อย่างเช่น:
ก. ความรอด, การบังเกิดใหม่ ได้เป็นบุตรพระเจ้า มรดก
ข. พระพร (ฝ่ายวิญญาณ)
ค. ชีวิตของพระเจ้าที่เข้ามาอยู่ในเรา (พระวิญญาณ หรือพระคริสต์ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย)
หนังสือยอห์นบทที่ 1 พระเยซูเป็นความสว่าง เข้ามาในโลกนี้ ที่เป็นความมืด ความหมายก็คือ พระเยซูนำความจริง สิ่งที่เป็นอยู่นิรันดร์ และไม่มีความบาป ความตาย ความมืด และสิ่งที่เป็นอยู่ชั่วคราวให้หมดไป
1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
1:2 ในเริ่มแรกนั้นพระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า
** "ในเริ่มแรก" คือช่วงเวลาก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ในปฐมกาลท่านยอห์นพูดถึงเหตุการณ์เมื่อยังไม่มีอะไรในจักรวาลนี้นอกจากพระเจ้าทั้งสามพระภาคเท่านั้น
** "พระวาทะ พระคำ ถ้อยคำ หรือคำพูด" เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่แยกออกจากกันไม่ได้
** พระวาทะทรงเป็นอยู่พร้อมกับพระเจ้า และถ้อยคำนี้นี่เองที่ทรงเป็นพระเจ้า
1:3 พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์
** การเนรมิตสร้างของพระเจ้าในเริ่มแรก ทรงสร้างด้วยพระวาทะ หรือด้วยคำพูด ทรงสั่งให้อะไรเกิดมีขึ้นมันก็จะเกิดมีขึ้นทันที
** การเนรมิตสร้างในเริ่มแรกนี้ พระเจ้าสร้างจากสิ่งที่ไม่มีหรือความว่างเปล่าให้เกิดมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ฮีบรูเรียกว่า "บารา" (บารา แปลว่า เนรมิตจากความว่างเปล่าไม่มีอะไร)
1:4 ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง
** ในพระวาทะ หรือถ้อยคำ หรือพระคำ มีชีวิตและเป็นชีวิต (ของพระเจ้า กรีกคือ Zoe) ขณะมนุษย์มีชีวิตดินและไม่มีชีวิตพระเจ้าในเขา
** "ความสว่าง" ในที่นี้ ไม่ใช่แสงสว่างที่ส่องสว่างเพื่อให้เรามองเห็น แต่ความสว่างในที่นี้ คือความจริง หรือความเป็นจริง ที่ไม่เหมือนความมืดที่เป็นความไม่จริง หรือเสื่อม ตกสภาพ ตกต่ำ กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายและบาปสำหรับพระเจ้าเสียแล้ว
** "ความสว่างหรือความจริง" คือหนึ่งในสี่คุณสมบัติของพระเจ้า อย่างเช่น ความรัก, ความสว่าง (ความจริง), ความชอบธรรม, และความบริสุทธิ์
1:5 ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่
** ความสว่าง "ความจริง" เป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดของทุกสิ่งซึ่งมีความจริงนี้เป็นรากฐาน ความเสื่อมทราม เสื่อมโทรม จะชนะความจริงไม่ได้ เพียงแต่พระเจ้ารอเวลาและให้โอกาส โดยใช้ความไม่จริงเพื่อช่วยให้งานของพระเจ้าสำเร็จ
บทความเพิ่มเติม: ความสว่างคืออะไร ความสว่างคือความเป็นจริงคือความจริงของพระเจ้า
1:6 มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มา ชื่อยอห์น
** ถึงแม้ว่าพระเยซูคริสต์และยอห์นจะเป็นญาติกัน แต่ทั้งสองไม่เคยได้รู้จักกันเพราะท่านยอห์นถูกนำไปเลี้ยง และเรียนรู้ทางแห่งผู้เผยพระวจนะตั้งแต่ยังเป็นเด็กอยู่ (ลก 1:80) เมื่อยอห์นอยู่ในคุก ท่านสั่งให้ศิษย์ไปถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระคริสต์จริงหรือ (ลก 7:18-23)
1:7 ท่านผู้นี้มาเพื่อเป็นพยาน เพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน
1:8 ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ทรงใช้มาเพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น
1:9 เป็นความสว่างแท้นั้น ซึ่งส่องสว่างแก่ทุกคนที่เข้ามาในโลก
1:10 พระองค์ทรงอยู่ในโลก และพระองค์ได้ทรงสร้างโลก และโลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่
1:11 พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่
** มีศาสนามากมาย พระมากมายในโลก ที่อ้างตัวเองว่าเขาเป็นพระเจ้า พระหรือเทพเจ้า ลงมาเกิดหรือกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ และเมื่อพระเจ้าตัวจริงเสด็จมามนุษย์ก็หารู้จักพระองค์ไม่
1:12 แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรของพระเจ้าคือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์
** "ต้อนรับ หรือรับ" ในที่นี้ คือเชื่อเข้าใน believe into คือการรับเอาพระเยซูเข้ามาเป็นพระเจ้า และพระผู้ไถ่บาปของเรา ซึ่งในที่สุดเราจะต้องทิ้งความเชื่อและพระที่เราเคยกราบไหว้นั้น
** "ประทานอำนาจให้เป็นบุตร" คือประทานชีวิตของพระเจ้าเองเข้ามาอยู่ในเราที่เป็นมนุษย์ดิน และกลายเป็นบุตรแห่งฝ่ายวิญญาณ เพราะถ้าหากมนุษย์อาดัมไม่มีชีวิตพระเจ้าก็ไม่อาจจะเป็นบุตรพระเจ้าอย่างแท้จริงได้
** "เชื่อในพระนาม" คือการต้อนรับ หรือเชื่อเข้าในพระคริสต์
** ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องควรใช้คำว่า "เชื่อเข้าใน" แทนคำว่า "เชื่อใน" เพราะการเชื่อนี้ต้องเชื่อ และเข้าในผู้ที่เราเชื่อหรือโลกของพระองค์ที่เป็นฝ่ายวิญญาณ (“believe in” should be “believe into” because we need to put our lives into the world of God or the Spiritual world to live and to walk in his world)
** การได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า ก็คือ เพื่อรับพระสัญญาที่พระองค์สัญญาต่ออับราฮัมใน ปฐก บทที่ 12 เพื่อเราจะกลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ การได้กลายเป็นคนชอบธรรมดังกล่าวทำให้เราไม่ต้องถูกพิพากษาในวันสุดท้าย ไม่เพียงแต่เท่านั้น เราทั้งหลายจะได้รับมรดกจากพระบิดาผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามเวลากำหนดของพระองค์
1:13 ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือความประสงค์ของมนุษย์แต่เกิดจากพระเจ้า
** "เกิดจากพระเจ้า" คือทันทีที่เราเชื่อเข้าใน หรือรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและพระคริสต์
1. พระวิญญาณจะเสด็จมาหาเรา
2. พระวิญญาณจะดลบันดาลให้วิญญาณของเรากลายเป็นวิญญาณใหม่ (จากวิญญาณที่มีอยู่แต่ตายแล้ว)
3. พระวิญญาณจะเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะกลายเป็นบ้านของพระองค์ และพระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณเรา ซึ่งจะแยกจากกันไม่ได้อีกเลย
(เมื่อเราทำบาปพระวิญญาณจะไม่ออกไปจากเราเหมือนผู้เชื่อมากมายเชื่อกัน แต่เราต่างหากที่ออกจากพระวิญญาณ หรือออกจากการสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ)
4. พระวิญญาณยืนอยู่ที่วิญญาณเคาะประตูใจเรา เพื่อเข้าไปครอบครองทีละส่วน และเมื่อครอบครองได้ส่วนไหน ส่วนนั้นก็จะเลิกทำบาปได้
** บังเกิดจากเลือดเนื้อก็มีความประสงค์ของเนื้อหนัง แต่ถ้าหากบังเกิดจากพระเจ้าก็มีความประสงค์ของฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเชื่อ เรารักที่จะอ่าน อธิษฐาน ไปร่วมกับพี่น้อง รับใช้ ประกาศ แต่ความประสงค์ฝ่ายวิญญาณนี้ คือจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อมาเราต้องพึ่งพาพระคริสต์ให้กระทำทุกสิ่งได้ด้วยกฏแห่งพระวิญญาณ และกฏแห่งชีวิต และเพื่อเอาชนะกฏแห่งบาป และความตายในเราได้
บทความเพิ่มเติม: ผู้ที่เชื่อจริง จะต้องมีผลของความเชื่อ คือการเชื่อฟังไม่มากก็น้อย
1:14 พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา) บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
** เมื่อเป็นมนุษย์ในเวลา 33 ปีกว่า พระเยซูไม่ได้รับเกียรติจากพระบิดาเพราะว่าทรงยังไม่ได้กลายเป็นพระวิญญาณ และการไถ่บาปยังไม่สำเร็จ (ยอห์น 7:39)
** พระเจ้าของเราเป็นวิญญาณ มีพลังอำนาจ และกระทำทุกสิ่งด้วยการพูด หรือใช้ถ้อยคำที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ อยู่ในถ้อยคำนั้นๆ ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางเรา คือระยะเวลาที่พระเยซูเสด็จไปมาอยู่กินกับสาวกทั้งหลายในโลกนี้
1:15 ยอห์นได้เป็นพยานถึงพระองค์และร้องประกาศว่า "นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงว่า พระองค์ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า"
** เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า คือการยอมรับของท่านยอห์น ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า
1:16 และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ
** "พระคุณ" คือพระเยซูที่เป็นมนุษย์ตายแทนความบาปของเรา
** "พระคุณซ้อนพระคุณ" คือพระเยซูที่เป็นพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเราเพื่อช่วยเราให้เลิกทำบาป และมาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์
** จากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นเหตุให้เราทั้งหลายได้รับพระคุณซ้อนพระคุณ พระคุณคือพระเยซูคริสต์ตายเพื่อเรา พระคุณซ้อนพระคุณคือพระคริสต์เยซูที่เป็นพระวิญญาณ วิญญาณกลับมาอยู่กับเราเพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา ร่วมกับคนใหม่คนนี้ของเรา ผลของชีวิต และการรับใช้ก็ถูกนับว่าเป็นทองคำเงิน และเพชรพลอย ผู้เชื่อที่ไม่เข้าใจจึงไม่ได้เห็นพระคุณซ้อนพระคุณ และไม่มีโอกาสเดินด้วยคนใหม่คนนี้ในแต่ละวัน
1:17 เพราะว่าได้ทรงประทานพระราชบัญญัตินั้นทางโมเสสส่วนพระคุณ และความจริงมาทางพระเยซูคริสต์
** ผู้เชื่อมากมายยังรักษาพระบัญญัติที่มาทางโมเสส เพราะว่าเขาไม่เข้าใจพระคุณซ้อนพระคุณ
** "พระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์" คือการอยู่แทน ทำแทน รักแทน อดทนนานแทน เมตตาอภัย ๆลๆ ที่พระเยซูคริสต์ทำผ่านเราเพื่อช่วยเรา คือการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง
** "พระบัญญัติ" คือเราต้องทำดีเชื่อฟังเพื่อพระเจ้า และจะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาจะให้ ขณะที่พระคุณคือพระเจ้าทำแทนเรา เชื่อฟังแทนเรา เพื่อเราจะได้รับทุกสิ่งจากพระเจ้า
** เพราะว่าพระราชบัญญัติได้ถูกประทานให้โดยทางโมเสส แต่พระคุณและความจริงได้มาโดยทางพระเยซูคริสต์ ข้อ 17 เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำคัญมาก เมื่อพระบิดาทรงประทานพระคุณแล้ว ยิว และคนต่างชาติจึงไม่ต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด และรับพระพร แต่เราแค่เชื่อเท่านั้น ผู้เชื่อมากมายครึ่งต่อครึ่งยังรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด และรับพระพร
** ความจริง ในที่นี้ คือทุกสิ่งที่เป็นอยู่ในฝ่ายวิญญาณ หรือในพระคริสต์
** สิ่งที่พระเจ้าเรียกว่า ความไม่จริง ทุกคือสิ่งที่เป็นอยู่ในอาดัมที่ตกต่ำ เสื่อมสูญผิดบาปไปแล้ว เพราะฉะนั้นผู้เชื่อควรมีชีวิตเป็นอยู่ในความจริงคือในพระคริสต์
1:18 ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรองค์เดียวผู้ทรงสถิตอยู่ในพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว
** เนื่องจากว่าพระเจ้าเป็นวิญญาณ วิญญาณคือสิ่งที่ตามองเห็นไม่ได้ วิญญาณของพระเจ้าทรงสำแดงสี่ประการใหญ่ๆ คือ รัก บริสุทธิ์ ชอบธรรม และความเป็นจริง เมื่อพระบุตรหรือฝ่ายถ้อยคำของพระเจ้าเสด็จลงมา เรา โลก จึงได้เห็นพระบิดาผ่านพระเยซูที่สำแดงสี่สิ่งของพระเจ้า
1:19 นี่แหละเป็นคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวี จากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า "ท่านคือผู้ใด"
1:20 ท่านได้ยอมรับ และมิได้ปฏิเสธ แต่ได้ยอมรับว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์"
1:21 เขาทั้งหลายจึงถามท่านว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ" ท่านตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์" "ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นหรือ" และท่านตอบว่า "มิได้"
1:22 คนเหล่านั้นจึงถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร เพื่อเราจะได้ตอบผู้ที่ใช้เรามา ท่านกล่าวว่าท่านเป็นใคร"
1:23 ท่านตอบว่า "เราเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า `จงกระทำมรรคาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป' ตามที่อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้"
1:24 ฝ่ายผู้ที่ได้รับใช้มานั้นเป็นของพวกฟาริสี
1:25 เขาเหล่านั้นก็ได้ถามท่านว่า "ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ หรือเอลียาห์ หรือศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นแล้ว ทำไมท่านจึงทำพิธีบัพติศมา"
1:26 ยอห์นได้ตอบเขาเหล่านั้นว่า "ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีพระองค์หนึ่งซึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่รู้จัก
1:27 พระองค์นั้นแหละ ผู้เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า แม้สายรัดฉลองพระบาทของพระองค์ ข้าพเจ้าก็ไม่บังควรที่จะแก้"
1:28 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เบธาบาราฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่
1:29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย
1:30 พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า `ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า'
1:31 ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ"
1:32 และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า "ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกเขาเสด็จลงมาจากสวรรค์ และทรงสถิตบนพระองค์
1:33 ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ ผู้ได้ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ พระองค์นั้นได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า `เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาและสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์'
1:34 และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้ว และได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละ เป็นพระบุตรของพระเจ้า"
1:35 รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน
** เมื่อท่านยอห์นเดินทางไปประกาศ ชาวยิวมากมายได้ติดตามท่าน และเป็นศิษย์ของท่านเนื่องจากว่าพวกเขาคิดว่าท่านยอห์นจะก่อตั้งนิกายใหม่ แต่พอท่านกล่าวถึงพระคริสต์ที่จะมา พวกเขาจึงไปติดตามพระเยซู แต่ก็ยังมีศิษย์หลายคนที่ไม่ยอมติดตามพระเยซู เนื่องจากว่าพวกเขาไม่เข้าใจ และไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ บางคนกลับใจเมื่อสาวกของพระเยซูไปประกาศ และวางมืออธิษฐานให้ เพื่อพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณ (กจ 19:1-7)
1:36 และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงดำเนินและกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า"
** พระเมษโปดกของพระเจ้า คือแกะของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเลือก และจัดเตรียมเพื่อการไถ่บาปมนุษย์โลก ขณะที่ชาวยิวรอคอยพระเมสสิยาห์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (ผู้ที่ถูกเจิมเลือกเอาไว้) และเป็นแกะตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเพื่อไถ่บาปมนุษย์
(ยน 1:29 วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่าน และกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ซึ่งทรงนำบาปของโลกไปเสีย/อิสยาห์ 53:10 แต่ก็ยังเป็นที่พอพระทัยของพระเยโฮวาห์แล้วที่จะทำให้ท่านได้รับความฟกช้ำ พระองค์ทรงทำให้ท่านทนเอาความเศร้าโศกแล้ว เมื่อพระองค์จะทรงกระทำให้จิตวิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ท่านจะเห็นเชื้อสายของท่าน ท่านจะยืดวันทั้งหลายของท่าน และพระประสงค์ของพระเยโฮวาห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน)
1:37 สาวกสองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป
1:38 พระเยซูทรงเหลียวหลังและทอดพระเนตรเห็นเขาตามพระองค์มา จึงตรัสถามเขาว่า "ท่านหาอะไร" และเขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า "รับบี" (ซึ่งแปลว่าอาจารย์) "ท่านอยู่ที่ไหน"
1:39 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "มาดูเถิด" เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ทรงอาศัยและวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว
** พระเยซูต้องการให้เขาเห็นที่พักอาศัยซึ่งเป็นเต็นท์เล็กๆ / สมัยนั้นเมื่อผู้คนเดินทางไปมาหรือคนที่ไม่มีบ้านที่อยู่อาศัย พวกเขาจะใช้เต็นท์เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่มีอะไรมากติดตัวไปกับพวกเขา
** ภาษากรีกเขียนว่า เป็นเวลา ชั่วโมงที่ 10 (ชม. ที่ 6 - คือเที่ยงวัน/ ชม. ที่ 7 - 13.00 น./ ชม. ที่ 8 - 14.00 น./ ชม. ที่ 9 - 15.00 น./ ชม. ที่ 10 - 16.00 น./ ชม. ที่ 11 - 17.00 น./ ชม. ที่ 12 ชม. - 6 โมงเช้า/ 1 ชม. แรก - 7 โมงเช้า/ ชม. ที่ สอง - 8 โมงเช้า/ ชม. ที่ สาม - 9.00 น./ ชม. ที่ สี่ - 10.00 น./ ชม. ที่ ห้า - 11.00 น.) ชาวยิวจะนับเวลาตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงหกโมงเย็นเท่านั้นและไม่นับเวลากลางคืน
1:40 คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูด และได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร
1:41 แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า "เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว" ซึ่งแปลว่าพระคริสต์
** "เมสสิยาห์" คือภาษาฮีบรู ส่วน "คริสต์" คือภาษากรีก ซึ่งมีความหมายเดียวกันว่า "ผู้ที่ถูกเจิม/เลือกเอาไว้" สำหรับชนชาติอิสราเอล พวกเขารู้ดีว่า ท่านผู้หนึ่งจะมาเพื่อปลดปล่อยชนชาติอิสราเอลจากการเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน พวกเขาไม่รู้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าจะส่งพระคริสต์มาเพื่อปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาสของความบาปมากกว่า
1:42 อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู และเมื่อพระเยซูทรงทอดพระเนตรเขาแล้วจึงตรัสว่า "ท่านคือซีโมนบุตรชายโยนาห์ เขาจะเรียกท่านว่าเคฟาส" ซึ่งแปลว่าศิลา
** แอนดรูว์น้องชายของซีโมน (เปโตรเป็นคนแรกที่ติดตามพระเยซู จากนั้นเขาก็เรียกเปโตรพี่ชายมาหาพระเยซู)
** เดิมทีเปโตรมีชื่อว่า ซีโมน จากนั้นพระเยซูตั้งชื่อให้เขาเป็นภาษาอาราแมคว่า เคฟาส ซึ่งกรีกแปลว่าเปโตร (หินก้อนเล็กๆ) เราพบว่าในมัทธิวพระเยซูทรงเรียกเปโตรที่ริมแม่น้ำ ซึ่งนั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เปโตรกลับไปบ้าน และไปหาปลาในเวลาต่อมา
1:43 วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี และพระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามา"
1:44 ฟีลิปมาจากเบธไซดา เมืองของอันดรูว์และเปโตร
1:45 ฟีลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า "เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในพระราชบัญญัติ และที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึง คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธบุตรชายโยเซฟ"
1:46 นาธานาเอลถามเขาว่า "สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ" ฟีลิปตอบเขาว่า "มาดูเถิด"
1:47 พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์จึงตรัสถึงเรื่องตัวเขาว่า "ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย"
1:48 นาธานาเอลทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน"
1:49 นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า "รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล"
1:50 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเราบอกท่านว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น ท่านจึงเชื่อหรือ ท่านจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก"
1:51 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ภายหลังท่านจะได้เห็นท้องฟ้าเปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์"
** อันดรูว์ เปโตร ฟิลิป และนาธานาเอล พบพระเยซูก่อนเพื่อน และก่อนเหตุการณ์ที่พระเยซูจะเรียกเปโตรที่ริมทะเล