เปโตรเขียนหนังสือเปโตรฉบับที่สองเพื่อให้คริสเตียนยิวได้ระมัดระวังคำสอนปลอมที่แอบแฝงเข้าในในท่ามกลางคริสตจักรของพระเจ้า และหนุนใจพวกเขาให้เพิ่มความเชื่อให้มากขึ้น ซึ่งเป็นความเชื่อของพระเยซูที่เข้ามาแทนที่ความเชื่อของเรา เพื่อให้เราตั้งมั่นในการเดินในพระคริสต์ ไม่หลุดหลงออกไปสู่ชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แสวงหาการเติบโตเป็นผู้ชนะเพื่อรอคอยการกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเพื่อมารับเรา
1:1 ซีโมนเปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เรียน ท่านทั้งหลายที่ได้รับความเชื่ออันประเสริฐอย่างเดียวกันกับเรา โดยความชอบธรรมของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลาย
** ผู้รับใช้ กรีกคือ ผู้รับใช้ หรือ ทาสรับใช้
** ได้รับความเชื่ออันประเสริฐอย่างเดียวกัน คือผู้เชื่อทุกคนมีความเท่าเทียมกันเรื่องความเชื่อที่นำเราทุกคนมาถึงความชอบธรรม ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครทำได้มากกว่าหรือน้อยกว่าใคร เพื่อให้ได้รับความรอด แต่เรามีความเชื่อเพื่อให้ได้มาถึงความรอดที่เท่ากัน
** ความชอบธรรมของพระเจ้าที่กระทำเพื่อเรา คือพระองค์สำแดงชีวิตผ่านพระเยซูที่เป็นมนุษย์ตลอดสามสิบสามปีกว่า ส่วนความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ที่กระทำเพื่อเรา ก็คือการยอมเชื่อฟังพระบิดา และยอมตายบนกางเขนเพื่อเป็นเครื่องไถ่บาปเราทั้งหลาย
1:2 ขอพระคุณและสันติสุขจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลาย โดยรู้จักพระเจ้าและพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
** สำหรับความเป็นจริงของพระเจ้า พระองค์ประทานสันติสุข และพระคุณให้เรามากมายแล้วในพระคริสต์ แต่ประสบการณ์ที่เข้าถึงสันติสุข และพระคุณยังต้องอาศัยการเปิดตา หรือรับความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำพูดของเปโตรพูดเป็นนัยว่า ขอให้ท่านได้รู้เถิดว่าพระคุณ และสันติสุขของท่านทั้งหลายมีเต็มในพระคริสต์แล้ว คำว่า รู้จัก ในที่นี้ กรีกคือ ἐπιγνώσει ความรู้ หรือการได้รู้
** พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือการยืนยันของเปโตรว่า พระเยซูเป็นพระเจ้า Θεοῦ ที-โอ
1:3 ด้วยเห็นแล้วว่าฤทธิ์เดชอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เราที่จะให้มีชีวิตและทางที่เป็นอย่างพระเจ้า โดยรู้จักพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกเราให้ถึงสง่าราศีและคุณธรรม
** สำหรับผู้เชื่อที่ต้องการเข้าสู่ชีวิตที่เป็นผู้ชนะได้นั้นจะต้องได้เห็น คือได้เห็นว่าฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี่เองที่นำเอาชีวิต (Zoe-โซเอ้) และ คุณลักษณะของพระเจ้า ผ่านความรู้ฝ่ายวิญญาณที่มาจากการเปิดเผยของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงเรียกเราให้มาถึงสง่าราศี และคุณธรรมของพระเยซูคริสต์
1:4 ด้วยเหตุเหล่านี้พระองค์จึงได้ทรงประทานพระสัญญาอันประเสริฐและใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยพระสัญญาเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรมที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์
** พระสัญญา ในที่นี้ คือการชำระด้วยพระคำ และด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อแยกผู้เชื่อออกจากการดำเนินชีวิตฝ่ายเนื้อหนังที่ผิดบาปต่อพระเจ้า และเข้าสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูคริสต์
1:5 เพราะเหตุนี้เองท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม
** เมื่อเราได้รับการเปิดตาผ่านความรู้ฝ่ายวิญญาณที่มาจากพระเจ้า เราจึงเป็นคนขยันว่องไวในพระคริสต์
** เอาคุณธรรม (ความดีเมตตา, กรุณา, มีน้ำใจ, มีมารยาท, สุภาพ) เพื่อให้ความเชื่อ เพิ่มขึ้น
** และเอาความรู้ เพิ่มคุณธรรม คือเมื่อเราได้รับการเปิดตามาก เราก็ทำดีได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากว่า การเป็นผู้ชนะที่เลิกทำบาปได้นั้น มันเป็นเรื่องของตา
1:6 เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาความอดทนเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน เอาการที่เป็นอย่างพระเจ้าเพิ่มความอดทน
** เมื่อเรารู้จักบังคับตนโดยพระคริสต์ได้พระเจ้าก็จะเปิดตาเรามากยิ่งขึ้น
** เมื่อเรามีความอดทนมากโดยพระคริสต์ การบังคับตนก็จะมีมากยิ่งขึ้น
** เมื่อเราดำเนินชีวิต และสำแดงชีวิต และนิสัยของพระเยซูมากเท่าไหร่ ความอดทนโดยพระคริสต์ก็มีมากยิ่งขึ้นในเรา
1:7 เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มการที่เป็นอย่างพระเจ้า และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง
** ถ้าหากเราใส่ใจเรื่องรักพี่น้อง และรักได้โดยพระคริสต์ในเรา ชีวิตและนิสัยของพระคริสต์ก็จะเพิ่มขึ้นในเรา
** ถ้าหากเราใส่ใจ และรักคนที่ไม่เชื่อ ความรักฉันพี่น้องในพระกายก็จะมีมากยิ่งขึ้น
1:8 เพราะถ้ามีใจอย่างนั้นอยู่ในท่านทั้งหลายพร้อมบริบูรณ์แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านไม่เกียจคร้านหรือไร้ผลในความรู้แห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
** เมื่อทุกสิ่งเพิ่มขึ้นอย่างเต็มล้นในเรา ความกระตือรือร้นก็ตามมา และเราจะพบคลังแห่งความรู้ฝ่ายวิญญาณ สุดท้ายก็กลายเป็นผู้ชนะที่เดินในความจริงของพระเจ้าได้ทั้งวันและทุกวัน
1:9 เพราะว่าผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนได้รับการชำระจากความผิดบาปเมื่อก่อนนั้นเสียแล้ว
** ผู้เชื่อมากมายที่ยังไม่ได้รับการเปิดตาสู่ความรู้ฝ่ายวิญญาณที่มาจากพระเจ้า ก็เป็นเหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้อะไรเลย และยังคิดว่าตนเป็นคนบาป เนื่องจากว่าเขาไม่เข้าใจว่าทันทีที่เราเชื่อเราก็ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
1:10 เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำตนให้เป็นไปตามที่พระเจ้าทรงเรียก และทรงเลือกท่านไว้แล้วนั้น เพราะว่าถ้าท่านประพฤติเช่นนั้น ท่านจะไม่สะดุดล้มเลย
** นี่คือผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาเข้าสู่ความรู้ฝ่ายวิญญาณ เขาจะใส่ใจหรือปักใจที่พระคริสต์ สนิทในพระองค์ และสร้างความผูกพันที่ดีกับพระองค์ทุกวัน และทุกเวลาเพื่อเขาจะไม่ต้องสะดุดล้มไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
1:11 ด้วยว่าอย่างนั้นท่านทั้งหลายจะมีสิทธิสมบูรณ์ที่จะเข้าในอาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
** พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปโตรในข้อนี้ว่า เมื่อเราเดินในพระคริสต์ และเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระองค์ สุดท้าย เราจะมีส่วนครอบครองร่วมกับพระเยซูชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรยุคพันปี และอาณาจักรในฟ้าสวรรค์ใหม่
1:12 เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ละเลยที่จะให้พวกท่านระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ ถึงแม้ว่าพวกท่านทราบสิ่งเหล่านี้แล้ว และถูกตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงปัจจุบันนี้
** “ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้” คือระลึกถึงข้อที่ 3 จนถึง 11 โดยการเปิดตาให้มาถึงความจริงเพื่อนำเราเข้าสู่ชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า เพื่อรับทุกสิ่งในพระสัญญา และสุกงอมเป็นผู้ชนะเพื่อเราจะได้หลุดพ้นจากราคะตัณหา ๆ
1. เราใช้ความขยันขันแข็งเพื่อเพิ่มความเชื่อ และเพิ่มความรู้เข้ากับคุณธรรม
2. เพิ่มการรู้จักบังคับตนเข้ากับความรู้ และเพิ่มความอดทนเข้ากับการรู้จักบังคับตน และเพิ่มการที่เป็นอย่างพระเจ้าเข้ากับความอดทน
3. เพิ่มความรักฉันพี่น้องเข้ากับการที่เป็นอย่างพระเจ้า และเพิ่มความรักเข้ากับความรักฉันพี่น้อง
4. ผู้ใดที่ขาดสิ่งเหล่านี้ก็เป็นคนตาบอด และมองไกลออกไปไม่ได้ และได้ลืมไปว่าเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากบรรดาบาปเดิมของตนเสียแล้ว
5. จงขยันขันแข็งที่จะกระทำการทรงเรียกและการทรงเลือกสรรของพวกท่านให้มั่นคง เพราะว่าถ้าพวกท่านกระทำสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกท่านจะไม่มีวันล้มลงเลย
** 5 ข้อดังกล่าวคือสิ่งที่จะช่วยผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาให้มาถึงการดำเนินชีวิตของลูกแห่งอาณาจักรสวรรค์ได้
** “และถูกตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงปัจจุบันนี้” คือความจริงและวิธีเข้าสู่ชีวิตผู้ชนะในข้อที่ 3 – 11 นี่เอง
1:13 ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าสมควร ขณะที่ข้าพเจ้ายังอาศัยอยู่ในพลับพลานี้ ที่จะปลุกเร้าพวกท่านโดยให้พวกท่านระลึกถึงสิ่งเหล่านี้
** ขณะที่ข้าพเจ้ายังอาศัยอยู่ในพลับพลานี้ คือขณะที่ท่านยังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นที่ให้ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อสำแดงชีวิตพระคริสต์และเพื่อรับใช้และเพื่อนมัสการพระเจ้า
** การปลุกเร้าใจพี่น้อง เป็นสิ่งที่ผู้นำควรกระทำเพื่อกระตุ้นให้พี่น้องได้รับการเผาไหม้ในวิญญาณเพื่อการกระตือรือร้นในแต่ละวัน
1:14 โดยทราบว่า อีกไม่ช้าข้าพเจ้าก็จะต้องถอดพลับพลาของข้าพเจ้าหลังนี้ออก เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้ว
** เปโตรรู้ดีว่าอีกไม่นานท่านก็จะจากโลกนี้ไปเนื่องจากว่าพระเยซูทรงสำแดงแก่ท่านแล้ว
1:15 ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าจะอุตส่าห์กระทำให้ท่านทั้งหลายระลึกถึงสิ่งเหล่านี้เสมอเมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว
1:16 เพราะว่าเมื่อเราได้สำแดงให้ท่านทั้งหลายทราบถึงฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และการที่พระองค์จะเสด็จมานั้น เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่เขาคิดแต่งไว้ด้วยความเฉลียวฉลาด แต่เราได้เห็นอานุภาพของพระองค์ด้วยตาของเราเอง
1:17 เพราะว่าพระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระเจ้าพระบิดา เมื่อมีพระสุรเสียงมาถึงพระองค์จากสง่าราศีอันดีเลิศนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราโปรดปรานท่านผู้นี้มาก”
** “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราโปรดปรานท่านผู้นี้มาก” พระบิดาทรงกล่าวคำนี้ตอนที่พระเยซูรับบัพติศมา เนื่องจากว่าพระองค์ทรงทราบดีว่าพระเยซูจะกระทำกิจของพระองค์จนสำเร็จเป็นจริงแน่นอน สุดท้ายพระเยซูก็ได้รับเกียรติจากพระบิดาเมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
1:18 และพวกเราก็ได้ยินพระสุรเสียงนี้ซึ่งมาจากสวรรค์ เมื่อพวกเราได้อยู่กับพระองค์ในภูเขาอันบริสุทธิ์นั้น
1:19 พวกเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีกด้วย ซึ่งพวกท่านกระทำดีที่พวกท่านเอาใจใส่คำนั้น ดุจดวงสว่างดวงหนึ่งที่ส่องแสงในที่มืด จนกระทั่งแสงอรุณขึ้น และดาวประจำรุ่งผุดขึ้นในใจของพวกท่าน
** "ยุคนี้ คือยุคแห่งความมืด" และเป็นเวลากลางคืนฝ่ายวิญญาณก็คือจิตใจมนุษย์ชั่วช้าจนถึงที่สุดแล้ว แต่ผู้เชื่อเกิดมาเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูเพื่อส่องเข้ามาสู่จิตใจที่ชั่วช้าของมนุษย์ เพื่อนำความหวังมาสู่พวกเขา และให้พวกเขาได้รู้ว่าท่ามกลางความมืดมิดที่เลวร้ายก็ยังมีความดีความรักความเมตตาของพระเจ้า
1:20 โดยทราบสิ่งนี้ก่อน คือว่าไม่มีคำพยากรณ์ใด ๆ ของพระคัมภีร์ที่ควรถูกตีความตามลำพังใจของตนเอง
** นี่คือปัญหาของผู้เชื่อและผู้นำทุกวันนี้ ที่ตีความหมายพระคัมภีร์ตามใจพวกเขาเอง จึงทำให้พระคำแห่งความจริงไม่มาถึงพวกเขา
1:21 ด้วยว่าคำพยากรณ์ไม่ได้มาในกาลก่อนโดยความประสงค์ของมนุษย์ แต่พวกผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้กล่าวตามที่พวกเขาถูกนำพาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
** การตีความหมายพระคัมภีร์ควรได้รับการเปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เนื่องจากว่าพระองค์เป็นผู้ดลใจผู้เขียนให้เขียนตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าเขียนให้เราผ่านคน พระเจ้าก็ต้องแปลให้เราผ่านคน เราจึงจะเข้าใจความจริงในพระคัมภีร์ได้