวกเขาได้ลากอเล็กซานเดอร์ออกมาจากหมู่ประชาชน โดยพวกยิวพาเขาไปข้างหน้า และอเล็กซานเดอร์ได้โบกมือ และใคร่จะกล่าวคำแก้ต่างของเขาแก่ประชาชน
19:34 แต่เมื่อคนทั้งหลายทราบว่าเขาเป็นคนยิว พวกเขาทุกคนก็ส่งเสียงพร้อมกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง โดยร้องออกมาว่า “พระแม่ไดอาน่าของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่”
19:35 และเมื่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนของเมืองนั้นได้ทำให้ประชาชนสงบลงแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ชาวเอเฟซัส มีผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่า เมืองของชาวเอเฟซัสนี้เป็นผู้นมัสการพระแม่ไดอาน่าผู้ยิ่งใหญ่ และนมัสการรูปจำลองซึ่งตกลงมาจากเทพจูปิเตอร์
** ต่อจากนี้ไม่นาน เมืองเอเฟซัสจะมีทั้งคนที่เชื่อที่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและคนที่ไม่เชื่อที่กราบไหว้พระที่มีชื่อว่า พระแม่ไดอาน่า แน่นอนที่สุดเมื่ออาณาจักรของพระเจ้าอยู่ที่ไหนสงครามฝ่ายวิญญาณก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งผู้เชื่อมากมายก็จะถูกข่มเหงไม่มากก็น้อย
19:36 ดังนั้นเมื่อเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ถูกกล่าวหาไม่ได้แล้ว ท่านทั้งหลายควรจะนิ่งสงบ และไม่ทำอะไรวู่วามไป
19:37 เพราะท่านทั้งหลายได้พาคนเหล่านี้มาที่นี่ ผู้ซึ่งไม่ได้เป็นคนปล้นพระวิหารทั้งหลายหรือเป็นคนหมิ่นประมาทพระแม่ของพวกท่าน
19:38 เหตุฉะนั้น ถ้าเดเมตริอัสกับพวกช่างซึ่งอยู่กับเขา เป็นความกับผู้ใด โอกาสที่จะว่าความก็มี และพวกผู้พิพากษาก็มี จงให้พวกเขามาฟ้องกันเถิด
19:39 แต่ถ้าท่านทั้งหลายสอบถามสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่น ๆ ก็จงให้ตัดสินชี้ขาดกันในที่ประชุมตามกฎหมาย
19:40 ด้วยว่าพวกเราตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกฟ้องเรื่องการโกลาหลของวันนี้ โดยไม่มีสาเหตุที่พวกเราจะให้การเรื่องการโกลาหลนี้ได้”
19:41 และเมื่อเขากล่าวอย่างนั้นแล้ว เขาจึงให้เลิกชุมนุม
** พระเจ้าปกป้องเปาโลและเพื่อนร่วมงาน พวกท่านจึงปลอดภัยจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
1. ทางนั้น the Way คือทางที่พระเยซูกล่าวถึงในยอห์น 14:6 เราเป็นทางนั้น คือทางแห่งความจริงเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าเพื่อนำมนุษย์มาถึงพระเจ้าเพื่อร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ สนิทในพระองค์ เข้ามาหาพระองค์ในแต่ละวันในชีวิตนี้และในโลกหน้า ซึ่งปัญหาก็คือผู้เชื่อมากมายยังไม่เข้าใจความหมายว่า ทางนั้น คืออะไร พวกเขาคิดว่าพระเยซูเป็นทางเพื่อให้ได้ไปสู่สวรรค์เท่านั้น สำหรับพระเจ้า พระองค์ตั้งพระเยซูให้เป็นทางที่จะเข้าถึงพระเจ้าโดยพระโลหิต การตาย และการเป็นขึ้นของพระองค์
2. การข่มเหงจะเกิดขึ้นกับผู้เชื่อไม่มากก็น้อย ซาตานจะใช้ทั้งคนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อเพื่อทำลายการงานของพระเจ้าโดยให้พวกคนที่มันใช้ได้รับผลประโยชน์อย่างเช่น ทรัพย์สินเงินทองค่าจ้างเงินเดือน ชื่อเสียงเกียรติยศ ตำแหน่ง ฯลฯ เมื่อเราเข้าสู่การข่มเหง สิ่งที่สำคัญก็คือ ฉลาดเหมือนงูและอ่อนสุภาพเหมือนนกเขา
3. คนที่ถูกซาตานใช้เพื่อขัดขวางการงานของพระเจ้า บางครั้งก็ไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าเขาทำในสิ่งที่ดี และบางครั้งก็สับสนในความคิดว่าตนทำถูกหรือผิดกันแน่
4. สำหรับผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อ พระเจ้าจะปกปักรักษาดูแลเขาให้ปลอดภัยอย่างแน่นอน
“เราเป็นทางนั้น the way” คือ ทางที่จะเข้าถึงพระบิดาและพระบิดาเข้าถึงเรา (Abiding life)
กุญแจที่จะนำมนุษย์มาถึงทางนั้น ก็คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าเรื่องพระเยซูคริสต์และเราได้รับพระคุณทางความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยการรักษาพระบัญญัติ คือทางสายใหม่ ร่วมตาย ถูกฝังและเป็นขึ้นมากับพระเยซู ในพระเยซู เข้าสู่การรักษาพระบัญญัติใหม่ ด้วยคนใหม่คนนี้
ทางนั้น ไม่ใช่ถนน ไม่ใช่วิธีหรือหลักการการดำเนินชีวิต พระเยซูไม่ได้ตรัสว่าเรามาเพื่อแนะนำท่านให้ไปถึงทางนั้น หรือบอกทางพวกเรา แต่ ทางนั้น คือพระเยซู เป็นตัวตนของพระเยซูเอง เพราะฉนั้นเราจะเข้าถึงพระเจ้า รับพระพรทุกประการ ทั้งสันติสุขและความหวังใจ เราต้องสนิทอยู่กับพระเยซูผู้เป็นทางนั้น คือการดำเนินชีวิต การหายใจไปมาอยู่กินทำงานการค้าขายต้องติดสนิทอยู่กับ ทางนั้น ถ้าหากเราออกจากทางนั้นเราก็หลุดจากสันติสุข พระพรและพลังของพระเจ้า
“เราเป็นความจริง the reality” คือการเข้ามาแทนที่ของความไม่จริง เงา หรือสิ่งชั่วคราวที่ตกต่ำเสื่อมทรามและถูกสาปแช่งแล้ว ความเป็นจริงเริ่มขึ้นในฝ่ายวิญญาณผ่านพระคริสต์เยซูออกจากอุโมงค์ ทุกสิ่งที่เป็นอยู่ในพระคริสต์จึงจะเรียกว่า ความจริง สำหรับพระเจ้า ชีวิตอาดัม เนื้อหนัง ตายแล้วจบแล้ว หลักการการดำเนินชีวิตคริสเตียนจึงต้องอาศัย ทางนั้น ความจริง และชีวิตของพระคริสต์ในเรา
การมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ เดินในพระคริสต์ในแต่ละวันจึงสำคัญ