เอเมนสรรเสริญพระเยซู เราขอบคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงรักเรา และให้เราคนส่วนน้อยที่ไม่เคยมีอะไรเลยและอยู่ในความบาป พระองค์นำเราขึ้นมา ยกเรา และเลือกพวกเราให้มารับการเปิดตา เข้าสู่พระคำที่ล้ำลึกของพระองค์โดยพระวิญญาณแห่งความจริง สรรเสริญพระเยซู
เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเปิดเผยในยอห์นบทที่ 16 ข้อที่ 23 ถึง 33 ซึ่งมีความหมายและมีคุณค่ามากสำหรับพวกเรา เป็นอาหารที่มาจากสวรรค์ และพวกเราได้รับเข้าอย่างเต็มล้น และเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูอีกวันหนึ่ง ขอบคุณพระองค์เอเมนพระเยซูพวกเรารักพระองค์
พวกเรานำหัวใจอันบริสุทธิ์และความรักมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระองค์ และถวายชีวิตใหม่นี้ให้พระองค์ใช้เพื่อเป็นอวัยวะเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ในโลกนี้ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ เอเมน
• ในข้อที่ 23 "ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก" ท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก ความหมาย ในวันนั้น ก็คือหลังจากที่พระเยซูประทานพระวิญญาณมาให้อยู่กับเราเพื่อสอนเรา เราจะไม่ต้องถามพระเยซูว่าสิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นคืออะไร ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ ไม่มีอีกแล้ว เนื่องจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนที่มาเปิดเผยให้สติปัญญาและความเข้าใจแก่เรา
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคพระคุณที่เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อมนุษย์ ต่อผู้เชื่อ ทุกๆ คนที่ต้อนรับพระเยซู เพราะฉะนั้นครูสอนที่ดีที่สุดของพวกเรา ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสรรเสริญพระเจ้าและขอบพระคุณพระองค์ที่เรามาถึงการเปิดเผยในระดับที่สูงที่สุด ซึ่งข้อลับลึกข้อลึกลับทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าสงวนไว้จากคนที่ไม่ถ่อมใจ และเปิดเผยให้พวกเราทั้งหลายที่ถ่อมใจและเปิดใจรับเอา เมื่อรับได้เราก็เต็มเปี่ยมด้วยสันติสุขของพระองค์ และเต็มด้วยชีวิตของพระองค์
เพราะฉะนั้นเราจึงมาถึงการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่เบาสบาย แอกเบา ภาระเบา กางเขนเบา ทุกสิ่งเบาไปหมด เราสรรเสริญพระเจ้า
สำหรับเรื่องการเปิดปิดคำอธิษฐาน และเรื่องการขอในนามของพระเยซู มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดเป็นการถ่ายทอดความรู้ที่ผิดมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งในยุคแรกๆ หลังจากที่อาณาจักรโรมันกลายเป็นศาสนาคริสต์ ผู้นำมากมายก็สอนกันว่าก่อนที่จะอธิษฐาน ต้องใช้คำที่สวยหรู คือข้าแต่พระบิดา หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ดูดีน่าฟัง เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย แล้วก็เมื่ออธิษฐานเสร็จก็ปิดด้วยการลงท้ายในนามของพระเยซู มันเป็นความเข้าใจผิดที่ทำให้คริสเตียนทุกวันนี้เชื่อตามไปด้วย และทำตามไปด้วย
เราจะเห็นว่าทั่วโลกเลยที่เขาทำกันอยู่ ก็คือมีการเปิดปิด เขาไม่เข้าใจความหมาย หรือไม่ได้รับการเปิดเผยโดยพระวิญญาณแห่งความจริง ก็คือม่านในพระวิหารถูกฉีกโดยพระเจ้าตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดแล้ว มันคืออะไรเขาไม่เข้าใจ คือพระเจ้าออกมาจากพระวิหารและเข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกๆ คน และพระเจ้าต้องการไม่ให้เปิดไม่ให้ปิด เพราะว่า 1 ธส 5:17 ภาษาอังกฤษคือ pray Unceasingly ภาษาไทยจะแปลให้ถูกตามความหมายก็คือ อธิษฐานไม่หยุดหย่อน หรืออธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้ง
ไม่หยุดหย่อนไม่หยุดยั้ง คืออะไร?
เราทุกคนรู้ดีใช่ไหม ก็คือการไม่หยุด พูดไม่หยุด พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ชอบรำคาญ หรือไม่อยากฟังใคร พระเจ้าฟังได้ และพระเจ้าต้องการจะฟัง และพระเจ้าอยากฟัง เพียงแต่เราพูดในสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ว่า (พระเยซูวันนี้ขอบ้าน ขอรถ ขอให้มีเงินเยอะๆ ขอให้สมหวังในความรัก ขอให้มีแฟนหล่อๆ สวยๆ ขอให้ลูกที่เกิดมาฉลาด) แล้วก็นู่นนี่นั่น เยอะแยะเต็มไปหมด โดยที่ไม่มีอะไรเลยที่เป็นน้ำพระทัยของพระบิดา
เพราะฉะนั้นเรารู้ดีพระเยซูเสด็จมา ก็คือพระบุตรเสด็จมา และพระองค์อยู่ในร่างกายของผู้ชายพระเยซู เมื่อพระองค์ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ 33 ปีกว่า พระบิดาเป็นผู้สำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ เราจะเห็นว่าพระเยซูไม่เคยขออะไรที่ตามใจพระองค์เอง คือขอให้มีบ้านหลังใหญ่ๆ มีฐานะดี ร่ำรวย ขอให้สมหวังในความรัก หรืออะไรก็แล้วแต่เหมือนที่พวกเราขอกันตอนที่เป็นคริสเตียนศาสนา แต่พระเยซูขอสิ่งเดียว ก็คือขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา
เพราะฉะนั้นเราทุกวันนี้ เป็นศิษย์เป็นสาวกของพระเยซู และน้ำพระทัยของพระเจ้าพระประสงค์ของพระเจ้า ก็คือให้เราขอตามใจของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจของเราเอง และไม่ต้องเปิดไม่ต้องปิด พระเจ้าไม่มีปิดไม่มีเปิด ไม่มีสวิตช์อีกแล้ว ม่านในพระวิหารขาดแล้ว
เพราะฉะนั้นใน 1 ธส 5:17 พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงตรัสผ่านเปาโลว่า pray Unceasingly ก็คืออธิษฐาน ก็คือพูดคุย อย่างไม่หยุดหย่อน อย่างไม่หยุดยั้ง พูดยาวไปเลย มีโอกาสเมื่อไหร่พูดไปเลย เราพูดเมื่อมีคนที่ไม่เชื่ออยู่ใกล้เราก็พูดในใจแล้วก็คิดพูดกับพระเจ้าคุยกับพระเจ้า พระเจ้าได้ยิน ภาษากรีก Unceasingly หรือไม่หยุดหย่อน ไม่หยุดยั้ง ใน 1 ธส 5:17 ภาษากรีกก็คือ ἀδιαλείπτως (ad-ee-al-ipe'-toce)
เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์เปิดเผยโดยพระวิญญาณต่อเปาโล ว่าผู้เชื่อทั้งหลายควรจะไม่ปิดไม่เปิดคำอธิษฐาน เราจะพูดกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่หยุดยั้ง เอเมน
และเรารู้ดีว่าคนที่เป็นพนักงานส่งพิซซ่า เขาจะไม่เคาะประตูแล้วบอกว่า ข้าพเจ้า ผม ฉัน มาในนามของบริษัทพิซซ่าฮัท หรือบริษัทอะไร คือชุดที่เขาใส่ยูนิฟอร์ม แล้วก็หมวกที่เขาใส่ แล้วก็สิ่งของที่เขานำมามันก็มาจากพิซซ่าฮัทที่เราออเดอร์ไปเมื่อไม่นานมานี้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นการอธิษฐาน การพูดคุย ทุกสิ่ง เราอยู่ในนามของพระเยซู เรากิน เราไป เรามา เรานั่ง เรานอน เราประกาศข่าวประเสริฐ เราร่วมกัน เราสามัคคีธรรม เราอธิษฐาน เรานมัสการพระเจ้า ทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ ณ ตอนนี้ เราทำในนามของใคร? ของพี่น้องคนนั้น หรือว่าของพี่น้องคนนี้ หรือของใคร หรือของอาจารย์... ในนามพระเยซูใช่ไหม โดยที่เราไม่เคยมีใครต้องพูดว่า เอ่อ ตอนนี้น่ะเรานมัสการในนามพระเยซู พระเจ้าทรงรับทราบพระเจ้าทรงรับรู้ เมื่อเราร่วมกันสองหรือสามหรือมากกว่าสองขึ้นไป พระเยซูก็มาอยู่กับพวกเราแล้ว และพระบิดาก็รับรู้ทุกสิ่งแล้วโดยไม่ต้องใช้คำว่า "พวกเราตอนนี้น่ะร่วมกันในนามของพระเยซู"
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้สติปัญญา ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องที่ชัดเจนกับพวกเรา และมันเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคริสเตียนศาสนาที่เขาทำกันมานานหลายปี เราก็ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขาและอธิษฐานเผื่อเขา
ขอบคุณพระเยซูสำหรับวันนี้ที่ความจริงเปิดเผยเราได้รับรู้สิ่งที่เป็นสิ่งที่ลับลึกล้ำลึกลึกลับที่พระเจ้าให้เราเข้าใจ และเราก็ได้เป็นอิสระไม่ต้องทำในสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนคริสเตียนศาสนาทั่วไป ขอบคุณพระเยซูเอเมน
เมื่อพระเยซูหมดหน้าที่และพระองค์ประทานพระวิญญาณให้มาอยู่กับเราในเรา พระเจ้าทำงานผ่านเรา ซึ่งเราควรดำเนินชีวิตและรับใช้ซึ่งเป็นการสานต่อของพระเยซู เราเห็นว่าการทำงานของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ทำตามการกำหนดของพระองค์ คือพระเยซูเสด็จมา พระองค์ให้พระบิดาเป็นคนสำแดงชีวิตและนิสัยให้โลกได้เห็น และกลับใจเชื่อ และสรรเสริญยกย่องพระเจ้า เมื่อมาถึงจุดนี้ พระเยซูให้เราเป็นคนดำเนินชีวิตที่ให้พระคริสต์เป็นผู้กระทำทุกสิ่งผ่านเรา เพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้าให้โลกได้เห็น
และพระเยซูตอนนั้น สองพันปีก่อน พระองค์ทำคนเดียวสำแดงชีวิตและนิสัยของพระบิดาคนเดียว แต่เดี๋ยวนี้พระเยซูต้องการสำแดงชีวิตของพระองค์ผ่านผู้เชื่อทุกคน ที่พระองค์นับว่าเป็นอวัยวะของพระองค์
เพราะฉะนั้นคริสเตียนมากมายทั่วโลกพลาด ไม่มีโอกาสได้สำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้า แต่เขากลับพยายามทำดีด้วยชีวิตเก่าของเขาเอง และมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง เราจะเห็นว่าเขาทำด้วยอาดัม ซึ่งเป็นผลของไม้ ฟาง หญ้าแห้ง บำเหน็จไม่มี กลับได้รับการตีสอน และยุคหน้าก็คือเข้าสู่เกเฮนา
เพราะฉะนั้นตอนนี้ เรา คุณ มีโอกาสสำแดงชีวิตและนิสัยของพระบิดาโดยพระคริสต์ในเราเป็นผู้กระทำทุกสิ่ง เรายอมจำนนให้พระองค์เป็นคนกระทำ "พระเยซูทำเถิด พระเยซูดำเนินชีวิตแทนพวกเราเถิด พระเยซูนี่คือน้ำพระทัยของพระองค์ที่ต้องการใช้ร่างกายนี้ ลิ้น มือ ตา หู ทุกสิ่ง เพื่อให้การดำเนินชีวิตของพวกเราเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อพระองค์ได้รับเกียรติ และบำเหน็จทั้งหลายก็เป็นของพวกเรา สรรเสริญพระเยซู"
• สำหรับข้อที่ 24 "แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา" ซึ่งตอนนั้นสาวกทั้งหลายไม่เข้าใจว่าขอในนามพระเยซู คือขอตามใจพระเจ้า คือการกระทำทุกสิ่งเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย และขอให้เป็นไปตามแผนการงานบริหารของพระเจ้า
เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า จงขอเถิด เมื่อพระเยซูต้องการเปิดเผยความจริง และผู้เชื่อตอนนั้นก็ได้รับรู้บางเรื่องบางอย่าง และทุกวันนี้ความเข้าใจก็ถูกเปิดเผยมากขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นถ้าหากใคร ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา ไม่ขอตามใจเรา ไม่ขอบ้าน ไม่ขอรถ ขอให้ร่ำรวย ขอให้มั่งมี ขอให้มีความสุขสมหวังกับชีวิต และความรัก การงานทั้งหลาย
แต่เราขอให้พระกายของพระเยซูขยายใหญ่ขึ้นในโลกนี้ ไปทางไหนมนุษย์ก็เห็นพระเยซูผ่านพวกเรา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และเมื่อเราทำได้ เราบอกว่า "พระเยซูขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับเรื่องนี้ พระเยซูขอให้โลกได้เห็นพระองค์ผ่านพวกเรา พระเยซูขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ" เราอธิษฐานแบบนี้ทั้งวันทุกวัน สิ่งที่จะตามมา ก็คือพระองค์จะให้สันติสุข ความชื่นชมยินดี เต็มเปี่ยมอยู่ในเราตั้งแต่เช้าจนค่ำ เอเมน
• สำหรับข้อที่ 25 พระเยซูตรัสว่า "เราพูดเรื่องนี้กับท่านเป็นคำอุปมา แต่วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับท่านเป็นคำอุปมาอีกแต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง" อย่างแจ่มแจ้ง คริสเตียนถูกปิดตา คริสเตียนตาบอดมานานหลายๆ ปีเป็นพันๆ ปี แต่ขอบพระคุณพระเจ้าวันนี้คุณได้รับการเปิดเผยและได้เห็นเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้งหรือยัง เห็นหรือยัง? เห็นแล้วเอเมนสรรเสริญพระเยซู
เรารู้แล้วตอนนี้พระบิดาคือใคร คือพระเยซู และพระเยซูก็คือพระบิดา และพระเจ้าสามพระภาค ที่มีพระบุตรเป็นตัวแทนของพระเจ้า และทุกวันนี้เราเห็นทั้งหมดเราเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งมาก เรื่องพระเจ้าไม่มีใครโกหกเราได้ ซึ่งผู้นำมากมายทุกวันนี้ซึ่งเป็นคริสเตียนศาสนาเขารู้เพียงแต่บางส่วน เขายังมีการถกเถียง โต้แย้ง ขัดแย้ง แม้แต่ในคริสตจักรเดียวกัน นิกายเดียวกัน โบสถ์เดียวกัน ก็ยังมีการขัดแย้งแตกแยก เนื่องจากว่าเขาไม่เข้าใจพระบิดาอย่างแจ่มแจ้งเหมือนพวกเรา โอ้ สรรเสริญพระเจ้าเป็นความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่มาก
• สำหรับข้อที่ 27 "เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลายเพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า"
ข้อที่ 26 "ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน" ในวันนั้น ในที่นี้ก็คือ วันที่ผู้เชื่อได้รู้และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามใจเราอีกต่อไป เนื่องจากว่าเราได้รับการเปิดตาผ่านพระคำล้ำลึกจากพระวิญญาณแห่งความจริงแล้ว
ในวันนั้นในที่นี้สำหรับคนที่เชื่อ และได้รับการเปิดเผยความจริงเท่านั้น ซึ่งคริสเตียนศาสนายังมาไม่ถึงจุดนี้ เราขอบคุณและสรรเสริญพระเยซูเอเมน
• สำหรับข้อที่ 28 "เรามาจากพระบิดาและได้เข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระบิดาอีก" อันนี้เราเข้าใจกันดี พระบุตรเป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้าสามพระภาค พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู เมื่อถูกตรึงตาย สามวันต่อมาพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และกลับไปสู่พระบิดา และทุกวันนี้ชีวิตของพระคริสต์ที่อยู่กับเรา ก็คือเป็นก๊อปปี้เป็นชีวิตจริงๆ ของพระองค์ที่พระองค์ให้มาอยู่ในเราในสภาพของพระวิญญาณ เอเมนขอบคุณพระเยซู
มาถึงจุดนี้ เราจะเห็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดที่พระเจ้าต้องการ ก็คือ กาลาเทีย 2:20 เราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา ซึ่งตอนที่พระเยซูเดินไปมาในโลกนี้พระองค์ก็ตรัสว่า เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ แต่เป็นพระบิดาต่างหากที่ใช้ชีวิตของเราอยู่
ท่านทั้งหลายเห็นเราก็คือเห็นพระบิดา ไม่ใช่เห็นตัวตน ไม่ใช่เห็นหน้าตา แต่เห็นชีวิตและนิสัยของพระบิดา เพราะว่าพระบิดาไม่มีตัวตน พระองค์ทรงเป็นวิญญาณ เป็นพระวิญญาณ และสิ่งที่ทูตสวรรค์และมนุษย์ทั้งหลายได้เห็นพระเจ้าก็คือผ่านนิสัยของพระเจ้า 4 ประการ ก็คือความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม ความจริง ความรัก เราจะเห็นความรักของพระเจ้าปรากฏต่อมนุษย์ต่อผู้เชื่อต่อโลกต่อทุกคนในจักรวาลนี้ ก็คือพระเจ้าเป็นความรัก เอเมน
สรุป ก็คือพระเยซูจะไม่ตอบใครยกเว้นบางครั้งบางเรื่องกับบางคนเท่านั้น สำหรับในยุคนี้ เนื่องจากว่าการตอบของพระเจ้าเมื่อคริสเตียนขอ เราอาจจะตื้อพระเจ้า ตื้อพระเจ้า ขอพระเจ้าช่วยบางส่วนบางด้านบางเรื่อง พระเจ้าก็ตอบได้ เนื่องจากว่าพระเมตตาของพระองค์ พระองค์เห็นใจสงสารก็ตอบไป แต่อย่าลืมว่า.. สิ่งที่เราขอให้เป็นตามใจเรา (เราจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่จะตามมา) แต่ถ้าหากเราขอตามใจของพระเจ้า (เราก็ได้รับบำเหน็จ และรับสันติสุขอย่างเต็มเปี่ยม)
เรื่องการขอ เมื่อเราได้รับการเปิดตาให้รู้ว่ายุคนี้คือการทำนา ยุคทำนา โลกนี้คือไร่นา และเราคือชาวนาของพระเจ้า เราเป็นอยู่ชั่วคราว และกำลังสะสมบำเหน็จในสวรรค์เพื่อชีวิตในอาณาจักรและแผ่นดินโลกใหม่ เราจึงอยู่เพื่อรับใช้และนำคนมาเชื่อ เพื่อให้พวกเขาได้คืนดีกับพระบิดา และกลับมามีความหวังในชีวิต เราจึงขอทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือขอในนามของพระเยซู นี่คือความหมาย
สำหรับผู้เชื่อทุกวันนี้ขอทุกสิ่งที่เขาปรารถนาเพื่อสนองความต้องการของเนื้อหนัง หรือกิเลส ตัณหา โลภ หลงของเขา และเอาคำว่าขอลงท้ายในนามพระเยซูมาใส่ แล้วเราคิดดูสิว่าพระเจ้าจะตอบไหม เราขอให้เป็นตามใจของเราเอง แล้วกับพูดว่าข้าพระองค์ขอในนามพระเยซู คือมันไม่แมตกันเลย คือขอๆๆๆๆๆ แล้ว ขอตามใจเรา และสุดท้ายก็เอาพระนามพระเยซูมาใส่ลงท้าย มันเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นอันนี้คริสเตียนศาสนาเขารู้ไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ได้ แต่เรามาถึงจุดนี้เราเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งโดยพระวิญญาณแห่งความจริง เราสรรเสริญพระเจ้าขอบคุณพระบิดาเอเมน
เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ความเข้าใจเรื่องคำว่า pray Unceasingly ก็คืออธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อน อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งในพระคัมภีร์ภาษาไทยจะแปลว่า จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ไม่ได้ความหมายที่พระเจ้าต้องการจะบอกเราจะสื่อกับเรา ซึ่งเราจะเห็นว่าภาษากรีกแตกต่างจากคำว่า อย่างสม่ำเสมอ เราอาจจะใช้คำนี้ได้สม่ำเสมอ แต่มันไม่มีน้ำหนักพอ คำที่เหมาะสมก็คือ ยังไม่หยุดหย่อน ไม่หยุดยั้ง
ถาม.
อยากถามในข้อ 32 สำหรับคำอธิบาย ที่พระเยซูยืนยันว่าพระบิดาเป็นผู้ใช้ร่างกายและใช้ชีวิตของพระเยซูเพื่อสำแดงพระองค์ต่อโลก หมายความว่าพระบิดาก็อยู่ในพวกเราทุกคนด้วย พระองค์ก็จะสำแดงชีวิตของพระองค์ต่อโลกแทนเราด้วยใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
คือสำหรับพระเจ้านะครับ เราเข้าใจกันดีแล้วตอนนี้ใช่ไหมว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าสามพระภาค คือพระองค์ให้เราเข้าใจในพระคัมภีร์ ก็คือพระองค์เรียกพระองค์ว่า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจการทำงานของพระเจ้า แต่จริงๆ แล้วเนี่ยพระเจ้าสามพระภาค ไม่มีชื่อนะครับ ไม่มีชื่อ และไม่ใช่พระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พระองค์เป็นพระวิญญาณทั้งสามพระภาค เรียกว่าพระวิญญาณของพระเจ้า หรือพระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าแห่งพระวิญญาณ
เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ 33 ปีกว่า พระบิดาเป็นผู้สำแดงเป็นผู้กระทำเป็นผู้คิดเป็นผู้พูดเป็นคนทำทุกสิ่ง ผู้ชายชื่อเยซูนะครับไม่ได้ทำอะไร แต่ยอมให้พระบิดาใช้ร่างกาย คือยอมให้พระเจ้าทั้งสามพระภาคใช้ร่างกาย ในนามของพระบิดา เข้าใจกันนะครับ
พระเจ้าสามพระภาค อยู่ในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู และคิดกระทำพูดทุกสิ่งในนามของพระบิดา และพระบุตรก็มีส่วนร่วมด้วย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีส่วนร่วมด้วยในการกระทำในการพูดทุกครั้ง
และเราทุกวันนี้นะครับ เมื่อเรายอมให้พระเจ้าทั้งสามพระภาคใช้ร่างกายของเรา พระคริสต์เป็นคนทำแทนทุกสิ่ง เป็นคนกระทำเป็นคนพูดเป็นคนคิด ในนามของพระเจ้าสามพระภาค พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เป็นผู้ร่วมในการกระทำในการคิด ในนามของพระคริสต์ เข้าใจกันหรือยังครับ
คือพระเจ้าทั้งสามพระภาค ทำทุกสิ่งด้วยกันร่วมกัน ตอนที่พระเยซูอยู่ ก็คือในนามของพระบิดา และเราทุกวันนี้ผู้เชื่อนะครับพระเจ้าทั้งสามพระภาคก็ร่วมกันทำ ในนามของพระคริสต์ ชัดเจนหรือยังครับ
เราจะเห็นนะครับข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า พระคริสต์ก็คือพระเจ้าภาคไหนครับ? ภาคพระบุตรแน่นอนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระเจ้าทั้งสามพระภาค ก็เป็นคนคิด พูด และกระทำ ในนามของพระคริสต์ ก็คือในนามของพระเจ้าพระบุตร
ซึ่งสมัยก่อนพระเยซูกระทำทุกสิ่งนะครับก็คือพระเจ้าทั้งสามพระภาคก็ทำร่วมกัน แต่ในนามของพระบิดา พระเยซูจึงตรัสว่า เราไม่ได้เป็นอยู่ แต่พระบิดาเป็นอยู่
ถาม.
ถามเกี่ยวกับในนามพระเยซู เรารับมานาฯ แล้วเราก็อธิษฐานเอเมน เอเมนก็คือในนามพระเยซู แล้วมันแตกต่างกันยังไง ไม่ลงท้ายในนามพระเยซูครับ
ตอบ.
ก่อนอื่นนะครับเราต้องเข้าใจคำว่า เอเมน คืออะไร คำว่า เอเมน ในวิวรณ์บทที่ 3 ข้อที่ 14 พระเยซูเป็นพระเอเมน เมื่อเราพูดว่าเอเมน อย่าลืมนะครับคำนี้เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่มีฤทธิ์เดช เป็นคำที่มีชีวิต มีพลัง และเป็นพระเยซูเอง เมื่อเราพูดทุกครั้งว่า เอเมน ขอให้จำสิ่งนี้ ก็คือพระเยซูเอง และคือสิ่งที่พูดออกมาแล้วเป็นคำที่มีอำนาจมีฤทธิ์เดชมีชีวิตมีพลัง
ผมนะครับทุกครั้งก่อนจะทานข้าว จะไปไหน จะทำอะไร ผมไม่ได้พูดยาวน่ะ ก่อนจะออกจากบ้านผมก็เอเมน ก่อนจะกินข้าวก็เอเมน ก่อนจะพูดกับใครจะทำอะไรก็เอเมน คือการยืนยันว่าพระเยซูอยู่ในเราอยู่กับเราทำทุกสิ่งแทนเรา และเราทำทุกสิ่งในนามของพระเยซู
ถาม.
คือยังไม่เข้าใจคำว่าที่เราพูดบ่อยๆ น่ะ เอเมนๆๆๆๆ คือเราต้องพูดทุกครั้งไหมคะ ที่เราอยากจะพูดอะไรเราพูดในใจของเรานะคะ พูดถึงว่าเราพูดกับคนที่ไม่เชื่อใช่ไหม อยากอธิบายอะไรบางอย่าง เราพูดเอเมนในใจของเราอยู่แล้ว แต่ถ้าสมมุติว่าพูดกับคนที่เป็นคริสเตียนได้รับการเปิดตาแล้ว เราต้องพูดเอเมนตลอดเวลาไหมคะ เพราะว่าพระเยซูเข้ามาในโลกใบนี้ มาในนามพระบิดา เมื่อพระองค์ทรงพูดพระองค์ไม่ได้พูดว่าเราพูดในนามพระบิดาตลอดเวลาอย่างนี้ค่ะ คือเรารู้แล้วว่าเราถวายตัวใหม่ทุกเช้า เรารู้แล้วว่าพระเยซูพูดแทนเรา เรารู้แล้วว่าการกระทำวันนี้พระเยซูทำแทน อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะสามสิบบ้าง ยี่สิบบ้าง แต่เรารู้ว่าทุกครั้งที่เราจะทำอะไรเราก็จะคิดถึงพระบิดาก่อนอยู่ในใจของเราอยู่แล้วนะคะ คือเราไม่จำเป็นต้องพูดเอเมนๆๆๆ ตลอดเวลา แค่ถามค่ะขอบคุณค่ะ
ตอบ.
สำหรับคริสเตียนฝ่ายวิญญาณนะครับ เมื่อเราถูกเปิดตาแล้ว เมื่อพบกันนะครับหรือเข้ามาร่วมกันรวมกันทุกครั้ง เราอยากจะพูดว่า สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ ก็ได้ หรือพอเรามาเจอกันเราใช้คำว่า เอเมน ก็ได้
สำหรับผมเห็นพี่น้องคริสตจักรพระกายที่อยู่อเมริกา เมื่อเขามาพบกัน มาพบเจอกันเขาจะใช้คำว่า เอเมน หรือ Good Morning ก็ได้ แต่ส่วนมากเขาจะใช้คำว่า เอเมน
และสำหรับเราที่ไม่รู้จะพูดอะไรกับพระเยซู เราพูดเอเมนก็ได้ หรือเมื่อเราเจอปัญหา หรือเมื่อเราจะทำอะไร ก่อนจะทานข้าว ก่อนจะไปไหน เราเอเมน แทนคำว่า ขอพระองค์ปกป้อง ขอพระองค์ปกปักรักษา ขอพระองค์คุ้มครอง ขออย่าให้อากาศร้อน ขอนู่นนี่นั่น เราไม่ขอนะครับ คือผมไม่ขอ แต่ใช้คำเดียวนะครับก็คือ เอเมน ก็คือไป พอฝนตกก็เอเมน ฝนไม่ตกก็เอเมน อากาศดีก็เอเมน อะไรก็ตามที่เข้ามาก็เอเมน รถยางรั่วก็เอเมนก็ขอบคุณพระเจ้า สิ่งนี้ยืนยันว่าเราอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา และเราพูดคุยกับพระเยซูอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างไม่หยุดหย่อน
และสิ่งที่ดีนะครับจะให้ดีกว่านี้ก็คือ เราก็พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด ก็คือสรรเสริญ ก็คือขอบพระคุณ ก็คือนมัสการ ยกย่องพระเจ้า ก็คือให้ทุกสิ่งเหมาะสมประสมประสานกันไป ไม่ใช่ว่าทั้งวันจะพูด เอเมนๆๆๆๆ อันนี้ก็ไม่เหมาะนะครับ
สำหรับเรื่องที่พระเยซูพูดนะครับ คือพระเยซูไม่เคยบอกว่าลงท้ายในนามพระบิดา เราเหมือนกันนะครับ และเราจะเห็นตัวอย่างในพระคัมภีร์ในหนังสือกิจการ เราพบว่าการอธิษฐานของสาวกหลายคน เขาไม่เคยมีใครลงท้ายในนามพระเยซูเลย ไม่มี อย่างเปาโลนะครับ เปาโลอธิษฐานเสร็จก็พูดว่าเอเมน หรือไม่พูดว่าเอเมนก็ได้ ก็คือขอบพระคุณพระเจ้า แล้วก็จบ
สำหรับพวกเราเรารู้ดีนะครับว่าการอธิษฐานในนามพระเยซูคืออะไร และการลงท้ายในนามพระเยซูมันไม่มีในพระคัมภีร์
คือถ้าหากเมื่อเช้านะครับ เมื่อเช้ามีใครเข้ามาก่อนและมีใครพูดคุยอะไรเกี่ยวกับเนื้อหนังไหม (โอ้ วันนี้แดดร้อน รถติด โอ้ยไม่ไหวแระเหนื่อยจัง ทำงานนอนดึกตื่นเช้า) มีใครพูดแบบนี้ไหมครับ ถ้าพูดแบบนี้ก็คือการเข้ามาร่วมกันไม่ใช่ในนามพระเยซูแล้ว คือในนามเนื้อหนังครับ ในนามตัวเราเอง
เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราเข้ามาร่วมกันรวมกัน ก็คือ "ขอบคุณพระเยซู สรรเสริญพระเยซู เอเมนเรารักพระเยซู" บางคนเข้ามาก็ชวนพี่น้องนะครับ "เรารักพระเยซู สรรเสริญพระเยซู สรรเสริญพระบิดา ขอบพระคุณพระองค์ที่วันนี้อากาศแดดร้อน ร้อนมากแต่เรามีสันติสุขเต็มล้นเต็มเปี่ยม เราขอบพระคุณพระเจ้า เอเมน" นี่คือการอธิษฐานในนามพระเยซูครับ เราเข้าใจกันแล้วนะครับ
....
สำหรับการอธิษฐานที่พระเจ้าพอพระทัย เราไม่ต้องพูดมากไม่ต้องพูดยาว สำหรับเราคือพูดแค่สั้นๆ ว่า "ขอให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จ"
มีพี่น้องบางคนบอกว่าฝากอธิษฐานเผื่อด้วยตอนนี้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เราก็บอกว่า "เอเมนพระเยซูขอให้น้ำพระทัยของพระบิดาสำเร็จในชีวิตของคนนี้ เอเมนพระเยซู"
มีบางคนมาบอกว่าต้องการรถนะครับ ไม่สะดวกในการเดินทาง ไปมา รับใช้ การงาน ต้องการรถใหม่ รถที่ใช้อยู่มันไม่ดี เราก็บอกว่ายังไงครับ เราก็บอกว่า "เอเมนพระเยซูขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จเกี่ยวกับเรื่องนี้ กับคนนี้" เท่านั้นนะครับ มีปัญหาร้อยแปดพันประการ ใครจะมาขออะไรให้เราอธิษฐานเผื่อเราพูดคำเดียว "พระเยซูขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในชีวิตของเขา" เท่านั้นเอง แล้วไม่ต้องกลุ้มใจ
เราจำกันได้ไหมสมัยก่อนที่เราเป็นคริสเตียนศาสนา พอมีคนมาขอเราให้อธิษฐานเผื่อ เราจะกลุ้มใจไปกับเขา แล้วเราก็จะแบบว่า คือขอให้พระเจ้าเมตตา พระองค์ขอตอบเถอะ ตอบเขาเถอะ เพื่อเขาจะได้ยกย่องข้าพระองค์!!! ใช่ไหม อันนี้ในใจเราคิดนะครับในใจเราคิด เพื่อว่าเขาจะชื่นชมยินดีและยกย่องเราว่าเราเป็นนักอธิษฐานที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน (ช่วยเขาเถอะพระองค์ช่วยเขา)
แต่สำหรับเราที่เป็นมนุษย์วิญญาณ เราเป็นนักอธิษฐานตามน้ำพระทัย ก็คือ "พระบิดาขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์"
สำหรับพี่น้องที่มีปัญหาที่มาขอให้ผมอธิษฐานเผื่อทุกครั้งทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ผมก็บอกนะครับ "พระบิดาขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์กับคนนี้ กับคนนั้น" และขอบพระคุณพระเจ้านะครับหลายครั้งที่พระเจ้าตอบ ก็ขอบคุณพระเยซู จะตอบแบบไหน จะให้มากให้น้อย หรืออาจจะให้ตามเวลาที่พระองค์กำหนด ก็คือนาน นานนิดนึง ก็ขอบคุณพระเจ้าก็เอเมน
อย่าลืม..เราเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณแล้ว เราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราถูกเปิดตาแล้ว แอกเราก็เบา ภาระก็เบา กางเขนก็เบา ทุกสิ่งเบาไปหมด
และอย่าลืมว่าพระเจ้าเป็นคนดูแลชีวิตของผู้เชื่อทุกคน พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราและทุกคน ตั้งแต่เชื่อจนถึงทุกวันนี้ วันที่เราเชื่อพระองค์จดและวางแผนต่อชีวิตของเรา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
อย่าลืมน่ะพระเจ้าไม่ได้ห่างหาย ไม่ได้หนีไปไหนจากชีวิตของเรา พระองค์อยู่กับเราอยู่ในเรา และพระองค์วางแผนและพระองค์ทำตามที่พระองค์กำหนดไว้กับชีวิตของเราแต่ละคน
อย่าลืมน่ะเรามักจะคิดใช่ไหมว่า พระเจ้าไม่เคยมามอง มองมาที่เรา พระเจ้าไม่สนใจ ไม่ใส่ใจเราอีกแล้ว พระเจ้าไม่รักเรา อันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ
ตั้งแต่วันที่คุณเชื่อ พระเจ้าวางแผนชีวิตของคุณตั้งแต่วันแรก วันที่สอง วันที่สาม เดือนต่อมา ปีต่อมา พระเจ้าเป็นคนวางแผน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราพระเจ้าเป็นคนให้เกิดเอง ก็คือพระเจ้านี่แหละให้เกิดมันจึงเกิดกับเราได้
และทุกสิ่งที่เกิดกับเราเพื่ออะไรครับ? เพื่อเราจะโต เพื่อเราจะเข้ามาถึงพระคุณซ้อนพระคุณ เพื่อเราจะเข้ามาถึงการดำเนินชีวิตคริสเตียนให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
เพราะฉะนั้นเราก็รู้ดีนะครับว่าทุกสิ่งมันอยู่ในแผนการของพระเจ้าแล้ว และทุกคนที่จะรอดหรือไม่รอดก็คือพระเจ้าเป็นคนเลือกแล้ว และทุกคนที่จะโตหรือไม่โต จะเข้าอาณาจักรหรือไม่ได้เข้า พระเจ้าก็เป็นคนกำหนดแล้ว เราจะไปห่วงอะไรอีกล่ะใช่ไหม
และพระเจ้าจะให้ใครหรือไม่ให้ใคร ให้มากให้น้อย ก็คือพระเจ้าเป็นคนกำหนดแล้ว เพียงแต่เราพูดคำเดียวนะครับ "พระเยซูทำเถิด ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด การงานของพระองค์แผนการของพระองค์ ให้สำเร็จในชีวิตของเขาเถิด" แค่นี้เอง และเป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราอธิษฐานแบบนี้ และสุดท้ายบำเหน็จก็เป็นของเรา พระเกียรติก็เป็นของพระองค์ จบแบบสวยงาม
ถาม.
ในข้อที่ 33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว ขออาจารย์ช่วยอธิบายให้กับผู้เชื่อใหม่ด้วยนะคะ เพราะว่าบางคนก็ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เลย แล้วบางคนก็ยังขาดแคลนค่าเช่าบ้านอยู่เลย เอเมนค่ะขอบคุณพระเยซู
ตอบ.
สำหรับเรื่องปัญหานะครับ เรารู้กันดีใช่ไหมว่าปัญหาเกิดจากอะไร ปัญหามาจาก 3 แหล่งใหญ่ๆ ก็คือ..
1. พระเจ้าทดลองทดสอบความเชื่อของเรา เมื่อเราผ่านมันไปได้ คำว่า ผ่านมันไปได้ ก็คือเราไม่บ่น เราไม่บ่น เราไม่ท้อ เราขอบพระคุณพระเจ้า เราไม่ตำหนิติเตียน เราไม่สาปแช่งพระเจ้า เราไม่โกรธโมโหว่าพระเจ้าทำไมไม่ช่วย พระเจ้าทำไมไม่แคร์ ไม่สนใจเลย แบบนี้นะครับ
แต่เรากลับทำสิ่งที่ตรงข้าม ก็คือขอบคุณพระเยซูที่ให้เกิดปัญหานี้เกิดขึ้น ขอบคุณพระเยซูที่ข้าพระองค์อยู่ในสภาวะสถานการณ์แบบนี้ ขอบคุณๆๆ ขอบคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่เราเจอปัญหาอยู่ เมื่อเราทำแบบนี้ก็คือการผ่านปัญหา ผ่านมันไปได้ ก็คือผ่านการทดสอบผ่านการทดลอง ขอบคุณพระเจ้า
และสิ่งที่ 2. ก็คือ การตีสอน เรื่องการตีสอนต้องมีเนื่องจากว่าเราทุกวันนี้ยังทำบาปกันอยู่ และเราซึ่งเป็นคริสเตียนใหม่ๆ ความบาปที่เรามีอยู่พระเจ้าต้องตีสอนเรา ไม่ใช่ลงโทษนะครับ ตีสอน ก็คือพระเจ้าตี ให้ปัญหาเกิดขึ้นเป็นบางครั้งบางคราว แต่พระเจ้าก็รู้นะครับว่าต้องให้ขนาดไหน ไม่หนักเกินไป เพื่อเราจะทนไม่ได้ และพระเจ้าจะเป็นคนปลอบประโลมเรา ถึงแม้ว่าพระองค์จะตีสอนเราก็ตาม
และเราเองเมื่อผ่านมันไปได้ ก็ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระเจ้า มันเกิดขึ้นโอเคไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้านี่คือแผนการงานของพระองค์ให้ข้าพระองค์ได้รับสิ่งเหล่านี้ ก็ขอบคุณพระเจ้า ก็คือผ่านไปได้ เมื่อเราผ่านปัญหาไปได้ เราไม่สาปแช่งพระเจ้า เราไม่โกรธ เราไม่โมโห พระเจ้าจะพลิกสถานการณ์ อย่าลืมนะครับพี่น้องที่เชื่อใหม่สำหรับคนที่เชื่อใหม่ พระเจ้าจะพลิกสถานการณ์เมื่อเราไม่โกรธไม่โมโหไม่สาปแช่งพระเจ้า แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าแทนที่
พระเจ้าจะทำให้ยาก กลายเป็นง่ายได้ สิ่งที่มันหนัก ก็จะเบาได้ และสิ่งที่เป็นร้ายๆ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันร้ายกับตอนนี้ พระเจ้าจะทำให้มันกลายเป็นดีได้ ยากให้กลายเป็นง่าย หนักให้กลายเป็นเบา และร้ายกลายเป็นดี ถ้าหากเราขอบพระคุณพระเจ้าแทนที่จะสาปแช่งพระเจ้าและโกรธโมโห เอเมนไหมครับ
ไปทำดูนะครับสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน ผมมีประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนมา 30 กว่าปี ผมเห็นสิ่งนี้มาเยอะมากแล้ว เราขอบพระคุณพระเจ้าแทนที่จะสาปแช่งพระเจ้าและโกรธโมโห
แน่นอนครับปัญหาจะเกิดขึ้นกับเรา เพื่ออะไร? เพื่อเราจะเติบโต อย่าลืม ปัญหาไม่ต่างไปจากแสงแดดที่จะต้องแผดเผาจะต้องร้อน เพื่อให้ต้นไม้โตขึ้นมาและเกิดผลมากมายได้ ต้นไม้ที่ไม่มีแดดไม่โดนแสงแดดเลยก็คือต้นไม้ที่จะไม่โต หรือโตแต่จะเหี่ยวแห้ง โตแต่จะไม่มีผลตามที่สมควร
อย่าลืมเมื่อเกิดปัญหา เราขอบพระคุณพระเจ้าแทนที่จะโกรธโมโหหรือสาปแช่งหรือออกไปจากความเชื่อของเรา เอเมน
....
สำหรับผู้เชื่อใหม่เราขอบคุณพระเจ้าน่ะ ที่พระเจ้ารักพระเจ้าเห็นใจและพระเจ้าสงสาร ผู้ที่มาต้อนรับมากลับใจมาเชื่อพระเยซูใหม่ๆ อันนี้นะครับในช่วงระยะ ปี สองปี สามปีแรก พระเจ้าเรียกเรานะครับว่าเป็นทารกในความเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะขออะไรและเราต้องการอะไรก็รีบขอ ซึ่งจะขอไม่ใช่น้ำพระทัยก็แล้วแต่ พระเจ้าก็เมตตา เนื่องจากว่าพระเจ้าดูเรามองเราว่าเป็นทารกในความเชื่อ
เพราะฉะนั้นขอเถอะ ขออะไรก็ได้ แล้วสิ่งที่มันหนักพระเจ้าจะทำให้กลายเป็นเบามากๆ นะครับ ปัญหาที่เข้ามาก็จะไม่หนักเกินไป สำหรับพี่น้องบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพใช่ไหม ขอนะครับ แล้วก็ให้พี่น้องอธิษฐานเผื่อ การรักษาก็จะมาเร็วก็จะหายดี
และสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องการใช้จ่ายเงินไม่พอ ต้องการตอนนี้สะสางค่าเช่า พระเจ้าจะมีทางจะเปิดทางให้สิ่งนี้ได้รับการแก้ไขปัญหาได้ สำหรับคนที่เชื่อใหม่นะครับผมเห็นมาเยอะ ขอนะครับขอพระเจ้า อย่าลืมนะครับหนักจะกลายเป็นเบา และเบามากๆ ด้วย ร้ายจะกลายเป็นดี และดีมากๆ ด้วย
ก็เหมือนพ่อแม่ที่มองดูเด็กทารกที่เกิดใหม่ ก็จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีกว่า มากกว่าคนที่โตมานิดนึงแล้ว เราอย่าลืมนำเรื่องของพี่น้องผู้เชื่อใหม่ และพี่น้องที่เชื่อนานแล้วก็ไม่เป็นไร เราอธิษฐานเผื่อพี่น้องเหล่านี้ที่มีปัญหา การอธิษฐานเผื่อคือกุญแจ คือทางออกที่พระเจ้าตอบ พระเจ้าแก้ไข พระเจ้ามาช่วยทันท่วงที
ถาม.
ขอถามอีกข้อหนึ่งค่ะ สำหรับผู้เชื่อใหม่ คือวันนี้เขาได้ต้อนรับเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว เราจำเป็นไหมค่ะที่เราจะต้องกลับไปไหว้รูปเคารพที่บ้านอีก หรือไปไหว้พระอื่นอีก
ตอบ.
โดยปกตินะครับ สำหรับพระเจ้า สำหรับพระเจ้าพระองค์ไม่ประสงค์หรือไม่ต้องการให้ใคร ที่เมื่อมาเชื่อในพระเยซู และต้อนรับพระเจ้าแล้ว ก็คือพระองค์ต้องการให้เรานมัสการสรรเสริญกราบไหว้พระเจ้าเท่านั้น และเราไม่ต้องใช้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องไปซื้ออะไรมา มาทำพิธีมาไหว้ มาอะไรก็แล้วแต่นะครับ เพื่อให้พระเจ้าดีใจเหมือนกับเราทำในตอนที่เราเป็นศาสนาเก่าอยู่ ซึ่งเราเพียงแต่เอาหัวใจมาให้พระเจ้า มานมัสการ สรรเสริญ ยกย่อง ขอบพระคุณพระเจ้า
และถามว่าพระเจ้าต้องการให้เรากลับไปทำในสิ่งที่เป็นสิ่งที่เราเคยทำไหม? พระเจ้าไม่ประสงค์นะครับ ไม่อยากให้เราทำ แต่พระเจ้าก็เข้าใจ
พระเจ้าก็เข้าใจ สำหรับคนที่เชื่อใหม่อาจจะยังมีศาสนาเดิมอยู่ ยังอยากจะกลับไปทำอยู่ ถ้าหากจำเป็นนะครับถ้าหากจำเป็น หรือกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราไหม หรือเห็นแก่ครอบครัวคนในครอบครัวที่เขายังทำอยู่ แต่เรามาเป็นคริสเตียนเรามาเชื่อในพระเยซูแล้ว เราอาจจะทำ เราอาจจะทำนะครับ แต่ถามว่าผิดไหมก็ผิด แต่พระเจ้าเข้าใจ
เอาแบบนี้ง่ายๆ คือการไปทำในสิ่งที่เราเคยทำอยู่เหมือนในศาสนาพุทธ เราทำนะครับ แต่พระเจ้าเข้าใจ พระเจ้าเห็นใจเรา และเราเชื่อนานไปพอเราเชื่อนานเข้าเนี่ย พระเจ้าจะเริ่มเปลี่ยนเราเอง และพระเจ้าจะทำให้เราหยุดทำเอง และเราจะไม่อยากทำในสิ่งที่เราเคยทำ เอเมนไหมครับ
สำหรับพี่น้องที่เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ หรือใครก็ตามนะครับ เมื่อเราชวนใครมาเชื่อ ชวนใครมารับรู้ความเข้าใจใหม่ความเชื่อใหม่ "มาเชื่อพระเยซูดูว่าจะได้รับอะไร จะมีความสุขมากกว่าเดิม จะมีสิ่งที่ดีมากกว่าเดิมเกิดขึ้นกับเรา พระเจ้าจะช่วยเราดูแลปกปักรักษาเรา ให้เรารอดในวันสุดท้ายไม่ต้องไปอยู่ในนรกบึงไฟ" เราบอกเขา และพอเขากลับใจเชื่อ เราอย่าไปบังคับเขา เราอย่าไปบอกเขานะครับว่าให้ทิ้งสิ่งเดิมทั้งหมด ไม่ต้องครับ
เราอธิษฐานเผื่อเขา เราอธิบายนะครับว่า พระคำพระเจ้าเป็นแบบนี้ รับพระเจ้าแล้วมีความสุข คือให้เขาเติบโตเอง พอเขาเติบโตเองนะครับ พอเขามีความเข้าใจในพระคำพระเจ้าในพระประสงค์ของพระเจ้า สุดท้ายเขาจะไม่ทำเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นคนสอนเขาครับ
สำหรับผมนะครับเคยเห็นผู้ประกาศพี่น้องหลายคนที่ไปประกาศ พอเขากลับใจเชื่อก็ชวนเขาอธิษฐานต้อนรับพระเยซู พอเสร็จแล้วนะครับ ผู้ประกาศก็บอกว่าตั้งแต่นี้ไป ทิ้งเลย แท่นบูชา พระทั้งหลายเอาไปทิ้ง แต่สุดท้ายนะครับครอบครัวก็เดือดร้อน เนื่องจากว่าคนในครอบครัวเขายังไม่ต้อนรับพระเยซูทั้งหมด เพียงแต่เขาคนเดียวที่ต้อนรับพระเยซู
เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นใจ เราต้องเข้าใจคนในครอบครัวของเขา สมาชิกครอบครัวของเขา และเห็นแก่ความเชื่อใหม่ของเขาที่เขายังระหวาดระแวง เขายังสงสัย เขายังสับสน ซึ่งเขาอาจจะยังอยากไปกราบไหว้พระเดิมที่เขาเคยกราบไหว้อยู่ ปล่อยให้เขาทำไปนะครับ ปล่อยให้เขาทำ เพียงแต่เราค่อยๆ อธิษฐาน และค่อยๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ
จากนั้นไม่นานนะครับไม่นานเราเห็นไหมครับว่าคริสเตียนหลายคนพอเชื่อพระเยซู 3-4-5 เดือน ปีหนึ่งผ่านไป มีใครไหมที่กลับไปกราบไหว้พระเดิม ไม่มีใช่ไหม เราไม่ต้องใจร้อนนะครับ เราไม่ต้องรีบไปบอกเขา (เอาทิ้งเดี๋ยวนี้ ทิ้งวันนี้ ตั้งแต่นี้ไป) อันนั้นจะทำให้เขาเดือดร้อนและคนในครอบครัวของเขาจะเดือดร้อน เนื่องจากว่ามารซาตานจะเล่นงานทุกคนที่มันเล่นงานได้ในตอนนั้นนะครับ
สำหรับกรณีที่บางคนที่มีพี่น้องบางคนที่ต้อนรับพระเยซูใหม่ๆ เชื่อใหม่ๆ เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอย่างเด็ดขาดว่าผมอยากทิ้งทั้งหมดอยากตัดสินใจ คือต้อนรับพระเยซูเอาพระเยซูผู้เดียวเท่านั้น ไม่สนใจสิ่งอื่นแล้ว อันนั้นโอเคครับเอเมนเราบอกเขาได้ คือพระเจ้าต้องการให้เราทิ้ง ถ้าทิ้งได้ก็ทิ้ง ถ้ากลัวอยู่ก็รอไปก่อน ก็ทำไปก่อนได้ไม่เป็นไร
อย่าลืมนะครับเราทำทุกสิ่งตามขนาดของความเชื่อ และเราไม่เคร่งศาสนา เราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราค่อยเป็นค่อยไป
แน่นอนครับบุตรพระเจ้าทุกคนเนี่ย ในที่สุดไม่มีใครหรอกที่ได้รับรู้สันติสุข ได้รับรู้ความรอดความเข้าใจใหม่ และซาบซึ้งในความรักของพระเยซู สุดท้ายทุกคนจะไม่หนีไปไหน และจะไม่กราบไหว้สิ่งอื่นพระอื่นแน่นอน แต่กราบไหว้นมัสการพระเยซูเท่านั้น พี่น้องพวกเราในที่นี้มีใครไหมที่อยากจะกลับไปกราบไหว้ ไม่มีใช่ไหม เพราะว่าเราซาบซึ้งในความรักในพระคุณของพระเจ้า เรารับความรู้ความเข้าใจที่เต็มล้นแล้ว อันนี้แน่นอน ใครชวนไปก็ไม่ไป ใครบังคับให้ไปก็ไม่ไปแน่นอนครับ
แต่สำหรับพี่น้องที่เชื่อใหม่ เราเห็นใจเขา เราอธิษฐานเผื่อเขา เราให้ความรู้แก่เขา และเขาจะเป็นคนตัดสินใจเอง
ถาม.
ดิฉันมีเพื่อนเป็นพุทธ พุทธจ๋าเลย วันพระเขาก็มาชวนให้ดิฉันไปวัด ทีนี้วันอาทิตย์ดิฉันก็ไปโบสถ์ใช่ไหม ทีนี้พอเขาชวน ดิฉันก็บอกว่า เอาอย่างนี้ละกันเดี๋ยววันพระเราไปเป็นเพื่อนเธอที่วัดนะ แล้วก็วันอาทิตย์เธอก็ไปเป็นเพื่อนเราที่โบสถ์ด้วยนะ เขาบอกโอเคๆ ไม่เอาล่ะไม่ชวน ก็ขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่เอาเลย ไม่ไปโบสถ์กับดิฉัน แล้วเขาก็บอกเราไม่ชวนเธอล่ะวันพระ เธอไม่สะดวกเนาะ ก็ขอบคุณพระเจ้าค่ะ
ตอบ.
มีพี่น้องคริสเตียนบางคนก็เคยเจอในลักษณะของพี่น้องที่ถามที่เจอนะครับ แต่พี่น้องคนนั้นเขาทำในสิ่งที่ไม่เหมือนกับที่พี่น้องทำ
คือเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคนพุทธนับถือศาสนาพุทธ แล้วมาชวนเขาให้ไปวัด คือชวนเขาไปวัด เขาก็ไป แต่เขาไม่กราบไหว้ไม่ทำเหมือนที่คนเขาทำกัน ก็คือเข้าไปร่วมนะครับเข้าไปนั่งแต่นั่งอยู่ด้านนอกของศาลา หรือในที่ที่คนเขานั่งกันอยู่ เขาก็ไปด้วยนะครับ คือไปเป็นเพื่อน ไปเป็นเพื่อน แล้วเขาก็อธิษฐานเผื่อ อย่าลืมนะครับคริสเตียนเข้าวัดได้นะครับ เข้าไปในบริเวณวัดได้ คือไม่ได้เป็นอะไร เข้าไปได้ เพียงแต่ว่าเราไม่ไปกราบไหว้ เราไม่ไปกราบไหว้รูปเคารพ แล้วก็ไม่ไปพนมมือทำเหมือนเขาทำกันอยู่ เพียงแต่ว่าเราเข้าไป ก็คืออธิษฐาน ก็คือขอบคุณพระเยซู เข้าไปเป็นเพื่อนของเพื่อนคนนั้น
คือเอาชนะใจเขา และในที่สุดนะครับ และไม่ต้องชวนว่า "ผมมาหาคุณ ฉันมาหาเธอ เธอต้องไปหาฉันที่โบสถ์" ไม่ต้องเลยครับ เราอธิษฐานเผื่อเขาและเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา สุดท้ายนะครับก็ชนะใจคนนั้นได้ แล้วเขาพูดเองอยากไปโบสถ์อยากไปดูเธอทำอะไรที่โบสถ์ เพราะว่าเธอมาหาฉันเธอไปวัดกับฉัน แค่นั้นเอง
เราเห็นภาพนึกภาพออกใช่ไหมสิ่งที่ผมพูดคืออะไร เข้าใจกันไหมครับ
ไม่ต้องมีข้อแม้นะครับ อย่าลืม "อากาเป" ไม่มีข้อแม้ คุณต้องทำกับฉันก่อน ฉันจึงจะทำกับคุณ ไม่นะครับ คือฉันจะไปกับคุณ ฉันจะทำกับคุณ แต่อย่าลืมต้องอธิษฐาน ถ้าหากเรามีใจร้อนรนกระตือรือร้น พระวิญญาณบริสุทธิ์อนุญาตให้เราไปเราก็ไป ไม่ใช่ว่าโอเคๆ ตกลง แต่ในใจของเรามีสิ่งที่ห้ามไว้ แล้วเตือนเราไม่ให้ไป เราก็ยังดื้อนะครับก็ยังดื้อไป อันนี้ไม่ได้ครับ
สรุปก็คือ เราไป เราทำ เพื่อเอาใจเพื่อเอาชนะใจเขาได้ คืออันนี้เป็นสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยผ่านเปาโล เราทำทุกสิ่งเราทำเพื่อเอาใจมนุษย์ เราทำเพื่อให้เอาชนะใจมนุษย์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไปกราบไหว้กับเขานะครับ และสิ่งสำคัญเราก็ต้องดูว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราอนุญาตไหม หรือไม่อนุญาต ต้องดูสิ่งนี้อีกทีครับ
ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ห้ามเราก็ไม่ไป แต่สิ่งสำคัญก็คือเราอย่าไปใช้คำพูดในลักษณะของ คือถ้าฉันไปกับคุณ ไปกับเธอ เธอต้องมาหาฉัน อันนี้ไม่ครับไม่มีข้อแม้นะครับ คือเราไปเอาชนะใจเขาไปเป็นเพื่อนเขา
เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ประทานความเข้าใจ เปิดเผยสิ่งที่เป็นข้อลึกลับของพระองค์ให้พวกเราได้รับรู้ และเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่พวกเราได้กินและเติบโตสู่ชีวิตใหม่ ชีวิตที่เต็มครบบริบูรณ์ในพระคริสต์ เอเมนสรรเสริญพระเยซู