1. ยอห์นบทที่สี่ พระเยซู คือสันติสุขทุกวันเวลาของเรา
2. นมัสการในวิญญาณ ไม่ใช่ด้วยวิญญาณ
3. พระเจ้าจะไม่อยู่ที่ตึกอีกแล้ว รวมทั้งพระวิหารและทุกอาคารทุกสถานที่ แต่จะเข้ามาอยู่ในเรา
4. อาหารหรือน้ำดื่มของคนบาปที่กลับใจคือพระเยซู (พระเยซูคือน้ำแห่งชีวิต หรือสันติสุขของคนบาปที่กลับใจ) แต่อาหารของพระเยซูคือกระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา
4:1 เหตุฉะนั้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบว่า พวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงมีสาวกและให้บัพติศมามากกว่ายอห์น
4:2 (แม้ว่าพระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่สาวกของพระองค์เป็นผู้ให้)
4:3 พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียและกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก
4:4 พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย
** ประเทศอิสราเอลสมัยนั้นมีสามแคว้น
1. กาลิลี (ภาคเหนือ)
2. สะมาเรีย (ภาคกลาง)
3. ยูเดีย (ภาคใต้ - นครหลวง)
** ชาวยิวรังเกียจชาวสะมาเรียเพราะว่าพวกเขาเป็นชาวยิวผสม และแต่งงานกับต่างชาติ
** เมื่อชาวอิสราเอลที่อยู่ภาคใต้จะเดินทางขึ้นเหนือ และที่อยู่ภาคเหนือจะเดินทางลงใต้ พวกเขาจะเลือกเดินทางล้อมรอบและไม่เดินผ่านแคว้นสะมาเรียโดยเด็ดขาด
** แต่พระเยซูและสาวกเลือกเดินทางผ่านแค้วนสะมาเรีย เพื่อช่วยผู้หญิงคนหนึ่ง และชาวสะมาเรียอีกมากมายให้ถึงความรอด
4:5 พระองค์จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรียใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟบุตรชายของตน
** ปฐก 33:18-19 (18 เมื่อยาโคบเดินทางจากปัดดานอารัมก็มาถึงเมืองเชเลมซึ่งเป็นเมืองของเชเคมในแผ่นดินคานาอัน เขาตั้งเต็นท์อยู่หน้าเมืองนั้น 19 ยาโคบซื้อที่ดินแปลงหนึ่งที่ตั้งเต็นท์อยู่นั้น จากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยเหรียญ)
** ปฐก 48:22 ยิ่งกว่านั้นอีก พ่อจะยกส่วนหนึ่งที่พ่อตีได้จากมือคนอาโมไรต์ด้วยดาบและธนูของพ่อนั้นให้แก่เจ้าแทนที่จะให้พี่น้องของเจ้า”
** ยชว 24:32 กระดูกของโยเซฟซึ่งชนอิสราเอลนำมาจากอียิปต์นั้น เขาฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบซื้อไว้จากลูกหลานของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงินหนึ่งร้อยแผ่น ที่นี้ตกเป็นมรดกของลูกหลานโยเซฟ
4:6 บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงประทับบนขอบบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง
4:7 มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า "ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง" (มีอะไรที่จะให้เราดื่มบ้าง)
** เป็นคำถามที่พระเจ้าทรงถามมนุษย์ว่า "เจ้ามีอะไรให้เราบ้าง" หรือมีอะไรมาถวายให้เราไหม เป็นคำถามที่ต้องการย้ำ เพื่อให้เรายอมรับว่าเราไม่มีอะไร หรือไม่มีอะไรดีเพียงพอ ที่จะถวายพระเจ้าได้ นอกจากชีวิตที่เหี่ยวแห้ง และขาดสุขที่ต้องไปหาสุขมาดื่มกิน เพื่อประทังหัวใจที่ขมขื่น ทุกข์ระทม เดียวดาย ว้าเหว่ ถูกโลกรังแก
4:8 (ขณะนั้น สาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง)
4:9 หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า "ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงสะมาเรียเพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย"
** ผู้หญิงคนนี้ไม่เข้าใจคำถามที่เน้นเรื่องสันติสุขของพระเยซู
** เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลย - นางพูดถูกเพราะว่าชาวสะมาเรียรู้ดีว่าชาวยิวที่ไม่ผสมรังเกียจพวกเขา
4:10 พระเยซูตรัสตอบนางว่า "ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า `ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าจะได้ขอจากท่านผู้นั้นและท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่เจ้า"
** "ของประทานของพระเจ้า" คือชีวิตนิรันดร์ที่มี ความรอด ความหวัง พระพรฝ่ายวิญญาณอย่างครบถ้วน
** "น้ำ" ในที่นี้ คือสันติสุข ที่พระเยซูเสนอให้หญิงต่างชาติคนนี้
4:11 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึกท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิตนั้นมาจากไหน
4:12 ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือและยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย"
** นางพูดถึงเรื่องฝ่ายเนื้อหนัง แต่พระเยซูพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นคนละเรื่อง
** ผู้เชื่อมากมายที่เชื่อพระเจ้า มีพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ แต่ไม่รู้จักความหมายฝ่ายวิญญาณ และนี่คือเหตุผลที่ผู้เชื่อมากมายเปลี่ยนคริสเตียนกลายเป็นศาสนาในที่สุด
4:13 พระเยซูตรัสตอบนางว่า "ผู้ใดที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก
** ความสุข ความพอใจที่โลกให้เจ้า จะไม่ทำให้เจ้าพอใจและอิ่มใจได้ตลอดไป
4:14 แต่ผู้ใดที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลยแต่น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"
** "จะไม่กระหายอีกเลย" - ตราบใดที่เราอยู่ในพระคริสต์ สนิทสนมกับพระองค์ในพระวิญญาณ เราจะไม่กระหายอีกเลย เป็นชีวิตที่เหมือนต้นไม้ที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากแม่น้ำอยู่เสมอ
** "จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขา" - เมื่อเราเชื่อ พระคริสต์จะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา และพระคริสต์เองคือบ่อน้ำพุแห่งชีวิต หรือสันติสุขของเรา ที่อยู่ในวิญญาณของเรา
** "พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์" - ไม่ใช่ถึงความรอด แต่เป็นการได้รับสุขและชื่นชมยินดีอย่างมากมายเหลือล้น (รับพระวิญญาณอย่างไม่มีขีดจำกัด) หรือเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ จนเรายอมตายหรือทำอะไรก็ได้เพื่อพระเจ้า นี่คือชีวิตที่กระตือรือร้นและเต็มด้วยน้ำแห่งชีวิต พระวิญญาณของผู้ชนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในแต่ละวันก็สุขได้
4:15 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิดเพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่"
** ผู้เชื่อมากมายกำลังขอพระเจ้าเหมือนผู้หญิงคนนี้ที่ขอ "น้ำ" ฝ่ายร่างกาย เพื่อทุเลาความหิวกระหาย หรือความสุขฝ่ายร่างกายเนื้อหนัง แต่สิ่งที่พระเจ้าจะให้ในยุคนี้คือพระพรฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เพื่อให้เขาทนต่อปัญหาอุปสรรคที่จะเข้ามาในแต่ละวัน
4:16 พระเยซูตรัสกับนางว่า "ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่เถิด"
** พระเจ้าใช้คำพูดนี้กับเราเพื่อเปิดเผยให้เรารู้ว่า เราเป็นคนบาป เคยทำบาป มีบาปมากมายเหมือนผู้หญิงคนนี้
4:17 นางทูลตอบว่า "ดิฉันไม่มีสามีค่ะ" พระเยซูตรัสกับนางว่า "เจ้าพูดถูกแล้วว่า `ดิฉันไม่มีสามี'
4:18 เพราะเจ้าได้มีสามีห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง"
4:19 นางทูลพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์
4:20 บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าสถานที่ที่ควรนมัสการนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม"
4:21 พระเยซูตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิดจะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม
4:22 ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จักซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นเนื่องมาจากพวกยิว
4:23 แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้วคือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาในวิญญาณและความจริงเพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
** เมื่อถึงยุคพระคุณ ผู้เชื่อทุกคนมีพระเจ้าทั้งสามพระภาคอยู่กับเขา เรือนของพระเจ้าคือวิญญาณของผู้เชื่อ พระเจ้าย้ายที่ประทับจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาอยู่ในเราแล้วเพราะฉะนั้นการนมัสการพระเจ้าจึงต้องนมัสการในวิญญาณและในความจริง ไม่ใช่ในสถานที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป ที่ไหนก็ได้ที่มีผู้เชื่อ ที่นั่นเรานมัสการพระเจ้าได้
** "ด้วยวิญญาณ" คือคำแปลที่ผิด คำที่แปลถูกคือ "ในวิญญาณ" (in the Spirit) not “by the spirit” By the spirit คือ ด้วยวิญญาณ แต่ in the spirit คือในวิญญาณ
4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"
** เมื่อพระเจ้าทรงประทับอยู่ที่พระวิหาร ทรงประทับที่นั่นชั่วคราว จนกว่าเรือนที่แท้จริงของพระเจ้าคือผู้เชื่อจะถูกก่อสร้างสำเร็จ และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายและมาจัดเตรียมบ้านเรือนของพระบิดา พระเจ้าจึงมีเรือนที่ถาวร และเราสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าหรือเข้าสนิทในพระเจ้าในวิญญาณได้ทุกวันและตลอดไปเป็นนิตย์
** เมื่อถึงโลกหน้า พระวิญญาณก็ยังอยู่กับเราและตลอดไปไม่มีวันพรากจากกันไปได้อีกเลย อาเมน (มธ 13:43 พระเยซูตรัสว่า คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ใครมีหูจงฟังเถิด)
** "ส่องแสง" ในที่นี้ คือพระคริสต์ในเราเป็นผู้ส่องแสงผ่านชีวิตของเราเพราะว่าเราไม่มีแสงที่จะส่องได้
4:25 ผู้หญิงคนนั้นทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า พระคริสต์ เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงบอกพวกเราถึงสิ่งสารพัด”
4:26 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่กล่าวกับเจ้าเป็นท่านผู้นั้น”
4:27 และขณะนั้นพวกสาวกของพระองค์ก็มาถึง และประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่มีใครกล่าวว่า “พระองค์ทรงแสวงหาอะไร” หรือ “ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง”
4:28 แล้วผู้หญิงคนนั้นจึงละทิ้งหม้อน้ำของนางไว้ และไปตามทางของนางเข้าไปในนคร และกล่าวแก่พวกผู้ชายว่า
4:29 “จงมา ดูท่านผู้หนึ่ง ซึ่งได้บอกฉันถึงสิ่งสารพัดที่ฉันได้เคยกระทำ ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์มิใช่หรือ”
4:30 แล้วคนทั้งหลายจึงออกไปจากนคร และมายังพระองค์
4:31 ในขณะเดียวกัน พวกสาวกของพระองค์ทูลเชิญพระองค์ โดยทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า เชิญรับประทานเถิด”
4:32 แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า "เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้"
4:33 พวกสาวกจึงถามกันว่า "มีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ"
4:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ”
** "อาหารหรือน้ำดื่มของคนบาปที่กลับใจ" คือพระเยซู (พระเยซูคือน้ำแห่งชีวิต หรือสันติสุขของคนบาปที่กลับใจ)
** "แต่อาหารของพระเยซู" คือกระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา
4:35 ท่านทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือดูเถิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่ารวงข้าวเหลืองอร่ามและเก็บเกี่ยวได้แล้ว
4:36 คนที่เกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้างและกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน
4:37 เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง คือ `คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว'
4:38 เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำและท่านได้ประโยชน์จากแรงของเขา"
** "คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว" คนที่หว่านก็คือผู้รับใช้ในสมัยก่อนตั้งแต่โมเสสและอีกหลายคนที่หว่านพระคำต่อชนชาติอิสราเอลและโดยเฉพาะชาวสะมาเรียที่พระเยซูและสาวกมาเก็บเกี่ยว หรือมานำเขาเข้าถึงความรอดและเข้าสู่แผนการของพระเจ้า
** "ทุ่งนา" คือชาวสะมาเรียที่กลับใจ
** "คนหว่าน" คือผู้รับใช้สมัยก่อน
** "คนเก็บเกี่ยว" คือพระเยซูและสาวกที่มาเพื่อช่วยชาวสะมาเรียนี้ให้รอด (ดูข้อ 39 - 42)
4:39 ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้น ที่ว่า "ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ"
4:40 ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์แล้ว พวกเขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้พระองค์ประทับอยู่กับพวกเขา และพระองค์ประทับที่นั่นเป็นเวลาสองวัน
4:41 และอีกหลายคนได้เชื่อเพราะคำตรัสของพระองค์เอง
4:42 และกล่าวแก่ผู้หญิงคนนั้นว่า “บัดนี้พวกเราเชื่อ ไม่ใช่เพราะถ้อยคำของเจ้า เพราะพวกเราได้ยินพระองค์เองแล้ว และทราบว่านี่แหละคือพระคริสต์อย่างแท้จริง คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก”
4:43 บัดนี้หลังจากผ่านไปสองวัน พระองค์ก็เสด็จออกจากที่นั่น และเข้าไปยังแคว้นกาลิลี
4:44 เพราะพระเยซูเองทรงเป็นพยานว่า “ศาสดาพยากรณ์ไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตนเอง”
4:45 ฉะนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้ามายังแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีเหล่านั้นได้ต้อนรับพระองค์ โดยได้เห็นสิ่งสารพัดที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ณ กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลเลี้ยงนั้น เพราะเขาทั้งหลายได้ไปยังเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย
4:46 ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จเข้ามายังบ้านคานาแห่งแคว้นกาลิลีอีก ที่ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้น้ำเป็นน้ำองุ่น และที่นั่นมีขุนนางคนหนึ่ง ผู้ซึ่งบุตรชายของท่านป่วยหนักที่เมืองคาเปอรนาอุม
4:47 เมื่อท่านได้ยินว่าพระเยซูได้เสด็จออกมาจากแคว้นยูเดียเข้ามายังแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปหาพระองค์ และทูลอ้อนวอนพระองค์ให้พระองค์เสด็จลงมา และรักษาบุตรชายของตนให้หาย เพราะบุตรชายนั้นจวนจะเสียชีวิตแล้ว
4:48 แล้วพระเยซูได้ตรัสกับท่านว่า “ยกเว้นพวกท่านเห็นบรรดาหมายสำคัญและการมหัศจรรย์ทั้งหลาย พวกท่านก็จะไม่เชื่อ”
4:49 ขุนนางผู้นั้นทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอเสด็จลงมาก่อนที่บุตรของข้าพระองค์จะตาย”
4:50 พระเยซูตรัสกับท่านว่า “จงไปตามทางของท่านเถิด บุตรชายของท่านมีชีวิตอยู่” และท่านผู้นั้นก็เชื่อพระดำรัสที่พระเยซูได้ตรัสกับท่าน และท่านจึงไปตามทางของท่าน
4:51 และขณะที่ท่านกำลังลงไปนั้น พวกผู้รับใช้ของท่านได้มาพบท่าน และบอกท่าน โดยกล่าวว่า “บุตรชายของท่านมีชีวิตอยู่”
4:52 แล้วท่านจึงถามพวกผู้รับใช้ถึงเวลาเมื่อบุตรเริ่มทุเลานั้น และพวกเขากล่าวกับท่านว่า “เมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง ไข้ก็ออกจากเขา”
4:53 ดังนั้นบิดาจึงทราบว่าเป็นชั่วโมงเดียวกันนั้น ซึ่งพระเยซูได้ตรัสกับตนว่า “บุตรชายของท่านมีชีวิตอยู่” และท่านเองก็เชื่อ และครัวเรือนทั้งหมดของท่าน
4:54 นี่เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่สองที่พระเยซูทรงกระทำ เมื่อพระองค์เสด็จออกมาจากแคว้นยูเดียเข้ามายังแคว้นกาลิลี